WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3367
ตอนที่ 3,367 : ผู้เฒ่าหัว?
ณ ว่านโซ่วเทียน
เผ่ามังกร
หลังเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวไป๋มองส่งพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกจนหายลับตาไป แววตาของทั้งคู่ก็ฉายความอาลัยทั้งไม่เต็มใจอยู่บ้าง
อาลัยแน่นอนว่าเป็นเพราะพวกมันไม่อยากแยกจากพี่ใหญ่หลิงเทียนของพวกมันอีกครั้ง
ไม่เต็มใจ เพราะมันไม่เต็มใจจะอุดอู้อยู่แต่ในเผ่ามังกร ในขณะที่ทุกคนไปผจญภัยกัน
“กลับกันเถอะ”
เสี่ยวเฮยหันไปชวนเสี่ยวไป๋ มันรู้ดีว่าตอนนี้พวกมันไม่อาจทําอะไรได้เลย ไม่ต้องกล่าวถึงข้างๆยังมีผู้อาวุโส 4 จี้หนิงอวิ๋นกับผู้อาวุโสใหญ่อย่างจื่อวี่เหนียนคอยคุมอยู่ ต่อให้วันนี้ทั้งคู่ไม่อยู่ แต่อาวุโสที่ดูแลค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ได้รับคําสั่งมานานแล้ว ว่าห้ามปล่อยให้พวกมันแอบใช้ค่ายกล เคลื่อนย้ายหนีไปเที่ยวนอกเผ่าเด็ดขาด!
“เสี่ยวเฮย รู้งี้ตอนนั้นพวกเราหาทางหนีไปสมรภูมิอเวจีกับพี่ใหญ่ให้ได้ก็คงดี…เจ้าเห็นแล้วหรือไม่ เสี่ยวจินไปกับสมรภูมิอเวจีกับพี่ใหญ่ไม่ทันไร ก็ก้าวหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว หากพวกเราไปกับพี่ใหญ่ด้วย ไม่แน่ปานนี้พวกเราอาจจะกลายเป็นมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บไปแล้วก็ได้”
ระหว่างทางกลับ เสี่ยวไป๋ก็ส่งเสียงผ่านพลังไปโอดครวญกับเสี่ยวเฮย
“เสี่ยวไป๋ เจ้าเองก็รู้ว่าสถานการณ์ของเสี่ยวจินมันค่อนข้างพิเศษ อย่างไรก็ตามถึงเรื่องวิวัฒนาการเป็นมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บอาจทําไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆด่านพลังของพวกเราก็สมควรทะลวงถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศได้เหมือนกัน”
เสี่ยวเฮยส่ายหัวไปมาพลางกล่าว
การที่เสี่ยวจินสามารถวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เทพในสมรภูมิอเวจีได้ ทั้งหมดเพราะเสี่ยวจินเป็นสัตว์อมตะประเภทที่สามารถพัฒนาได้หากกลืนกินสายเลือดของสัตว์เทพ ทว่ามังกรเทพยดา 9 กรงเล็บแบบพวกมัน ต่อให้กินสัตว์เทพทั่วไปจนเปรม ก็คงยากจะวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เทพได้
เว้นเสียแต่จะกลืนกินสัตว์เทพบางชนิด ก็อาจจะพอมีความเป็นไปได้อยู่บ้าง
แต่ร่างกายของเสี่ยวจินนั้น เป็นสัตว์อมตะชั้นยอดประเภทหนู ที่สามารถดูดซับแก่นแท้โลหิตของสัตว์อมตะต่างๆที่กลืนกินเข้าไปได้
