WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3313 หอเกิดดับ
ตอนที่ 3,313 : หอเกิดดับ
“อาวุโสรู้จักข้าด้วยหรือ?”
เมื่อเห็นชายชราเบื้องหน้าแลดูตกใจ ทั้งชายชราอีก 3 คนที่เหลือก็หันขวับมาจับจ้องเขาเป็นสายตาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถามไปด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เหอะๆ เกรงว่าตอนนี้คงไม่มีใครในวังเทียนฉือที่ไม่รู้จักชื่อต้วนหลิงเทียนของเจ้าแล้วกระมัง…”
ชายชราผมขาวฟูปานราชสีห์ จากก่อนหน้าที่หน้าตาแลดูไม่เป็นมิตร มาตอนนี้ถึงกับคลี่ยิ้มจนตาหยีเห็นฟันขาวเรียงเป็นแถว “ต้วนหลิงเทียน…นอกจากนั้นเจ้ายังเป็นศิษย์น้องพัสดีฉือของพวกเรา เช่นนั้นกล่าวได้ว่าคุกหมื่นพันธนาการก็มิต่างอันใดจากบ้านของเจ้าครึ่งหนึ่ง…”
“เช่นนั้นข้ามานี่…ก็เหมือนกลับบ้านสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็สะดุ้งไปอยู่บ้าง จากนั้นก็อดคลี่ยิ้มแหยๆออกมาไม่ได้ หากในชาติที่แล้วตอนอยู่โลกเก่า ลองมีคนมาบอกว่าคุกเป็นบ้านของเขา ก็คงมีบาทาลูบพักตร์กันบ้าง…
“มาๆต้วนหลิงเทียน ข้าจักพาพวกเจ้า 2 คนเข้าไปด้านในเอง!”
ชายชราผมขาวฟูคลี่ยิ้มร่า ผายมือกล่าวเชิญด้วยท่าทางกระตือรือร้น “หากเดามิผิดนี่คงเป็นครั้งแรกของพวกเจ้าที่มาคุกหมื่นพันธนาการกระมัง…มาเถอะระหว่างพาเจ้าไปยังโถงกิจการภายใน ข้าจักแนะนำที่นี่ให้เจ้าฟังคร่าวๆ”
“สำหรับป้ายผู้คุมนั้น เดี๋ยวพอถึงโถงกิจการภายในและลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ ขอเพียงมีตำแหน่งผู้คุมว่างลงเมื่อใด พวกมันก็จักแจ้งไปให้พวกเจ้าทราบทันที…อย่างไรก็ตาม เจ้าเป็นถึงศิษย์น้องของพัสดีฉือ ต่อให้ตำแหน่งผู้คุมไม่ว่าง แต่หากเจ้าคิดจะมาคุกหมื่นพันธนาการ ก็ไม่มีผู้ใดขวางเจ้าได้”
ชายชรากล่าวสืบต่อ
ได้ยินคำพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนอดเดาะลิ้นเบาๆไม่ได้ ไม่คิดเลยว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เขาไม่เคยพบเจอ จะอำนวยคววามสะดวกและทำให้เขามีอภิสิทธิ์แบบนี้
“เช่นนั้นต้องขอรบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ท่าทางสุภาพมีมารยาทของต้วนหลิงเทียน สร้างความพึงพอใจให้ชายชราจนคลี่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ชายหนุ่มเบื้องหน้ามันเป็นถึงศิษย์อัจฉริยะมากศักยภาพที่มีอนาคตไร้ขีดจำกัดแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ดูเบาหรือมองแคลนมันที่เป็นเพียงผู้เฝ้าประตูว่าต้อยต่ำเลย
มันที่มีฐานะเป็นแค่คนเฝ้าประตูหน้าของคุกหมื่นพันธนาการนั้น กล่าวไปก็แค่ศิษย์ทั่วๆไปในวังเทียนฉือแห่งนี้เท่านั้น กระทั่งพลังฝีมือของมันยังไม่อาจสู้หานอวิ๋นจิ่นที่ตกตายคามือต้วนหลิงเทียนในวันนี้ได้ด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มนามต้วนหลิงเทียนเบื้องหน้า แข็งแกร่งกว่ามันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
พลังฝีมือแข็งแกร่ง ภูมิหลังมั่นคง อนาคตไร้ขอบเขต แต่ยังสุภาพมีมารยาทกับมัน สำหรับมันแล้วนี่นับเป็นสิ่งที่ยากพานพบโดยไม่ต้องสงสัยเลย
