WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3399
ตอนที่ 3,399 : เมืองฮั่นหลิน
ฟางจี้ย่อมหลงเชื่อคำพูดของลี่หลัว
ด้วยเหตุนี้มันจึงคิดจะให้ลี่หลัวนำทางไป
เป็นธรรมดาว่าก่อนจะออกเดินทาง ฟางจี้ก็พาลี่หลัวเข้าไปในนิกายวิถีอีกาก่อน แต่ไม่ได้พาลี่หัวไปพบประมุขของนิกายยวิถีอีกา
มันพาลี่หลัวกลับไปยังที่พัก จากนั้นก็เรียกลูกชาย กับศิษย์ที่สำคัญที่สุด 3 คนให้ออกจากนิกายวิถีอีกาไปกับมัน
หลังจากไปครั้งนี้ ตัวมันไม่คิดย้อนกลับมานิกายวิถีอีกาอีก
ในนิกายวิถีอีกา คนเดียวที่มันห่วงใยและไม่อาจละทิ้งก็คือลูกชายคนเดียวของมัน
“ท่านพ่อเรื่องนี้จะไม่เสี่ยงเกินไปหน่อยหรือ?”
ฟางฉุน ลูกชายของฟางจี้ก็เป็นราชาอมตะคนหนึ่ง พลังฝีมือเหนือกว่าลี่หลัวเล็กน้อย หลังจากได้รับทราบเรื่องราว มันก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเอ่ยถามบิดาออกมาตรงๆ
“เจ้าคิดว่า นางกำลังโกหกข้าอยู่หรือ?”
ฟางจี้หันไปมองฟางฉุนด้วยแววตาอ่อนโยน แฝงความรักความเอ็นดู “ฉุนเอ้อ…เจ้าอย่าได้ห่วงไปเลย เพราะนางไม่กล้าโกหกข้าหรอก”
“อีกทั้ง การโกหกข้าไป ก็ไม่ได้ช่วยให้นางรอดพ้นความตาย”
“กับประมุข นางยังอาจเก็บชีวิตเอาไว้ได้…แต่กับข้าถึงนางโกหกข้าไปจะอย่างไรนางก็ต้องตายแน่ เพราะนางรู้ดีว่าในเมื่อข้าเลือกจะออกจากนิกายวิถีอีกาแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรจะเสียอีก! ถึงตอนนั้นหากนางกล้าโกหกข้าจริงๆ ข้าจะให้นางตายทั้งเป็น!!”
กล่าวถึงท้ายประโยคฟางจี้ก็จงใจหันไปมองลี่หลัว อย่างไรก็ตามสีหน้าลี่หลัวยังคงสงบนิ่งไม่แปรเปลี่ยน สิ่งนี้ยยิ่งทำให้ฟางจี้รู้สึกว่าลี่หลัวไม่น่าจะโกหกมัน
“ศิษย์น้องรอง ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้าคิดมากเกินไป ลี่หลัวอ่อนด้อยกว่าพวกเรา หรือพวกเราต้องกลัวว่านางจะหลอกพวกเราและหนีเอาตัวรอดไปได้?”
ศิษย์คนโตของฟางจี้ เป็นชายวัยกลางคนและมีพลังฝีมือเหนือกว่าฟางฉุนหลายส่วน ยามกล่าวดวงตาสามเหลี่ยมคู่นั้นของมันฉายแววเย็นชาน่ากลัวนัก “พวกเรามีคนตั้งเยอะ ทั้งยังมี 3 คนที่พลังฝึกปรือเหนือกว่านาง…หากนางกล้าโกหกพวกเราก็ตาย! หรือคิดพาพวกเราไปติดกับอันใด เพียงแค่พวกเราระวังและส่งคนออกไปสำรวจที่ทางก่อนสักคน พอเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนที่เหลือยังไม่ฆ่านางให้ตายทรมานอีกหรือ!!”
กล่าวถึงท้ายประโยค มุมปากของศิษย์คนโตฟางจี้ก็คลี่ยิ้มแสยะเย็นชา
“ใช่แล้วศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ใหญ่กล่าวถูกแล้ว”
ขณะเดียวกันศิษย์อีก 2 คนของฟางจี้ ก็กล่าวออกมาอย่างเห็นด้วย “พวกเรามีคนมากกว่า ทั้งมี 3 คนที่เหนือกว่าลี่หลัว ต่อให้นางคิดทำอะไร ยังจะกระดิกตัวได้อีกหรือ?”