ด้วยเหตุนี้มันจึงรู้ว่า ต่อให้จะติดตามพี่ใหญ่ไปสมรภูมิอเวจีด้วย แต่มันกับเสี่ยวไป๋ก็คงยากจะวิวัฒนาการได้เหมือนเสี่ยวจินที่ไปกลืนกินสัตว์เทพอย่างพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ของเผ่าพยัคฆ์ขาว
และหากการเข้าไปยังสมรภูมิ มีดีแค่ทําให้ด้านพลังฝึกปรือของพวกมันก้าวหน้าเร็วขึ้นแบบเสี่ยวจิน เกรงว่าหัวเด็ดตีนขาดเผ่ามังกรก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกมันเข้าไปเสี่ยงเพราะเรื่องแค่นี้
ท้ายที่สุด เผ่ามังกรก็ได้ยืนยันแน่ชัดแล้วเรื่องหนึ่ง
มังกรเทพดา 10 กรงเล็บตัวต่อไปที่จะปรากฏขึ้นในเผ่ามังกร หากไม่ใช่มันก็ต้องเป็นเสี่ยวไป๋
และการปรากฏขึ้นของมังกรเทพยดา 10 กรงเล็บก็เกี่ยวเนื่องกับการรุ่งโรจน์หรือถดถอยของเผ่ามังกรในภายภาคหน้าอย่างแยกไม่ออก เช่นนั้นอาวุโสตั้งแต่ระดับต่ํายันระดับสูงสุดของเผ่ามังกร ย่อมไม่มีใครเสี่ยงกับการสูญเสียได้แน่
“นั่นสิ เสี่ยวจินนั่นก่อนเข้าสมรภูมิอเวจี ด่านพลังฝึกปรือของนางยังด้อยกว่าพวกเรา ขั้นนึ่งด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยพอกลับมาอีกครั้งจะมีด่านพลังเหนือพวกเราขึ้นนึงแทน”
สองตาเสี่ยวไป๋ทอประกายลี้ลับหนึ่ง หันไปกล่าวผ่านพลังกับเสี่ยวเฮยว่า “เสี่ยวเฮยหรือว่า…พวกเราจะหาทางแอบหนีไปอีกดี?”
“แอบหนี?”
เสี่ยวเฮยส่ายหัวไปมา “ไม่ใช่ว่าตอนที่เสี่ยวจิน ติดต่อมาเรื่องให้พวกเราไปสมรภูมิอเวจีกับพี่ใหญ่แล้วก็ฮ่วนเอ๋อ พวกเราลองหาทางแอบหนีดูแล้วรึไง..แต่อาวุโสใหญ่กับอาวุโส 4 เปิดโอกาสให้พวกเราที่ไหนล่ะ”
“ที่สําคัญไม่ใช่แค่ทั้งคู่ที่จับตาดูเรา แต่ทั้งคู่ยังไปบอกผู้นําเผ่าเรื่องนี้ด้วย…เห็นว่าตอนนี้ผู้นําเผ่าได้ถ่ายทอดคําสั่งลงมาโดยตรงแล้ว หากใครที่รับผิดชอบจับตาพวกเรา แล้วเผลอปล่อยให้พวกเราคลาดสายตาจนหนีไปได้อีกล่ะก็จะโดนดีไม่ใช่น้อย! ถึงพวกเราอยากหนี แต่ใครจะกล้าปล่อยพวกเราหนีไปได้ง่ายๆ?”
เสี่ยวเฮยถอนหายใจ
“โอย จะคุมเข้มกันเกินไปแล้วนะ”
เสี่ยวไป๋พยักหน้า พลางโอดตรวญออกมาอย่างเบื่อหน่าย จากนั้นคล้ายนึกอะไรได้ออก เลยกล่าวออกมาด้วยสายตาวาดหวัง “ตอนนี้ข้าหวังว่าหลังจากพี่ใหญ่ไปถึงจี้เมี่ยเทียนแล้ว จะสามารถย้อนกลับมาพาพวกเราไปในนามของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ได้!”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะจากไป ก็มีส่งเสียงผ่านพลังบอกต่อทั้งคู่ไว้แล้ว ว่าจะเดินทางไปไหนแล้วไปทําอะไร
เสียวไป๋เองก็มีกล่าวบอกกับต้วนหลิงเทียนไว้แล้วเหมือนกัน ว่าหากต้วนหลิงเทียนสามารถทําให้จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนเอ่ยปากต่อผู้นําเผ่ามังกรสักคํา ถึงตอนนั้นเรื่องจะให้พวกนางไปเที่ยวเล่นที่ขี้เมียเทียนก็ไม่น่าจะมีปัญหา!
