WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3358
ตอนที่ 3358 : ต้วนหลิงเทียน จอมราชันอมตะ 10 ทิศ
วันเวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวก็ผ่านไปนับสิบปีแล้ว
ระยะเวลาสิบปีสําหรับเซียนอมตะที่มีชีวิตนิรันดร์ในระนาบเทวโลก คงไม่ได้รู้สึกว่าเนิ่นนานอะไร แต่สําหรับคนที่พึ่งขึ้นมายังระนาบเทวโลกได้ 200 กว่าปี ก็ยังถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก
“พริบตาเดียว ก็ใกล้จะ 300 ปีแล้ว”
ภายในพื้นที่อันมืดสลัว กลางป่าศิลากว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ปรากฏเงาร่างคนกําลังเหินลอยขึ้นมาจากส่วนลึกของปา ก่อนจะหยุดลงกลางฟ้าเวิ้งว้าง เงยหน้ามองฟ้าสีหม่น พลางกล่าวพึมพํากับตัวเบาๆ
เป็นชายหนุ่มในชุดสีม่วง คิ้วคมเข้มปานดาบกระบี่ สองตากระจ่างใสเป็นประกายราวดวงดารา หน้าต่อหล่อเหลา ลักษณะองอาจไม่ธรรมดา หากทว่าใบหน้าหล่อเหลายามนี้…กลับฉายชัดถึงความหวนคํานึงประการหนึ่ง แม้ฟ้าสีหม่นจะอ้างว้าง กลับแลดูอ้างว้างเปลี่ยวเหงาไม่เท่าแววตาคู่นั้น อย่างไรก็ตามอยู่ๆลึกลงไปในดวงตาอ้างว้างก็เผยประกายเยียบเย็นแรงกล้า ราวกําลังคิดถึงศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอภัย
“พี่หลิงเทียน…”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กลางนภาสีหม่นอ้างว้างหาได้มีแต่ชายหนุ่มชุดม่วงเพียงลําพังสืบไป ปรากฏร่างสตรีในชุดสีขาวเหินลอยขึ้นมาคล้องแขนชายหนุ่มเอาไว้อ่างเป็นธรรมชาติ เอ่ยออกเสียงเบาว่า “ท่านคิดถึงพี่สาวเค่อเอ๋อ พี่สาวเฟยเอ๋อแล้วก็พี่สาวเทียนหวู่อยู่หรือ?”
“ฮ่วนเอ๋อ”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆพลางกล่าว “ไฉนเจ้าออกมาซะเล่า?”
“ข้าเห็นพี่หลิงเทียนหยุดบ่มเพาะแล้วก็ออกมาด้านนอก…หรือตอนนี้ท่านทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 10 ทิศแล้ว?”
ฮ่วนเอ๋อเอื้อถาม
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินก็ทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 10 ทิศไปเป็นที่เรียบร้อย หากทว่าด้วยจุดเริ่มที่ต่ํากว่าพวกนาง ต้วนหลิงเทียนจึงทิ้งทะลวงผ่าน
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกล่าวออกเสียงเบา “ข้าพึ่งจะทะลวงผ่านนี่ล่ะ”
ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่าน หลังจากกินโอสถอมตะและผลไม้อมตะไปเป็นจํานวนมาก แถมต้วนหลิงเทียนยังออกไปไล่ฆ่าผู้คนเพื่อสะสมแต้มรบเพื่อมาเปิดแดนลับ ทําให้พวกเขาได้รับผลไม้อมตะและโอสถอมตะไม่ขาด จนในที่สุดเป้าหมายการมาสมรภูมิอเวจีก็เรียกว่าประสบผลสําเร็จอย่างเลิศล้ํา
แน่นอนว่าในระหว่างดําเนินการเข่นฆ่าล่าทรัพยากร ต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอผู้ถือครองเทพเบญจธาตุไม่น้อย
อย่างไรก็ตามผู้ถือครองเทพเบญจธาตุที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอที่ร้ายกาจที่สุดก็ครอบครองเทพเบจธาตุขั้นที่ 6 เท่านั้น เขาไม่เคยพบเจอกับผู้ถือครองเทพเบญจธาตุขั้นที่ 7 เลย