อันที่จริงเรื่องนี้ฟางฉุนก็รู้
มันแค่ถามไปแบบนั้น
พอมาได้ยินคำพูดของบิดา ศิษญ์พี่ใหญ่รวมถึงศิษย์น้องทั้ง 2 ใจมันก็สงบลงทันที
“เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปกันเถอะ…จากนี้ไปพวกเราไม่ใช่คนของนิกายวิถีอีกาอีก กระทั่งหากประมุขรู้ว่าพวกเราลักพาตัวลี่หลัวมา มันคงไม่คิดปล่อยพวกเราไปง่ายๆแน่”
ฟางฉุนเอ่ยออกเสียงเข้ม
“ฮ่าๆๆ…หากพวกเราไปถึงซากปรักหักพังของระนาบเทพจริง รอให้พรสวรรค์และศักยภาพของพวกเราได้รับการเปลี่ยนแปลงเกิดใหม่ ไม่นานพวกเราก็สามารถทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะได้แน่!”
ศิษย์พี่ใหญ่ของฟางฉุนหัวเราะฮ่าๆ ค่อยกล่าว “ถึงตอนนั้น ต่อให้พวกเราจะย้อนกลับไปนิกายวิถีอีกา ประมุขนิกายวิถีอีกาก็ไม่กล้าทำอะไรโง่ๆหรอก!”
“กระทั่งขอเพียงพวกเราเปิดเผยพลังฝีมือสักเล็กน้อย…ขี้คร้านมันจะเร่งส่งมอบตำแหน่งประมุขนิกายวิถีอีกาออกมาให้อาจารย์เป็นของขวัญ”
กล่าวถึงท้ายประโยค มันก็หันไปมองฟางจี้พลางกล่าวประจบสอพลอ “ท่านอาจารย์ ข้าต้องขอบคุณท่านยิ่งนัก ที่มอบโอกาสให้ข้าได้เกิดใหม่เช่นนี้”
“ขอท่านอาจารย์โปรดมั่นใจ หลังข้ากำเนิดใหม่แล้ว ข้าไม่มีวันลืมรากเหง้า ยิ่งไม่มีวันลืมบุญคุณของท่าน ต่อไปข้าจะยังคงติดตามท่านอาจารย์”
หลังศิษย์พี่ใหญ่กล่าว ศิษย์คนที่ 3 กับ 4 ของฟางจี้ก็เร่งกล่าวขอบคุณกันออกมาด้วยความซาบซึ้งยกใหญ่ ทำราวกับฟางจี้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของพวกมัน
พอเห็นศิษย์ทั้งหลายรู้กตัญญู ฟางจี้ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เหตุไฉนที่มันพาทุกคนมาด้วย ก็เพราะมันคิดจะเพาะสร้างผู้ช่วยมือดีสักสองสามคน
ตัวมันนั้นมีความทะเยอทะยานสูงนัก
นิกายวิถีอีกาที่เป็นแค่นิกายระดับ 6 ? หากมันได้รับโชควาสนามาจริง มันก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
มันต้องการปีนขึ้นที่สูง ทั้งก้าวไกลไปกว่านี้
“ลี่หลัวเจ้านำทางไป”
ฟางจี้มองลี่หลัวพลางกล่าวเสียงเบา “อย่าได้คิดเล่นตุกติกอันใด หาไม่แล้วถึงพวกเราจะไม่อาจย้อนกลับไปนิกายวิถีอีกาได้อีก แต่พวกเราก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าตายดีแน่!”
“เจ้าคงทราบว่ากระทั่งสุนัขจนตรอกยังโดดข้ามกำแพง หากเจ้าคิดบีบคั้นให้พวกเราลงมือ ก็อย่าได้คิดเสียใจภายหลังเล่า”
ตอนนี้ฟางจี้คาดหวังจะได้รับโอกาสที่ลี่หลัวกล่าวถึงนัก มันต้องการเข้าสู่ซากปรักหักพังของระนาบเทพ รวมถึงได้โอกาสเปลี่ยนแปลงพรสวรรค์เสมือนเกิดใหม่
ด้วยเหตุนี้มันนจึงพาลูกชายศิษย์อีก 3 คนออกจากนิกายวิถีอีกามาทันที
ไมช้าก็เร็วสุดท้ายประมุขนิกายวิถีอีกาต้องทราบเรื่องที่มันได้ตัวลี่หลัวมาแล้วแน่ แต่มันกลับพาลี่หลัวจากไปดื้อๆ เช่นนั้นไม่พ้นมันก็ต้องถูกตามล่าแน่นอน!