“เชิญพวกเจ้าตามข้าเข้ามาเถอะ”
หลังชายชรากล่าวเชิญต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋ออีกรอบ มันก็เดินนำผ่านประตูใหญ่แลดูงดงามโออ่าเข้าไปในคุกหมื่นพันธนาการทันที ด้านต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเท้าตามมันไปติดๆ
หลังผ่านธรณีประตูใหญ่ของคุกหมื่นพันธนาการเข้ามา สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาของต้วนหลิงเทียนก็คือโลกที่เต็มไปด้วยสีแดงฉาน ผนังช่องทางเดินลึกเข้าไปในภูเขาเรียกว่าเป็นสีแดงฉาน และไม่ใช่สีดั้งเดิมของภูเขาอย่างเดียว หากแต่มันมีโลหะบางอย่างกระจายฝังตัวอยู่เต็มไปหมด และดูเหมือนทุกสิ่งปลูกสร้างที่นี่จะมีโลหะที่ว่าหมดสิ้น
หลังเดินผ่านช่องทางเดินอันกว้างขวาง ในที่สุดต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ตามชายชรามาถึงงจัตุรัสอันกว้างขววางแห่งหนึ่ง และไม่มีทางอื่นใด นอกจากช่องทางเดินอีกสาที่อยู่อีกฟากของจัตุรัส
“ต้วนหลิงเทียน ที่นี่เรียกว่าจัตุรัสสิ้นสุดของคุกหมื่นพันธนาการ”
หลังพาต้วนหลิงเทียนมาถึงจัตุรัสแล้วชายชราก็กล่าวแนะนำที่ทางออกมาด้วยรอยยิ้ม
“จัตุรัสสิ้นสุดรึ?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเบบาๆ ด้วยเพราคิดว่าชื่อของมันฟังดูแปลกๆอย่างไรชอบกล
“เจ้างคงกำลังคิดว่าไฉนชื่อของมันถึงฟังดูแหม่งๆอยู่กระมัง?”
ชายชรายิ้มถาม
“ก็ทำนองนั้น”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“ไฉนที่จัตุรัสแห่งนี้ถึงได้ถูกเรียกหาว่าจัตุรัสสิ้นสุดนั้น เพราะที่จัตุรัสแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคมสังหารอันทรงพลังอานุภาพ ที่เข่นฆ่าได้กระทั่งจักรพรรดิอมตะ! หากไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานามแต่เป็นแค่จักรพรรดิอมตะธรรมดาฝ่าฝืนข้อห้ามที่นี่ ล้วนต้องถูกอาคมเข่นฆ่าตายตกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย! กระทั่งต่อให้เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามก็ยังต้องบาดเจ็บสาหัส!!”
ชายชรากล่าวอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เพราะที่นี่เป็นดั่งสถานที่ๆอาจเป็นจุดสิ้นสุดชีวิตของทุกคนที่ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานาม มันจึงถูกเรียกหาว่าจัตุรัสสิ้นสุด”
“จักรพรรดิอมตะสมญานามบาดเจ็บสาหัส?”
“ตัวตนที่ด้อยกว่าจักรพรรดิอมตะสมญานามตายแน่?”
ได้ยินคำพูดของชายชรา ต้วนหลิงเทียนได้แต่ลอบสูดอากาศเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ขณะเดียวกันร่างของเขาก็แลดูตื่นตัวเตรียมพร้อมขึ้นมาทันที
“ฮ่าๆๆ…เจ้ามิต้องกังวลนักหรอก”
คล้ายเห็นความระมัดระวังของต้วนหลิงเทียน ชายชราก็หัวเราะออกมาเบาๆ “จัตุรัสสิ้นสุดแห่งนี้ มิใช่ว่าใครก็สามารถกระตุ้นค่ายกลและข่ายอาคมสังหารได้…มันต้องเป็นผู้ที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกหมื่นพันธนาการของเราเท่านั้นถึงจะสามารถกระตุ้นการทำงานของค่ายกล ขอเพียงพวกมันหลบหนีลุยฝ่ามาถึงที่นี่ พลังอาคมสังหารจากค่ากลและข่ายอาคมมากมายก็จะเพ่งเล็งสังหารไปที่มันโดยตรง!”