และไร้ซึ่งข้อยกเว้นใดๆ เทพเบญจธาตุเหล่านั้น ทั้งหมดถูกเทพเบญจธาตุในร่างของเขากลืนกินได้อย่างง่ายดาย
ในปัจจุบัน เทพเบญจธาตุส่วนใหญ่ของต้วนหลิงเทียนไม่ได้อยู่ในขั้นที่ 6 อีกต่อไปแล้ว หลังกลืนกินเทพเบญจธาตุระดับ 6 และระดับ 5 ไปไม่น้อย ในที่สุดเทพเบญจธาตุส่วนใหญ่ของต้วนหลิงเทียนก็ยกระดับไปสู่ขั้นที่ 7 ได้อย่างราบรื่น
นอกจากปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินที่อาภัพกว่าใครเขา เรียกว่าเทพเบญจธาตุคนอื่นๆได้พัฒนาสู่ขั้นที่ 7 กันหมดสิ้น
โดยเฉพาะเพลิงเทพโกลาหล
มันไม่เพียงแต่จะได้กลืนกินเทพเบญจธาตุขั้น 6 ดุจเดียวกับมันเท่านั้น แต่ยังได้กลืนกินเทพเบญจธาตุขั้นที่ 5 ไปมากมาย ทําให้ตอนนี้มันใกล้จะวิวัฒน์สู่ขั้นที่ 8 เต็มที่
“พี่ใหญ่หลิงเทียน ฮ่วนเอ๋อ.พวกท่านมาแอบจู๋จี๋กันที่นี่เอง!”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ทว่าเสี่ยวจินก็เห็นร่างขึ้นฟ้ามาฉับไวด้วยสีหน้าทะเล้น ทว่าไม่ทันที่นางจะได้แซวอะไรมาก พอพบว่าต้วนหลิงเทียนทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 10 ทิศแล้ว สองตานางก็สว่างจ้าขึ้นมาทันที
“พี่ใหญ่ แล้วตอนนี้พวกเราจะเอาอย่างไรต่อดี จะออกจากที่นี่เลย หรือว่าจะเอาให้ทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้ก่อน?”
เสี่ยวจินเอ่ยถาม
นางเองก็รู้วัตถุประสงค์ของต้วนหลิงเทียนดีแก่ใจ
และไม่ว่าจะเป็นตัวนาง พี่ใหญ่หลิงเทียน หรือฮ่วนเอ๋อ ก็ไม่ได้สนการจัดอันดับอะไรในสมรภูมิอเวจีแม้แต่น้อย ทั้งหมดมุ่งหวังแค่ใช้ทรัพยากรในสมรภูมิอเวจีเพื่อทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะเท่านั้น
และตอนนี้ทุกคนก็ทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ 10 ทิศหมดแล้ว กระทั่งนางกับฮ่วนเอ๋อก็บ่มเพาะพลังมาจนปริ่มๆจะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้ทุกเมื่อ
ในสมรภูมิอเวจีแห่งนี้ เมื่อท่านพลังทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ ไม่เพียงแต่จะถูกส่งตัวออกไปด้านนอกทันที กระทั่งแต้มยศรบอะไรที่มีก็จะถูกลบออกไปด้วย
“ อยู่ต่ออีกสักพักเถอะ”
สองตาต้วนหลิงเทียนเปล่งประกายวาบหนึ่งกล่าวว่า “ด่านพลังของข้าพึ่งจะทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศเท่านั้นถึงแม้ข้ายังมีผลไม้อมตะและโอสถอมตะเหลืออีกมาก แต่ถึงจะออกไปด้านนอกก็ใช่ว่าจะบ่มเพาะพลังเร็วกว่าที่นี่ อีกทั้งใครจะรับประกันได้ว่าออกไปแล้วข้าจะหาทรัพยากรบ่มเพาะได้ไม่อั้นเหมือนที่นี่”
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนเพียงกล่าวบอกเสี่ยวจินไปอย่างนั้น
อันที่จริงเหตุผลหลักที่ทําให้เขาไม่อยากรีบออกไปจากที่นี่ ไม่ได้เป็นเพราะเหตุผลที่ว่ามาทั้งหมด แต่เป็นเพราะเทพเบญจธาตุในร่างเขาต่างหาก!
ตอนนี้เทพเบญจธาตุในร่างเขา นอกจากปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินที่ยังคงอยู่ในขั้น 6 ธาตุอื่นๆได้วิวัฒนาการสู่ขั้นที่ 7 กันหมดสิ้น พลังของทุกคนเพิ่มขึ้นไม่ใช่ชั่ว เรียกว่ากําลังรบของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ ผิดกับช่วงที่เข้ามาใหม่ๆหลายขุม!