“ข้าโกหกเจ้าหรือเล่นตุกติกไป ยังจะได้ประโยชน์อะไร?”
ลี่หลัวกล่าว “ฟางจี้ เจ้าอย่าได้ลืมที่ข้าพูดไว้ก็พอ…ระหว่างทางข้าจะคิดหาทางปกป้องตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าคิดข้ามแม่น้ำรื้อสะพาน”
“เจ้าไม่ต้องห่วงไปหรอก ข้าไม่คิดคืนคำแน่”
แม้ปากฟางจี้จะกล่าวไปแบบนั้น แต่ในดวงตากลับฉายแววเยียบเย็น
“จากจุดนี้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ใด? พวกเราต้องไปที่นั่นก่อน”
ลี่หลัวเอ่ยถามฟางจี้
แน่นอนว่านางเองก็รู้ว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกที่ใกล้ที่สุดอยู่ที่ไหน แค่จงใจเอ่ยถามฟางจี้เพื่อให้มันเสนอขึ้นมาเองเท่านั้น
“เมืองฮั่นหลิน”
ฟางจี้เอ่ย “สถานที่ๆเจ้าว่าไม่ได้ตั้งอยู่ในดินแดนสื่อฉีงั้นรึ?”
ฟางจี้เองก็พลันตระหนักได้ถึงเรื่องนี้
“ไม่ได้ตั้งอยู่ที่นี่”
ลี่หลัวส่ายหัวไปมา
ฟางจี้ไม่พูดอะไรมากความ เพียงเหินร่างนำทางอยู่ด้านหน้าลี่หลัว ส่วนลูกชายกับศิษย์ทั้ง 3 ของมันประกบอยู่ด้านหลังลี่หลัว
ต่อให้ลี่หลัวคิดจะหนี แต่เกรงว่าถึงจะมีปีกงอกเงยเพิ่มขึ้นอีกสัก 2 ข้างก็ยากจะบินหนีไปไหนได้
ระหว่างเดินทางไปเมืองฮั่นหลิน ลี่หลัวก็ลอบระบายลมหายใจอยย่างโล่งอกลับๆ ตอนนี้นางวางใจได้แล้ว
ซากปรักหักพังของระนาบเทพนั่น กระทั่งตัวนางเองก็พึ่งรู้มาหยกๆว่ามีอะไรแบบนั้นอยู่ด้วย
นางเพียงทำตามคำแนะนำของลูกชายนางต้วนหลิงเทียน ถ่วงเวลาให้ลูกชายกับสามีพบนาง
ต้วนหลิงเทียนลูกชายนางแนะนำให้ยยกอ้างเรื่องซากปรักหักพังของระนาบเทพออกไป กระทั่งบอกให้นางพยายามกล่าวล่อพวกมันโดยอาศัยความจริงปนเท็จ เพราะสุดท้ายแล้วเรื่องที่เสมือนได้เกิดใหม่เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพก็เป็นความจริง และด้วยพรสวรรค์ที่เห็นกันอยู่ชัดๆ ฟางจี้ไม่อยากจะเชื่อแค่ไหนก็ต้องเชื่อ
ต้วนหลิงเทียนยังใช้ลูกแก้ววิญญาณของลี่หลัวเพื่อส่งข้อความให้นางเพิ่ม เป็นการแนะนำวิธีเอาตัวรอดอีกอย่าง
นั่นก็คือหากแผนแรกใช้ไม่ได้ ก็ให้แจ้งฟางจี้เสียว่ามีจักรพรรดิอมตะอยู่เบื้องหลังนาง
ถึงตอนนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ฟางจี้จะหลงเชื่อหรือไม่หลงเชื่อเรื่องซากระนาบเทพ แต่มันก็คงต้องกริ่งเกรงและไม่กล้าเสี่ยงลงมือแน่…อย่างไรก็ตามเอาแค่เรื่องซากระนาบเทพ ฟางจี้ก็น่าจะติดกับแล้ว
ทุกผู้คนล้วนมีความโลภ
ฟางจี้นั้น ในฐานะที่เป็นแค่อาวุโสคนหนึ่งของขุมกำลังระดับ 6 มายาวนาน ชั่วชีวิตนี้จึงหมดหวังเรื่องบรรลุถึงของเขตจอมราชันอมตะไปแล้ว พออยู่ๆมาได้เห็นหนทางที่ทำให้บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันอมตะ กระทั่งจักรพรรดิอมตะได้ ไหนเลยมันจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ?