“ต่อให้ตอนนั้นพวกเราจะอยู่ในจัตุรัสแห่งนี้ กระทั่งถูกมันจับตัวมาบังไว้ พลังสังหารของอาคมก็จะไม่ทำร้ายพวกเรา”
ได้ยินประโยคนี้ต้วนหลิงเทียนก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที ขณะเดียวกันก็พอคาดเดาได้คร่าวๆว่าหลักการทำงานของค่ายกลและข่ายอาคมของที่นี่ ไม่พ้นต้องเพ่งเล็งเป้าหมายตามสายเลือดหรือกลิ่นอายพลังทั้งวิญญาณของนักโทษที่ถูกค่ายกลและข่ายอาคมตีตราไว้แล้วเป็นแน่
หากไม่ใช่คนเหล่านั้น ย่อมไม่กระตุ้นการทำงานของค่ายกล
หลังจากเดินข้ามจัตุรัสสิ้นสุดมา ชายชราก็พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเดินผ่านช่องทางเดินอันยาวไกล ก่อนจะมาถึงอาคารปลูกสร้างประหนึ่งวังย่อมๆ ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นป้ายโลหะที่ติดไว้เหนือประตูทางเข้า อันสลักอักษรที่แลดูน่าประทับใจไว้ 3 ตัวว่า โถงกิจการภายใน
“เอาล่ะข้าจะพาพวกเจ้าไปลงทะเบียนก่อน”
ภายใต้การนำของชายชรา ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ก้าวเข้าสู่โถงกิจการภายในพร้อมๆกัน
การลงทะเบียนที่ว่าก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย แค่ต้วนหลิงเทียนนำป้ายผู้คุมไปแสดงให้อาวุโสของโถงกิจการภายในของคุกหมื่นพันธนาการตรวจวสอบ จากนั้นก็ส่งมอบลูกแก้ววิญญาณทั้งแจ้งชื่อเอาไว้ หากตำแหน่งผู้คุมว่างลงเมื่อใดก็จะติดต่อไปสอบถามทั้งคู่ว่ามีใครว่างมาทำหน้าที่ผู้คุมไหม?
หากไม่ว่างก็จะแจ้งชื่อเข้าคิวเอาไว้ชั่วคราว พอว่างเมื่อไหร่ ก็ให้ติดต่อกลับมา
เช่นนั้นนอกจากจะทิ้งลูกแก้ววิญญาณไว้แล้ว แต่ละคนยังได้รับลูกแก้ววิญญาณของอาวุโสโถงกิจการภายในกลับไปด้วย
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นศิษย์น้องของพัสดีฉือ และตอนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นผู้คุมของคุกหมื่นพันธนาการเราแล้ว…วันหน้าถึงเจ้าจักมิได้อยู่ในช่วงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็สามารถผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธนาการของพวกเราได้ตลอดเวลา”
ผู้อาวุโสกิจการภายในแลดูกระตือรือร้นต้อนรับต้วนหลิงเทียนไม่น้อย “อย่างไรก็ตาม หากมิได้อยู่ในช่วงปฏิบัติหน้าที่ เจ้าก็มิอาจเข้าไปส่วนคุมขังนักโทษได้…มากสุดคือ ‘หอเกิดดับ’ เพื่อทำความเข้าใจกฏแห่งความตาย”
กล่าวถึงท้ายประโยคน้ำเสียงของอาวุโสกิจการภายในก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาก “หากมิใช่ช่วงปฏิบัติหน้าที่ อย่าว่าแต่ผู้คุมเลย แม้แต่ผู้อาวุโสอย่างเราๆก็ห้ามก้าวเข้าไปในส่วนคุมขังนักโทษเด็ดขาด”
“มีเพียงผู้พิทักษ์ไม่กี่คนเท่านั้น ที่มีสิทธิ์เข้าไปด้านใน”
อาวุโสกิจการภายในกล่าวสืบต่อ
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ
“อย่างไรก็ตามผู้คุมใหม่นั้นจักได้รับโอกาสในการทำความคุ้นเคยสถานที่คุมขัง…แต่เดิมโอกาสที่ว่าทางเราจำต้องจัดสรรเวลาให้ก่อน ทว่าเจ้าเป็นศิษย์น้องของพัสดี เช่นนั้นพวกเราก็มิอาจรบกวนให้เจ้าต้องเทียวไปเทียวมาได้ ข้าจักให้พวกเจ้าไปทำความคุ้นเคยตอนนี้เลย”
อาวุโสกิจการภายนังคงกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
และพอได้ยินสิ่งนี้ ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือฮ่วนเอ๋อ ดวงตาของทั้งคู่ก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
“อาวุโสเซี่ย”
ตอนนี้เองอาวุโสกิจการภายใน ก็หันไปมองอาวุโสชราผมขาวฟูปานราชสีห์ที่พาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อเข้ามา พูดว่า “หลังจากนี้ท่านก็พาทั้งคู่ไปยังสถานที่คุมขังนักโทษ และอธิบายสถานการณ์ภายในให้ทั้งคู่รับทราบเถอะ”
พอกล่าวจบคำ ผู้อาวุโสกิจการภายในดังกล่าวก็ยกมือขึ้นสะบัดซัดป้ายๆหนึ่งออกไป
“อืม”
อาวุโสหัวฟูยกมือขึ้นรับป้าย และเอ่ยชักชวนต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อให้ติดตามมันไป
ต้วนหลิงเทียนเองก็สังเกตเห็นได้ไม่ยาก ว่าป้ายที่อาวุโสเซี่ยได้รับมาเป็นป้ายสีดำสนิทที่แผ่กลิ่นอายเยียบเย็นลี้ลับออกมา ให้ความรู้สึกกดดันพิกล
เห็นได้ชัดว่าป้ายดังกล่าว มีอาคมมากมายอัดแน่นเอาไว้
“นี่คือป้ายที่ใช้สำหรับเข้าไปส่วนคุมขังนักโทษ”
หลังเดินออกมาจากโถงกิจการภายในแล้ว คล้ายอาวุโสหัวขาวฟูแซ่เซี่ยจะสังเกตเห็นสายตาสงสัยของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ จึงยิ้มพลางอธิบายว่า “ป้ายนี้ทางโถงกิจการภายในจะออกให้แต่ละรอบ…ก่อนจะส่งให้พวกเราอาวุโสกิจการภายในก็จะให้มันจดจำกลิ่นอายวิญญาณของพวกเรา ผ่านลูกแก้ววิญญาณที่พวกเรามอบให้”
“กล่าวได้ว่า…ป้ายในมือข้าตอนนี้ มีเพียงแต่พวกเราทั้ง 3 เท่านั้นที่สามารถใช้มันผ่านเข้าออกส่วนคุมขังนักโทษได้”
“นี่เป็นการป้องกันไม่ให้มีผู้ใดผ่านเข้าออกส่วนคุมขังได้ตามอำเภอใจ”
หลังได้ฟังคำอธิบายของชายชราแซ่เซี่ย ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ว่าคิดจะผ่านเข้าออกส่วนคุมขังนักโทษมันค่อนข้างเข้มงวดอยู่บ้าง
“เจ้าคงกำลังคิดว่ามันยุ่งยากอยู่กระมัง? อันที่จริงตอนแรกคุกหมื่นพันธนาการเราก็มิได้เข้มงวดกวดขัดอะไรนัก…อย่างไรก็ตามหลังจากมีคนแฝงตัวเข้ามาพาจักรพรรดิอมตะสมญานามผู้หนึ่งหลบหนีออกมาจากส่วนคุมขัง จนอีกฝ่ายเข่นฆ่าสร้างเส้นทางโลหิตสายหนึ่งจากคนของวังเทียนฉือเราออกมา วังเทียนฉือก็เริ่มหันมาเข้มงวดกับผู้ที่จะผ่านเข้าออกคุกหมื่นพันธาการ และจำกัดให้มีแต่ศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ผู้คุมได้”
ชายชรากล่าวสืบต่อ
“แล้วผู้คุมมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“สิ่งที่ผู้คุมต้องทำก็ไม่มีใดมาก เพียงแค่สังเกตสภาพของนักโทษในห้องขังเท่านั้น หากพบเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ จะต้องเร่งแจ้งให้ส่วนกิจการภายในทราบทันที…นอกจากนั้นก็คือทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายจากพัสดี”
ชายชรากล่าวว่า
“ว่าแต่ปกติแล้วจะมีผู้คนที่มาทำหน้าที่ผู้คุมพร้อมกันได้กี่คนหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามอีกครั้ง