เพราะเหตุผลเดียวที่เผ่ามังกรคอยจับตาดูและกักบริเวณพวกนางแบบนี้ ก็ไม่มีอะไร มากไปกว่าเป็นห่วงเรื่อความปลอดภัยล้วนๆ!
อย่างไรก็ตาม หากสถานที่ๆจะไปคือพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนล่ะก็ พวกนางจะปลอดภัยยิ่งกว่าอยู่ในเผ่ามังกรเสียอีก!
“ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น”
เสี่ยวเฮยก็ตั้งหน้าตั้งตารอไม่ต่าง ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างทอดถอนว่า “แต่ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน จะเป็นคนจากระนาบเซียนบ้านเกิดของพวกเราไปได้ อีกทั้งยังเป็นคนที่พี่ใหญ่นับถือเป็นอาจารย์อีก แถมก็เป็นอดีตผู้นํา 7 ทวาราเที่ยงแท้ ขุมกําลังที่พี่ใหญ่รับสืบทอดมา”
“ใช่ พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็อยากพบเจอจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน อาวุโสฝูงชิงหยางผู้นั้นสักครั้งข้าได้ยินว่าอาวุโสฟงชิงหยางเคยเอาชนะผู้นําเผ่าได้ด้วย ตอนนี้พลังฝีมือก็สมควรเหนือกว่าผู้นําเผ่าของพวกเราไปมากแล้ว!”
เสี่ยวไป๋กล่าวด้วยความตื่นเต้น
ณ ด้านนอกพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน กล่าวไปนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์
อย่างไรก็ตาม ครั้งสุดท้ายที่เขามา ก็ได้แต่หยุดอยู่หน้าประตูเท่านั้น
แต่คราวนี้จักรพรดริอมตะหยกกุ้ง เมิ่งชวน ได้มารอเขาอยู่ที่หน้าประตูแล้ว
และตอนนี้ก็มีร่างอีกร่างหนึ่งที่ลอยร่างอยู่ด้านหน้าเมิ่งชวน
เป็นชายวัยกลางคนร่างใหญ่ ไว้หนวดเครา คนลอยแน่นิ่งไม่ไหวติงปานสนตระหง่านกลางยอด เขาอยู่ตรงนั้นให้ความรู้สึกหนักแน่นราวหยั่งรากลงบนผืนดิน
“มากันแล้ว!”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนแลเห็นเมิ่งชวน ด้านเมิ่งชวนก็แลเห็นการมาของพวกต้วนหลิงเทียน แต่ไกลเช่นกัน สองตามันทอประกายวูบวาบ ขณะเดียวกันก็เร่งทักชายวัยกลางคนร่างใหญ่ที่ลอยอยู่ข้างหน้าทันที “พี่ใหญ่ ต้วน…เอ่อ นายน้อยมาแล้ว”
เดิมที่เมิ่งชวนก็คิดจะเรียกชื่อต้วนหลิงเทียนตรงๆ แต่พึ่งจะกล่าวคําว่าต้วนออกมา ก็มีเสียงกระแอมอย่างไม่สบอารมณ์ดังขึ้นจากร่างใหญ่เบื้องหน้า ทําให้มันรีบเปลี่ยนคําพูดแทบไม่ทัน
มันเองก็รู้ดีแก่ใจ
พี่ใหญ่ของมันผู้นี้นับถือใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เป็นดั่งนายเหนือหัว ทั้งยังเคารพและนับถือใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เหนือสิ่งอื่นใด จึงเป็นดั่งคํารักบ้านยังรักลามไปถึงนกที่เกาะบนหลังคาบ้าน เช่นนั้นจึงนับถือศิษย์ของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์และให้ความเคารพเฉกเช่นนายน้อย
ฟุบ!
