WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3402
ตอนที่ 3,402 : ชือปั๋วนู่ โมโห!
“น่าสนใจดีนี่…เจ้านั่นไปหาคนมาช่วยงั้นรึ?”
ผู้เฒ่าหั่วมองไปยังร่าง 2 ร่างผู้มาใหม่ พอเห็นภิกษุชราด้านหลัง ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเฉยเมย มุมปากยกยิ้มแสยะเบาๆ
“ข้าก็คิดไม่ถึงจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ลาหัวโล้นเฒ่านั่น ทะลึ่งเข้ามาสอดเรื่องชาวบ้านทั้งๆที่ไม่รู้อะไรแท้ๆ แถมพวกเราก็เมตตาไว้ชีวิตมันแล้ว…มิคาดมันกลับไปหาคนมาช่วยเอาคืนซะงั้น”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังคุยกับผู้เฒ่าหั่วเหนือน่านฟ้านอกนิกายวิถีอีกา ร่าง 2 ร่างที่เหินมาก็เผยรูปโฉมให้เห็นชัด ล้วนสวมใส่จีวรแลเป็นภิกษุสงฆ์ด้วยกันทั้งคู่ และภิกษุผู้มาใหม่ก็เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กว่า 2 หมี่
ครู่ต่อมาทั้งคู่ก็ เหมือนจะสังเกตเห็นพวกต้วนหลิงเทียน จึงโร่เข้ามาหาเร็วไว
“พี่ใหญ่ เป็นเจ้าพวกนั้นแหล่ะ!”
ภิกษุเฒ่าที่เหินร่างตามภิกษุวัยกลางคนต้อยๆ พอสังเกตเห็นต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่วและต้วนหรูเฟิง ก็เร่งชี้มือชี้ไม้กล่าวฟ้องยกใหญ่
ภิกษุวัยกลางคนนั้น ไม่เพียงร่างจะสูงใหญ่ยังค่อนข้างเจ้าอ้วนท้วมพุงโต บริเวณเอวที่แทบไม่เห็นเป็นเอวของมัน ห้อยน้ำเต้าอันเขื่องขนาดเท่าเด็กวัย 5-6 ขวบแขวนไว้
ได้ยินคำฟ้องของภิกษุชรา ภิกษุวัยกลางคนก็กวาดตามองมาทางต้วนหลิงเทียน ผู้เฒ่าหั่ว และต้วนหรูเฟิงทันที
สุดท้ายสายตามันก็วกกลับไปตกยังร่างผู้เฒ่าหั่ว ลูกตาหยีๆบนแก้มอ้วนหดเล็กลงจนแทบปิด เอ่ยถามเสียงเบา “ประสก ท่านเป็นคนทำร้ายน้อง 3 ของอาตมาหรือ?”
“ไม่ผิด”
ผู้เฒ่าหั่วเอ่ยตอบ พลางมองภิกษุวัยกลางคนตัวอ้วนอย่างไร้ความหวั่นหวาด “น้อง 3 ของท่าน เข้ามาสอดมือยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกเรา ทั้งคิดช่วยเดรัจฉานที่มิสมควรได้รับการช่วยเหลือ…แต่เพื่อเห็นแก่ความเมตตาของมัน พวกเราจึงไม่ได้ลงมือหมายเอาชีวิตอะไร”
“เจ้ามาเช่นนี้ คิดจะออกหน้าเพื่อมันรึ?”
ผู้เฒ่าหั่วเอ่ยถาม
“อย่างไรก็เป็นน้องชายอาตมาทั้งคน ประสกว่าหากอาตมาไม่ออกหน้า แล้วผู้ใดจักออกหน้าเล่า…”
ภิกษุวัยกลางคนตัวอ้วนใหญ่ กล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพไร้อคติ ก่อนจะเอ่ยถามผู้เฒ่าหั่วด้วยความสงสงสัย “อาตมาฟังจากน้อง 3 มาว่า ประสกท่านเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟได้ถึง 3 ประการ…เช่นนั้นประสกไม่น่าจักเป็นคนไร้นามในสือฉี่เทียนของพวกเรา…อาตมาขอไถ่ถามประสกได้หรือไม่ ว่าประสกมีความเป็นมาเช่นไร?”