แต่กระนั้น ทุกคนก็ยังมีที่ว่างให้พัฒนาอีกมาก
และสมรภูมิอเวจีแห่งนี้ ก็เป็นดั่งสรวงสวรรค์สําหรับการพัฒนาของทุกคนจริงๆ
“ตอนนี้หากพวกเราร่วมมือกัน ต่อให้ต้องเจอกับเทพเบญจธาตุขั้นที่ 8..พวกเราก็ไม่มีกลัว!”
วาจาของวารีเทพชําระโลกาเสมือนดังขึ้นในต้วนหลิงเทียนซ้ําอีกครั้ง และด้วยเหตุนี้เอง ทําให้เขาอยากรั้งอยู่ในสมรภูมิอเวจีอีกสักพัก และช่วยให้เหล่าเทพเบญจธาตุยกระดับพัฒนาไปให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะทําได้ในเวลาอันสั้น
และตอนนี้ ยศของต้วนหลิงเทียนในสมรภูมิอเวจีก็ได้กลายเป็นแม่ทัพขั้นที่ 6 แล้ว
เขาเพียงต้องผ่านการทดสอบทําลายขีดจํากัดอีกครั้ง ก็จะทําให้ยศนักรบของเขายกระดับขึ้นได้อีกขั้น
และจนถึงปัจจุบัน ในสมรภูมิอเวจีแห่งนี้ ก็คงเหลือแค่ผู้นําหัวตารางที่เป็นแม่ทัพระดับ 7 สองอันดับแรกเท่านั้นที่ต้วนหลิงเทียนไม่เคยเจอคนที่ร้ายกาจที่สุดที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอก็คือแม่ทัพระดับ 6 ที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากทั้ง 2 คนนั่น แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนได้เข่นฆ่าพวกมันและช่วงชิงเทพเบญจธาตุของพวกมันมาเรียบร้อย
ทั้ง 2 คนนั่น หนึ่งในนั้นเป็นสัตว์อมตะชั้นยอดที่มีระดับทัดเทียมกับเสี่ยวจินและพวกเสี่ยวเฮย เสี่ยวไป๋ แถมยังถือครองทองเทพสุดลี้ลับขั้นที่ 6 ที่สําคัญยังครอบครองอุปกรณ์เทพอีกด้วย!
หากไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน เกรงว่าในสมรภูมิอเวจีคงมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถกําจัดมันได้
สําหรับอีกคน มันเป็นถึงสัตว์เทพระดับเดียวกับฮ่วนเอ๋อ ครอบครองอุปกรณ์เทพเช่นกัน แถมยังมีวารีเทพชําระโลกาขั้นที่ 5 นับว่าพลังกล้าแข็งไม่ใช่ชั่วเลยจริงๆ แต่กระนั้น สุดท้ายก็ต้องตายคาคมกระบี่ต้วนหลิงเทียน
หลังจากฆ่าพวกมันทั้งคู่ นอกจากแต้มรบจํานวนมากแล้ว ต้วนหลิงเทียนยังได้รับอุปกรณ์เทพ และเทพเบญจธาตุของพวกมันมาครอง แถมสิ่งของบางอย่างในแหวนพื้นที่พวกมัน ยังเป็นสมบัติล้ําค่าสําหรับฮ่วนเอ๋อและเสี่ยวจิน ที่ทําให้พลังสายเลือดของพวกนางแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
“โอ้ว”
แน่นอนว่าเสี่ยวจินย่อมไม่คัดค้านการตัดสินใจของต้วนหลิงเทียน เพราะนี่ก็เป็นประโยชน์สําหรับนางเช่นกัน นางยังติดใจสมบัติที่ช่วยให้สายเลือดนางแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย เพราะนี่จะช่วยให้นางมีโอกาสวิวัฒน์ไปเป็นสัตว์เทพมากขึ้น!