ฟุบ!
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งจะสังเกตเห็นเมิ่งชวนกับชายวัยกลางคนร่างใหญ่ เขาก็พบว่าร่าง1 ใน 2 เบื้องหน้าก็วูบไปดั่งเงาเลือนพริบตาก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าพวกเขาแล้ว
สายลมแรงตีปะทะเข้ามาจากด้านหน้า พาลให้ชุดคลุมสีม่วงของต้วนหลิงเทียนสะบัดวุ่นวาย
หลังจากชายวัยกลางคนวูบมาหยุดเบื้องหน้าเขาฉับไว เมิ่งชวนก็เร่งรุดเหินร่างตามมาเช่นกัน
“เมิ่งหลัว ขอคารวะนายน้อย! เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบท่าน!”
พอชายวัยกลางคนร่างใหญ่วูบมาปรากฏตัว สิ่งแรกที่มันทําก็คือประสานมือโค้งคารวะก้มหัวให้ด้วยท่าที่มากเคารพ ขณะเดียวกันเสียงกล่าวทักของมัน ก็ทําให้ต้วนหลิงเทียนคาดเดาตัวตนของชายร่างวัยกลางคนใหญ่คนนี้ได้ทันที
“เมิ่งชวนขอคารวะนายน้อย”
เมิ่งชวนเองก็ป้องมือประสานโค้งคารวะต้วนหลิงเทียนด้วยความสุภาพ ผิดกับกิริยาท่าทางที่มีต่อต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าลิบลับ
ในอดีตเพราะมันมันไม่แน่ใจในฐานะของชายหนุ่มเบื้องหน้า ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีความสําคัญในใจ จักรพรรดิสวรรค์แห่งเมี่ยเทียนแค่ไหน เช่นนั้นแม้มันจะสุภาพ แต่ก็ไม่ถึงกับก้มหัวนอบน้อมอย่างให้เกียรติขนาดนี้
อย่างไรก็ตามพอมันได้รับทราบสถานะของชายหนุ่มเบื้องหน้า และรู้ว่าอีกฝ่ายมีความสําคัญอย่างไรในสายตาจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนจากปากของพี่ชายอย่างเมิ่งหลัว มันก็รู้ดีว่าแต่นี้ ต่อไปจําต้องให้ความเคารพชายหนุ่มเบื้องหน้าให้มาก!
หาไม่แล้ว อย่าว่าแต่อาจทําให้ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ไม่พอใจ กระทั่งพี่ใหญ่ได้ทุบตี มันจนนอนเปลแน่!
พี่ชายของมัน เมิ่งหลัว ได้รับการช่วยเหลือจากจักรพรรดิสววรรค์มานับครั้งไม่ถ้วน เรียกว่า ยึดถือจักรพรรดิสวรรค์เป็นยิ่งกว่าเจ้าชีวิต กระทั่งในสายตาของพี่ชายมัน ตัวมันที่เป็นน้องชายแท้ๆคลานตามกันมา ยังมีค่าไม่เท่าเล็บนิ้วเท้าของจักรพรรดิสววรรค์เลย
และไม่ต้องกล่าวถึง
ว่าจักรพรรดิสวรรค์ที่ว่าก็คือจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เสี่ยเทียน ยอดฝีมืออันดับ 1 ของจี้เมี่ยเทียน!