“6 คน…และสองคนจะจับคู่กัน เพื่อลาดตระเวนพื้นที่คุมขังนักโทษทั้ง 3 ส่วน”
ชายชรากล่าวสืบต่อ “คู่หนึ่งจักรับหน้าที่ลาดตระเวนส่วนที่จักรพรรดิอมตะสมญานามถูกคุมขังเอาไว้ อีกคู่นั้นลาดตระเวนส่วนคุมขังนักโทษที่ไม่ใช่จักรพรรดิอมตะสมญานาม สำหรับคู่สุดท้ายก็รับผิดชอบส่วนคุมขังที่กักกันนักโทษอันเป็นคนของวังเทียนฉือเราไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาวุโสที่ทำความผิด”
“แต่ละคู่จะทำการลาดตระเวนส่วนที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลา 4 เดือน จากนั้นก็สลับพื้นที่ลาดตระเวนกับคู่อื่นๆจนครบ 3 ส่วน เรียกว่าผู้คุมนั้นเข้าประจำการครั้งหนึ่งก็กินเวลา 1 ปี”
ชายชรากล่าวอธิบายอย่างอดทน
“เนื่องจากตอนนี้เกณฑ์การเป็นผู้คุมสูงเกินไป เพราะต้องเป็นศิษย์อัจฉริยะเท่านั้นถึงสมัครมาทำได้…ทำให้ผู้คุมในคุกที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนนักโทษไม่ใช่ศิษย์อัจฉริยะทั้งหมด แต่จะเป็นผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ในคุกหมื่นพันธนาการมานานถึงระดับหนึ่งแล้ว คอยลาดตระเวนตรวจตราความเคลื่อนไหวของนักโทษด้วย”
“หลายครั้งที่ไร้ศิษย์อัจฉริยะสมัครมาทำหน้าที่ผู้คุม ข้าเองก็ถูกส่งไปเป็นผู้คุมเพื่อทำหน้าที่เช่นกัน”
“อย่างในปีนี้ ผู้คุมทั้ง 6 ที่คอยลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่คุมขังนักโทษทั้ง 3 ส่วน ก็มีศิษย์อัจฉริยะแค่ 3 เท่านั้น ส่วนอีก 3 คนก็คือผู้อาวุโสเก่าแก่ในคุกหมื่นพันธนาการ”
พอชายชรากล่าวถึงจุดนี้มันก็หยุดลง และหันมามองต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ “กล่าวไป พวกเจ้าก็มาช้าไปแค่เล็กน้อย…เพราะผู้คุมชุดใหม่ก็พึ่งจะเข้าประจำการไปเมื่อเดือนก่อนนี้เอง เช่นนั้นพวกเจ้าก็จำต้องรออีก 11 เดือน ก่อนจะถึงตาพวกเจ้าเข้าประจำการ”
“หากไม่ติดอะไร พวกเจ้าจักได้เป็นผู้คุมชุดต่อไปแน่นอน”
“เนื่องเพราะมีศิษย์อัจฉริยะไม่มากที่เต็มใจทำหน้าที่ผู้คุมในคุก ถึงแม้ว่าผลึกอมตะที่ได้รับจะไม่น้อยและงานที่ต้องทำก็ไม่ได้หนักหนาอะไร แต่ก็ไม่มีผู้ใดชอบมาอุดอู้อยู่ที่คุกนี่…”
ชายชรากล่าวไปพลางส่ายหัวไปมา ด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้
“และเดี๋ยวนี้เหล่าศิษย์อัจฉริยะที่เต็มใจมาทำหน้าที่ผู้คุม ก็ล้วนมุ่งเป้าไปที่หอเกิดดับถ่ายเดียว…ที่อาวุโสเหยียนในโถงกิจการภายในบอกว่าพวกเจ้าสามารถมาที่คุกหมื่นพันธนาการได้ตลอดเวลา ก็จักสื่อว่าพวกเจ้าสามารถเข้าไปยังหอเกิดดับได้ตลอดเวลานั่นเอง…การทำความเข้าใจกฏแห่งความตายที่นั่นจักให้ผลลัพธ์ดีมาก”
“เนื่องเพราะหอเกิดดับที่ว่า เป็นดั่งลานประหารของนักโทษในคุกหมื่นพันธนาการตลอดหลายปีที่ผ่านมา กลิ่นอายแห่งความตายและปราณมรณะที่อบอวลในพื้นที่แห่งนั้น ทำให้หอเกิดดับเป็นดั่งพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการทำความเข้าใจกฏแห่งความตายก็ไม่ปาน”