ด้านฮ่วนเอ๋อแน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางคัดค้าน
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ…กลับไปพื้นที่อเวจีหมื่นแปลงกัน”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีว่าตอนนี้คงไม่อาจรั้งอยู่ในสมรภูมิอเวจีได้นานแล้ว ดังนั้นหลังจากนี้ เขาจะมุ่งเน้นไปกับการฆ่าคนชิงของแทนการเสียเวลาเข้าแดนลับส่วนตัว เพราะอาศัยผลไม้อมตะกับโอสถอมตะที่เขาเก็บสะสมไว้ก็มากพอให้เขาทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้ในเวลาอันสั้น
และจะบ่มเพาะพลังในสมรภูมิอเวจีแห่งนี้หรือโลกภายนอก มันก็มีค่าเท่ากัน
เพราะสิ่งที่เขาอาศัยในการบ่มเพาะไม่ใช่พลังวิญญาณฟ้าดินในบรรยากาศ แต่เป็นพลังวิญญาณฟ้าดินของซากระนาบเทพในโลกใบเล็กเขา ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนหรือสภาพแวดล้อมอย่างไร เขาก็จะมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะดีที่สุดเท่าที่จะมีได้เสมอ
“พี่สาวสู่ย…ไม่มีทางทําให้พวกเสี่ยวจินกับฮ่วนเอ๋อครอบครองเทพเบญจธาตุได้จริงๆเหรอ?”
หลังจากแปลงร่างและออกจากแดนลับส่วนตัวแล้ว ขณะเดินทางไปยังพื้นที่อเวจีหมื่นแปลง ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามวารีเทพชําระโลกาอีกรอบ
ไฉนที่ใช้คําว่าอีกรอบ เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนได้เอ่ยถามคําถามดังกล่าวไปแล้วไม่น้อยกว่า 5 ครั้ง
“เสี่ยวเทียนเอย ก่อนหน้าข้าก็บอกเจ้าไปหลายรอบแล้วเว้นเสียแต่ทั้งคู่ต้องการเสี่ยง หาไม่ แล้วข้าไม่แนะนําให้เจ้าบีบคั้นเทพเบญจธาตุที่เสียเจ้าของเดิมไปเพราะถูกเจ้าฆ่ามาอยู่กับพวกนาง”
วารีเทพชําระโลกากล่าวตอบเหมือนเดิม
เทพเบญจธาตุนั้น คือผู้ตัดสินใจเลือกร่างต้น
ไม่มีใครบีบบังคับให้พวกมันยอมรับตัวเองเป็นร่างต้นได้
กระทั่งเพลิงเทพโกลาหลเอง หากไม่ใช่เพราะสถานที่ๆมันอยู่ในตอนนั้น เกรงว่าอีกหลายร้อยพันปีก็จะไม่มีใครเฉียดเข้าใกล้ และหากไม่ได้ทองเทพสุดลี้ลับกล่าวเกลี้ยกล่อมหว่านล้อมด้วยข้อเสนออันหอมหวาน ก็คงยากที่มันจะยอมอยู่กับต้วนหลิงเทียน
หากเพลิงเทพโกลาหลไม่ยินยอม ก็ไม่มีใครสามารถบีบบังคับมันได้
ในสมรภูมิอเวจีแห่งนี้ หลังจากที่ร่างต้นของเทพเบญจธาตุถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตายแล้ว พวกมันก็เสมือนถูกต้วนหลิงเทียนทําลายความหวัง ก็ใช่ที่มันอาจจะยอมรับใครเป็นร่างต้นเป็นการชั่วคราว แต่เมื่อร่างต้นดังกล่าวออกจากสมรภูมิอเวจี และพวกมัมนพบเจอร่างต้นที่เหมาะสมกว่า พวกมันก็สามารถละทิ้งร่างต้นได้ทันที เพื่อไปยอมรับร่างต้นคนใหม่
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ไม่เพียงแต่ร่างต้นที่ถูกเทพเบญจธาตุอาศัยเป็นการชั่วคราวจะเสียผลประโยชน์ แต่ยังได้รับผลกระทบจากการถูกทิ้งไม่น้อย!
ที่สําคัญร่างต้นใหม่ที่เทพเบญจธาตุย้ายไปอยู่ด้วย หลังได้รับเทพเบญจธาตุแล้ว เพื่อเก็บรักษาความลับเรื่องที่ตัวเองครอบครองเทพเบญจธาตุ ก็มักจะเลือกเข่นฆ่าร่างต้นคนเก่าทั้งนั้น!