“ผู้อาวุโสเมิ่งชวน ท่านเกรงใจข้าเกินไป”
ถึงแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจไว้แต่แรก หลังได้ยินน้ําเสียงและวาจาของเมิ่งชวนที่ติดต่อกันก่อนหน้า และรู้ว่าพอพบกันอีกครั้งเมิ่งชวนคงไม่มีท่าทีเหมือนก่อน แต่พอเห็นเข้าจริงๆ ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนอยู่ในใจ แต่เขาเองก็เข้าใจ
ในโลกนี้ คําผู้เข้มแข็งได้รับการยอมรับนับถือเป็นที่สุด ไม่ใช่คํากล่าวลอยๆ
หากท่านเข้มแข็ง หรือมีตัวตนที่ยิ่งใหญ่ดั่งขุนเขาให้พึ่งพึ่ง ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องเคารพท่านอยู่สามส่วน
“นี่สมควรเป็นอาวุโสเมิ่งหลัวกระมัง?”
หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวทักเมิ่งชวนแล้ว เขาก็หันไปมองถามชายวัยกลางคนร่างใหญ่ไว้หนวด เคราะเบื้องหน้าเมิ่งชวน พลางป้องประสานมือคารวะทักทาย “ต้วนหลิงเทียน ขอคารวะอาวุโส เมิ่งหลัว ชื่อเสียงเลิศล้ําของท่านข้าได้รับฟังมานานแล้ว”
เมิ่งหลัวนั้น เป็นดั่งมือขวาคนสนิทของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน
นอกจากนั้นภายในพระราชวังงจักรพรรดิสวรรค์แห่งนี้ พลังฝีมือของเมิ่งหลัวยังเป็นรองก็แต่จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียนคนเดียวเท่านั้น มีชื่อเสียงทัดเทียมกับผู้อาวุโสใหญ่แห่งเผ่ามังกร จี้อวี่เหนีย!
แน่นอนว่าทั้งหมดเป็นเรื่องในอดีต
ในอดีตหลายปีก่อน เมิ่งหลัวที่เป็นดาวรุ่งคนหนึ่ง กลับมีพลังมากพอจะต่อกรกับจื้อเหนียน
ผ่านมาหลายปีดีดักแบบนี้ ด้วยพรสวรรค์ของเมิ่งหลัว เกรงว่าคงเหนือกว่าจื้อเหนียนไปนานแล้ว
“นายน้อย เรียกข้าว่าเมิ่งหลัวเถอะ”
เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนไม่ได้หัวสูงหยิ่งยโส และให้เกียรติมันดั่งอาวุโสคนหนึ่ง เมิ่งหลัวย่อมประทับใจในตัวต้วนหลิงเทียนไม่น้อย เร่งโค้งคํานับซ้ําๆทันที ในแววตาฉายชัดถึงความชื่นชมเพิ่มขึ้นหลายส่วน
สมแล้วที่เป็นคนที่ใต้เท้าจักรรพรดิสวรรค์ให้ความสําคัญ ชายหนุ่มเบื้องหน้าไม่เพียงมากล้นไปด้วยพรสวรรค์ และสติปัญญา อีกฝ่ายยังไร้ซึ่งความหยิ่งยโสเยี่ยงนายน้อยเกหวรากทั้งหลายที่เคยพบพานมาโดยแท้
“นายน้อย!?”