ในระนาบเทวโลก แม้จะมีจักรพรรดิอมตะสมญานามที่ไม่สังกัดฝักฝ่ายและเป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่บ้าง แต่ก็มีน้อยคนนัก
เนื่องเพราะเมื่อความแข็งแกร่งบรรลุถึงระดับหนึ่ง คิดจะก้าวหน้าต่อก็เป็นเรื่องราวแสนยากเย็น…ยังมีใครไม่อยากผสานรวมความลึกซึ้งของกฏหลายประการ? แล้วยังมีใครไม่อยากบรรลุถึงขอบเขตเทพ? ทว่าการบ่มเพาะฝึกปรืออยู่คนเดียวทำความเข้าใจคนเดียว ไยมิใช่คิดเดินทางลำบาก งมหาอย่างไร้ทิศทาง?
เช่นนั้นเพื่อความก้าวหน้า จำต้องมีแววดวงสังคมในระดับเดียวกัน เพื่อช่วยเหลือเพื่อประลองกันก็ดี หารือกันก็ดีหมายกรุยจุดรอคอยรวมถึงแรงบันดาลใจ เช่นนั้นขุมกำลังระดับสวรรค์ รวมถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ก็เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆสำหรับผู้คิดแสวงหาความก้าวหน้า
เช่นนั้นพอภิกษุอ้วนทราบว่าชายชราในชุดคลุมแดงเพลิง สามารถเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟได้อย่างต่ำ 3 ประการหนึ่งชุด ย่อมตระหนักได้ทันที ว่าอีกฝ่ายจะมากจะน้อยก็ต้องไม่ใช่คนไร้ความเป็นมา
“ตามธรรมเนียมแล้วก่อนที่ท่านจะถามว่าข้าเป็นใคร มิใช่ว่าสมควรนำตัวเองก่อนหรือ?”
ผู้เฒ่าหั่วหยีตากล่าวกับภิกษุอ้วนด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ในเมื่ออีกฝ่ายสุภาพมามันก็สุภาพกลับ
“เพ่ย!”
ก่อนที่ภิกษุอ้วนพุงใหญ่จะทันได้กล่าวตอบ ภิกษุชราก็ก้าวออกมาเบื้องหน้า ยืดตัวกล่าวด้วยน้ำเสียงผยอง “เจ้าเงี่ยหูฟังไว้ให้ดีๆเล่า พี่ใหญ่ของข้าผู้ชือปั๋วผู้นี้ ก็คือมือขวาคนสนิททั้งเป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามที่มีพลังฝีมือเป็นอันดับ 1 ใต้บังคับบัญชาใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉี่เทียน”
“ผู้คนรู้จักกันในนาม…จักรพรรดิอมตะน้ำเต้าสุรา!”
ชือปั๋วผิง กล่าวจบมันก็ยืดอกแหงนหน้าอยย่างภาคภูมิเสียเต็มประดา ขณะเดียวกันก็เหลือบมองผู้เฒ่าหั่วด้วยสายตาท้าทายราวกับจะกล่าวว่า ‘ไงล่ะ! เจอพี่ใหญ่ข้าเข้าไป พวกเจ้ากลัวกันแล้วล่ะสิ’
“อ้อ ที่แท้ก็จักรพรรดิอมตะน้ำเต้าสุรา ชือปั๋วนู่ นี่เอง”
ได้ยินคำกล่าวด้วยความลำพองของชือปั๋วผิง ผู้เฒ่าหั่วก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ด้วยนึกออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร จากนั้นก็หันมองไปทางชือปั๋วนู่พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “กล่าวไปแล้ว ข้ากับจักรพรรดิสวสรรค์สือฉี่เทียนของพวกท่านก็มีมีชะตากรรมร่วมกันครั้งหนึ่ง…แม้ตอนนี้ไม่อาจเรียกหากันว่าสหาย แต่ก็กล่าวได้ว่ารู้จักมักคุ้นกันอยู่”
“หืม?”
ชือปั๋วนู่พอได้ฟังก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “ประสกท่าน…รู้จักกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของอาตมาด้วยหรือ?”
จักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉี่เทียนนั้น ปกติแล้วมักใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ตั้งแต่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ ก็มีสหายน้อยคนนัก…ไม่ใช่ว่าไม่อยากคบหาผู้ใดเป็นสหายหรือไม่มีใครคบ เพียงแค่หาสหายในระดับเดียวกันได้ยากมาก
เพราะเมื่อด่านพลังบรรลุถึงจุดๆหนึ่งแล้ว การจะหาผู้ใดที่คุยภาษาเดียวกันได้ก็ยากนัก สำหรับคนอื่นเมื่อด่านพลังอ่อนด้อยกว่าก็ไม่อาจคบหาเป็นสหายอะไรกันกับมันได้อย่างสนิทใจ
เช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่า…
หากจะมีผู้ใดถือว่าเป็นสหายของจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉี่เทียนจริง ก็สมควรเป็นสหายที่รู้จักมักคุ้นกันมาแต่ในอดีต อีกทั้งตัวจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนเอง ก็เป็นคนพูดง่าย หากเป็นสหายเก่าขอความช่วยเหลืออะไร ก็มักจะเต็มใจช่วยเหลืออย่างไม่อิดออด
ด้วยเหตุนี้พอ ชือปั๋วนู่ ได้ยินผู้เฒ่าหั่วบอกกว่ารู้จักมักคุ้นกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของมัน สิ่งแรกที่มันนึกถึงก็คือผู้เฒ่าหั่วอาจจะเคยเป็นสหายกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของมันในอดีต พอพลังฝีมือทั้งฐานะถูกทิ้งห่างไปมาก ก็เลยห่างกันไปไม่ค่อยได้ติดต่อ…
ซูว!
ด้านชือปั๋วผิงที่วางมาดเมื่อครู่ พอได้ยินคำของผู้เฒ่าหั่วก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที ‘ตาแก่น่าตีผู้นี้ มันรู้จักกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์จริงๆหรือ? จริงรึหลอก?’
“หึ! ปากเจ้าพูดว่ารู้จักมักคุ้นกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ ก็รู้จักมักคุ้นกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แล้วหรือ? เท่าที่ดูข้าว่าพอเจ้ารู้ตัวตนพี่ใหญ่ของข้าแล้ว เจ้าก็แค่กล่าวอ้างออกมาเพื่อหลีกหนีเภทภัยมากกว่ากระมัง?”
ถึงแม้ที่จริงชือปั๋วผิงจะบังเกิดความหวั่นใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่ลดท่าทีโดยง่าย “ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ…ว่าเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่มาแต่ไหน? ไฉนถึงมารู้จักมักคุ้นกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของข้าได้?”
“พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน จักรพรรดิอมตะอีกาทองคำ ผู้เฒ่าหั่ว!”
ผู้เฒ่าหั่วเหลือบมองชือปั๋วผิงที่แลดูดุดันด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวประกาศฐานะตัวออกไปด้วยรอยยิ้มแสยะเผยความดูแคลน จนเมื่อเห็นชือปั๋วผิงที่แลดูดุดันเอาเรื่องเมื่อครู่หน้าเสียไปหลังรับทราบตัวตนของมัน รอยยิ้มแสยะดูแคลนค่อยกลายเป็นรอยยิ้มขบขันอยู่บ้าง ลาหัวโล้นเฒ่าผู้นี้ช่างตลกยิ่ง!
“จริงสิ ครั้งสุดท้ายที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางของข้ากลับมายังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน จักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนของพวกท่านก็ไปนำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีด้วย ข้าเองก็ได้พบเจอทั้งสนทนากันอยู่หลายคำ”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวถึงจุดนี้ ก็หันไปมองถามชือปั๋วนู่ด้วยรอยยิ้มบางๆ “ในเมื่อท่านเป็นดั่งมือขวาคนสนิทของจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียน ยามว่างๆก็สมควรได้ยินจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนเอ่ยถึงเรื่องนี้อยู่บ้างกระมัง?”
ในตอนนั้น เมื่อจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนหวนคืนตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์อย่างเป็นทางการ ก็ได้มีจักรพรรดิสวรรค์มากมายจากระนาบเทวโลกต่างๆมาเยี่ยมเยียนเพื่อร่วมแสดงความยินดีหมายสานไมตรี
หนึ่งในนั้นก็มีจักรพรรดิอมตะสือฉี่เทียน
ยิ่งไปกว่านั้น จักรพรรดิอมตะสวรรค์สือฉี่เทียนที่พูดไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ พอมารวมตัวอยู่กับเหล่าจักรพรรดิสวรรค์ที่คุยเก่งขี้ประจบทั้งหลาย ก็ให้ความรู้สึกจืดจางเสมือนไม่มีตัวตนอยู่บ้าง
และนอกจากกล่าวคำแสดงความยินดีต่อจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง สั้นๆแล้ว ก็แทบไม่ได้พูดคุยอะไรกับใครเลย
อย่างไรก็ตาม เพราะมันไปแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ ไม่ได้หมายไปประจบประแจงเหมือนคนอื่น ทำให้ผู้เฒ่าหั่วที่สังเกตุเห็นจุดนี้รู้สึกดีกับมันอยู่หลายส่วน จึงเข้าไปพูดคุยทำความรู้จัก สุดท้ายอีกฝ่ายก็เลยเอ่ยช่วนผู้เฒ่าหั่วอย่างกระตือรือร้นว่าถ้าหากมีเวลาว่าง ให้มาเป็นแขกที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์เพื่อให้มันทำการต้อนรับบ้าง
“ท่าน…ท่านก็คือจักรพรรดิอมตะอีกาทองคำ!?”