“เมืองฮั่นหลิน”
ขณะเดียวกันลี่หลัวยังยืนยันสถานที่ๆกำลังจะไปให้ต้วนหลิงเทียนกับต้วนหรูเฟิงรับทราบ
ตอนนี้พวกต้วนหลิงเทียนก็ได้มาถึงดินแดนสื่อฉีแล้ว แต่เป็นธรรมดาว่ายังไม่รู้ว่านิกายฉวินซิ่วหรือนิกายวิถีอีกาอยู่ทางไหน
ตอนแรกเขาก็คิดจะถามทางไปนิกายวิถีอีกา และบุกไปที่นั่นเลย
อย่างไรก็ตามถึงจะถามทางไปนิกายวิถีอีกาได้ แต่จะมากจะน้อยก็ต้องใช้เวลาเดินทาง และในเมื่อมารดาของเขาถูกจับตัวไปถึงนิกายวิถีอีกาแล้ว ไม่สู้ให้มารดาออกห่างจากนิกายวิถีอีกาก่อนประเสริฐกว่า
“สหายท่านนี้ ไม่ทราบเมืองฮั่นหลินตั้งอยู่ทางไหนรึ?”
หลังจากลี่หลัวยืนยันเมืองที่จะไป ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือเรียกผลึกอมตะระดับจอมราชันออกมาหลายก้อน เช่นนั้นผู้โชคดีที่บังเอิญผ่านมาก็ได้รับทรัพย์ก้อนใหญ่ ด้านต้วนหลิงเทียนพอได้รับทราบตำแหน่งที่ตั้งเมืองฮั่นหลินแล้ว ก็ขอให้ผู้เฒ่าหั่วนำพาไปทันที
ซู่มม!!
ร่างผู้เฒ่าหั่วพลันเปล่งแสงเพลิงสีทองสว่างจ้าออกมาทันใด จากนั้นมองขึ้นไปบนฟ้าสูง ก็ปรากฏร่างอีกาทองคำ 3 ขาตัวเขื่องเปล่งแสงพลังสว่างเจิดจ้าปานตะวันดวงที่สอง ต้วนหรูเฟิงกับต้วนหลิงเทียนเองก็ถูกพลังไร้สภาพหอบหิ้วขึ้นไปบนหลังแต่แรก พริบตาต่อมาร่างผู้เฒ่าหั่วก็พุ่งวาบตัดฟ้าไปด้วยความเร็วอัศจรรย์
หากมีจอมราชันอมตะบังเอิญผ่านมาแถวนี้ พอเห็นร่างมหึมาที่ลุกโชนไปด้วยเพลิงพลังสีทองกลางหาว ไม่พ้นต้องหลงคิดว่าตะวันดวงหนึ่งกำลังร่วงหล่นลัดฟ้าเป็นแน่
“ถึงแล้ว”
ถึงแม้เมืองฮั่นหลินจะห่างจากสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายรับตัวเมื่อครู่อยู่บ้าง แต่ผู้เฒ่าหั่วก็พาทุกคนเดินทางมาถึงได้ในเวลาอันสั้น
หลังมาถึงเมืองฮั่นหลิน ต้วนหลิงเทียนก็เร่งติดต่อไปหามารดาก่อนใดอื่น สุดท้ายถามไปถามมาจึงพบว่ามารดายังมาไม่ถึงเมืองฮั่นหลิน จึงอดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ท่านพ่อ พวกเราไปรอรับท่านแม่กันเถอะ”
ตอนนี้เมื่อมาถึงเมืองฮั่นหลินแล้ว แถมยังถามผู้คนจนรู้ทิศทางที่ตั้งนิกายวิถีอีกา เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนคิดหาตัวมารดาก็ย่อมเป็นเรื่องง่าย กระทั่งยังคิดไปดักเจอกลางทางอีกด้วย