จังหวะนี้เองเสี่ยวจินที่พึ่งได้สติกลับมา สองตาก็ลุกวาวจ้าทันที
ชายนามเมิ่งหลัวเบื้องหน้า หรือก็คือจักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่างเป็นใคร นางไหนเลยจะไม่รู้จัก! อีกฝ่ายมีชื่อเสียงเลื่องลือในจี้เมี่ยเทียนนัก กระทั่งอาวุโสใหญ่ของหุบจันทร์โลหิตยังเคยกล่าวไว้ว่า หากต้องปะทะกับคนผู้นี้อย่างดีก็ได้แค่เสมอ แถมยังมีโอกาสพ่ายแพ้สูงมากกว่าด้วยซ้ํา
“พี่ใหญ่ เมิ่งหลัวคนนี้ไม่ใช่เล่นๆเลย….หลายปีก่อน มันสามารถสู้เสมอกับอาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกรได้ ตอนนี้น่ากลัวพลังฝีมือจะพอๆกับผู้นําเผ่ามังกรแล้ว”
เสี่ยวจินเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียนทันที “ดูเหมือนจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนอาวุโสฟงชิงหยางจะให้ความสําคัญกับท่านมากจริงๆ…หาไม่แล้วเมิ่งหลัวคงไม่นอบน้อมต่อท่านถึงขนาดนี้ แถมยยังมาต้อนรับท่านด้วยตัวเองอีก”
เสี่ยวจินที่อาศัยอยู่ในหุบจันทร์โลหิตอันเป็นขุมกําลังระดับสวรรค์แนวหน้าของว่านโซ่วเทียน นางย่อมรู้ดีว่าการที่เพิ่งหลัวมาต้อนรับพี่ใหญ่ของนางด้วยตัวเองแบบนี้ มีความหมายมากขนาดไหน
ต้องทราบด้วยว่าต่อให้ผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่ามังกร ยามมาเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ด้วยฐานะของเมิ่งหลัวในจี้เมี่ยเทียน เลิกฝันไปได้เลยว่าจะออกมาต้อนรับถึงหน้าประตูแบบนี้
“นายน้อย โปรดตามเมิ่งหลัวเข้าพระราชวัง”
หลังเมิ่งหลัวกล่าวต้อนรับทักทายต้วนหลิงเทียนแล้ว ก็ผายมือเชิญตัวนหลิงเทียนเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งเมียเทียน
พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมียเทียน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในระนาบเมียเทียน โดยรอบเต็มไปด้วยม่านหมอกสลัวๆปกคลุม มองไกลๆแล้วให้ความรู้สึกสูงส่งเลื่อนลอยไม่อาจจับต้องราวดินแดนมหัศจรรย์ อย่างไรก็ตามใครได้ชมมองกลับรู้สึกสงบใจทั้งผ่อนคลายลงอย่างประหลาด
“นายน้อย ตั้งแต่ที่ผู้เฒ่าหัวมาถึง ผู้เฒ่าหัวกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ก็กล่าวถึงท่านไม่ขาดเลย”
หลังผ่านประตูหน้าเข้าสู่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แล้วว เมิ่งหลัวก็หันไปยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
“ผู้เฒ่าหัว!?”
ต้วนหลิงเทียนแรกได้ฟังก็ตกใจไม่น้อย จากนั้นความคิดเขาก็ล่องลอยย้อนกลับไปครั้งสมัยอยู่ในระนาบเซียนเมื่อเกือบ 300 ปีก่อน
เขาได้ประสบโชควาสนา พานพบเข้ากับเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ
และเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็มีวิญญาณสถิตย์ศาสตราคนหนึ่ง ซึ่งเขาเรียกหาอีกฝ่ายว่า ผู้เฒ่าหัว
ผู้เฒ่าหัวนั้นเป็นอีกาทองคํา 3 ขาที่ประจําอยู่ในชั้นแรกของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ฟังจากที่ผู้เฒ่าหัวกล่าวเล่ามา ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นสัตว์อมตะระดับสูงพอสมควรในระนาบเทวโลก และเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติก็คือยอดสมบัติสวรรค์
แน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจในอดีต
หลังจากมาถึงระนาบเทวโลก พอได้ประสบกับอะไรหลายๆอย่างความรู้ความเข้าใจเขาก็เพิ่มขึ้น เมื่อใดที่ย้อนนึกถึงเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติในอดีต เขาก็สรุปได้ว่ามันคืออุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณสถิตย์
ผู้เฒ่าหัวนั้นก็เป็นวิญญาณสถิตย์อุปกรณ์อมตะ
“อาวุโสเมิ่งหลัว ผู้เฒ่าหัวที่ท่านกล่าวถึง…ใช่วิญญาณสถิตย์อุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิ เจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามเมิ่งหลัว สองตายังลุกวาวเป็นประกายจ้า