ถึงแม้ว่าร่างต้นคนใหม่จะเป็นคนใจดีไม่คิดตัดรากถอนโคน แต่ก็ไม่พ้นถูกเทพเบญจธาตุ ยุยง ส่งเสริม และโน้มน้าวให้ลงมือจนได้
“เป็นธรรมดาว่า…หากเป็นสาวน้อยฮ่วนเอ๋อนั่น มีโอกาสสูงที่เทพเบญจธาตุจะเต็มใจอยู่กับนาง เพราะท้ายที่สุดแล้ว ก็คงยากที่จะหาร่างต้นที่ไหนที่ดีเท่าสัตว์เทพเช่นนางได้ ทว่าข้าไม่อาจมั่นใจได้ว่าเสี่ยวจินของเจ้าที่เป็นแค่สัตว์อมตะชั้นยอดจะถูกเทพเบญจธาตุยอมรับจากใจหรือไม่ เพราะถึงแม้สัตวว์อมตะชั้นยอดเช่นนางจะหายาก แต่ให้มองไปทั่วระนาบเทวโลกทั้งมวล ก็ไม่ถือว่าเลิศล้ําอะไรมากมาย
วารีเทพชําระโลกากล่าว
ได้ยินคําตอบทํานองเดิม ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่เงียบไปอีกครั้ง
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องนี้ เขาได้ยินมาหลายครั้งแล้ว
แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจได้
ไม่อยากให้ฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินเสี่ยง
“ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่าถึงฮ่วนเอ๋อจะได้รับเทพเบญจธาตุไป แต่พลังของนางก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายอะไร นอกจากนั้นในเมื่อนางมีข้าปกป้อง ให้นางอ่อนแอหน่อยจะเป็นไรไปล่ะ?”
สําหรับเสี่ยวจิน เมื่อไหร่ที่นางสามารถวิวัฒนาการเป็นสัตว์เทพได้ นางก็ย่อมมีหนทางงที่เหมาะสมกับตัวเอง บีบให้เทพเบญจธาตุอยู่กับนางตอนนี้ เกิดนางห่างข้าแล้วโดนเทพเบญจธาตุฉวยโอกาสละทิ้งจะเป็นเรื่องเอา
“แถมเทพเบญจธาตุก็ไม่ได้มีแค่สมรภูมิอเวจี หลังทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะแล้ว ถ้ามีพลังสูงพอเข้าไปสมรภูมิ 9 ยมโลกได้ ก็มีจักรพรรดิอมตะมากมายที่ถือครองเทพเบญจธาตุที่นั้น ถึงตอนนั้นหากพวกนางอากครอบครองเทพเบญจธาตุจริงๆ ก็แค่ไปช่วยพวกนางหาปล้นเทพเบญจธาตุที่สมรภูมิ 9 ยมโลกก็ยังไม่สาย
พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ตัดสินใจได้
ไม่นานนักพวกต้วนหลิงเทียนก็กลับมาถึงพื้นที่อเวจีหมื่นแปลงอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็เสมือนดาวมรณะสําหรับทุกคนที่มาแสวงโชคในสมรภูมิอเวจี ผู้ใดพบเจอเขาก็เสมือนได้ตัวด่วนไปโลกหน้า กระทั่งต้วนหลิงเทียนยังรู้สึกเสมือนเขามารังแกผู้คนอยู่บ้าง
สุดท้ายเมื่อพบเจอผู้ที่อ่อนแอบางคน เขาก็คร้านจะลงมือสืบไป และปล่อยให้ฮ่วนเอ๋อกับเสี่ยวจินได้ยืดเส้นยืดสายลงมือจัดการแทน แน่นอนว่าเขาก็จับตาดูยู่ข้างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องผิดพลาดใดๆ
“ปฐพีเทพแรกกําเนิดฟ้าดินขั้นที่ 6!!”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ํานมหนึ่งโพล่งดังขึ้นอย่างเริงร่าจากโลกใบเล็กภายในกายของต้วนหลิงเทียน แลดูเจ้าของเสียงจะตื่นเต้นยินดีถึงขีดสุด “ฮ่าๆๆๆๆ!! มาแล้ว! ในที่สุด เวลานี้ก็มาถึงแล้ว!!”
ในขณะที่ปฐพี่เทพแรกกําเนิดฟ้าดินระเบิดหัวเราะดังร่าด้วยความดีใจ เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏร่าง 2 ร่างเหินมาหยุดลง
เป็นชายร่างใหญ่แลดูกํายําแข็งแรงเปลือยอกสูงถึง 3 หมี่ กับหญิงชราร่างผอมแห้งที่นั่งอยู่บนไหล่ของชายร่างกํายําดังกล่าว