อย่างไรก็ตามพอต้วนหลิงเทียนกล่าวเสนอเรื่องไปดักกลางทาง ตอนที่สองตาต้วนหรูเฟิงกำลังเป็นประกาย มันก็ได้รับข้อความจากลี่หลัวเสียก่อน “พี่เฟิง คนที่พาข้ามากลัวว่าจะมีคนของนิกายวิถีอีกาไล่ตามมาเจอ จึงใช้เส้นทางอ้อมเข้าเมืองฮั่นหลิน…เช่นนั้นท่านกับเทียนเอ๋อรออยู่ที่เมืองฮั่นหลินก่อนเถอะ”
“เข้าใจแล้ว”
ต้วนหรูเฟิงส่งข้อความตอบกลับ จากนั้นก็หันไปกล่าวบอกเรื่องราวต่อต้วนหลิงเทียน ด้านต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังก็พาบิดาวูบร่างข้ามมิติไปหยุดเหนือฟ้าสูง ด้านผู้เฒ่าหั่วเองก็ทะยานขึ้นมาตามติด
จากนั้นสำนึกเทวะอันทรงพลังแฝงกลิ่นอายเพลิงไฟหนึ่งก็กำจายปกคลุมไปทั่วเมืองฮั่นหลิน กระทั่งยังแผ่ขยายออกไปนอกเมืองเป็นวงกว้าง
ตราบใดที่ลี่หลัวปรากฏตัวในขอบเขตสำนึกเทวะ ผู้เฒ่าหั่วย่อมรู้ได้ทันที
ผู้เฒ่าหั่วนั้นไม่เพียงบรรลุถึงด่านพลังจักรพรรดิอมตะ แต่ยังเป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ สำนึกเทวะของผู้เฒ่าหั่วจึงแผ่ปกคลุมไปทั่วเมืองฮั่นหลินกระทั่งอาณาบริเวณโดยรอบได้ง่ายดาย สัมผัสได้ถึงสรรพชีวิตทั้งหมดในรัศมี และเมืองฮั่นหลินที่อย่างดีก็มีแค่ตัวตนขอบเขตราชาอมตะ ย่อมไม่อาจสัมผัสได้ถึงสำนึกเทวะของผู้เฒ่าหั่ว
ราวๆ 1-2 ชั่วยามต่อมา
“มากันแล้ว”
พอผู้เฒ่าหั่วกล่าวออก ไม่ว่าจะต้วนหลิงเทียนหรือต้วนหรูเฟิงก็ทำตาลุกวาวทันที โดยเฉพาะต้วนหรูเฟิง ร่างยังสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น
มันไม่ได้พบเจอภรรยามานานแล้ว
“ไป”
จากนั้นร่างพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก็อันตรธานหายไปจากน่านฟ้าของเมืองฮั่นหลินทันที
ในเวลาเดียวกัน พื้นที่ทางตะวันออกห่างจากเมืองฮั่นหลินมาพอสมควร ก็ปรากฏร่างลี่หลัวที่ถูกฟางจี้พ่อลูกกับศิษย์ทั้ง 3 ควบคุมตัว เหินข้ามฟ้ามาไวๆ
“ลี่หลัว เจ้าคิดออกแล้วหรือยัง?”
ฟางจี้เอ่ยถาม
“ยังไม่”
ลี่หลัวขมวดคิ้ว “ฟางจี้ หากมีเจ้าแค่คนเดียวยังพอว่า…แต่ตอนนี้เจ้าพาคนมาเพิ่มมากมาย ข้าจะคิดหาวิธีได้ง่ายๆอย่างไร?”
“ข้ารู้แก่ใจดี ว่าหลังข้าบอกสถานที่ตั้งซากปรักหักพังของระนาบเทพออกไป และเจ้ายืนยันได้แน่ชัดเมื่อไหร่ เจ้าไม่มีทางปล่อยข้าไปแน่”
“อีกทั้งหากเจ้ายังไม่อาจยืนยันได้แน่ชัด เจ้าก็ไม่มีทางปล่อยให้ข้าคลาดสายตาเช่นกัน”
กล่าวถึงท้ายประโยค หว่างคิ้วลี่หลัวก็ขดย่นเป็นปม