ลูกตาชือปั๋วนู่ที่เจือความหวั่นใจอยู่เป็นทุน มาบัดนี้หดเล็กลงเร็วไว เพราะเป็นอย่างที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวไว้ไม่มีผิด! หลังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนกับมา ยามว่างก็กล่าวถึงผู้เฒ่าหั่วกับมือขวาคนสนิทอย่างมันบ่อยครั้ง กระทั่งกำชับว่าหากผู้เฒ่าหั่วมาให้มันทำการต้อนรับอย่างดี อย่าได้เสียมารยาทเด็ดขาด!
ด้วยเหตุนี้มันจึงรับทราบอัตลักษณ์คร่าวๆของ ผู้เฒ่าหั่ว จักรพรรดิอมตะอีกาทองคำแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนมาบ้าง แค่พอปุบปับมาเจอก็เลยนึกไม่ออก มาตอนนี้จึงตระหนักได้ว่า ลักษณะของอีกฝ่ายตรงกับคำอธิบายของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของมันชัดเจน!!
“ที่แท้ประสกก็คือท่านผู้เฒ่าหั่วนี่เอง…เป็นอาตมาเสียมารยาทแล้ว ต้องขออภัยประสกด้วย”
ชือปั๋วนู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พอมองผู้เฒ่าหั่วอีกครั้ง ในแววตาก็เริ่มฉายให้เห็นถึงความสุภาพกริ่งเกรง
ถึงแม้จะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ดุจเดียวกัน แต่พลังฝีมือใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนของมัน กับจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนผู้นั้น เรียกว่าแตกต่างกันราววฟ้ากับเหว ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแม้แต่น้อย…
กระทั่งใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนของมัน ยังออกปากกล่าวชมยกย่องจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนด้วยความเลื่อมไสอยู่บ่อยครั้ง กล้าพูดออกมาได้ไม่อายแม้แต่นิดเดียวว่าตัวเองยังห่างไกลจากผู้อื่นอยู่มาก
“น้อง 3 เพราะเจ้าไม่รู้จักผู้เฒ่าหั่วแต่แรก จึงเสียมารยาทต่อผู้เฒ่าหั่ว! พอรู้แล้วไฉนยังไม่รีบมาขอขมาต่อท่านผู้เฒ่าหั่วอีก!!”
ก่อนที่ผู้เฒ่าหั่วจะทันได้พูดอะไร ชือปั๋วนู่ก็หันไปตวาดใส่ชือปั๋วผิงเชิงตำหนิ น้ำเสียงยามกล่าวยังไม่อนุญาตให้สงสัยอีกด้วย
ชือปั๋วผิงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้มันฟังแล้ว มันก็รู้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันก็แค่ความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ไม่ได้สร้างความบาดหมางอะไรให้ผู้เฒ่าหั่วแม้แต่นิดเดียว
พอเห็นว่าชือปั๋วผิงยังชักสีหน้าลังเลอยู่ได้ ชือปั่วนู่ก็โมโหขึ้นมาแล้วจริงๆ ถ้าไม่ติดจะกลัวขายหน้าผู้อื่นก็อยากจะแพ่นกบาลน้องไม่รู้ความผู้นี้ให้ลั่น สุดท้ายก็ได้แต่กล่าวผ่านพลังไปหาผู้น้องด้วยความหงุดหงิด “เจ้า 3 นี่เจ้ายังมัวรีรออันใดอยู่อีก! ไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนของผู้อื่นเขา…อาศัยแค่พลังฝีมือของผู้อื่น ข้าเองก็ไม่แน่ว่าจะรับมือได้ไหวแล้ว!”
“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกเรากล่าวไว้ว่า ภายใต้จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ผู้ที่มีพลังฝีมือเป็นอันดับ 1 ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนก็คือจักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่างเมิ่งหลัว จากนั้นก็เป็นผู้เฒ่าหั่วผู้นี้แล้ว!”
“น้อง 3 อย่าได้บอกว่าพี่ใหญ่ไม่เตือนเจ้า แต่จักรพรรดิอมตะอีกาทองคำผู้นี้ ไม่ใช่ตัวตนที่เจ้าสามารถล่วงเกินสร้างความขุ่นเคืองได้จริงๆ!”
น้ำเสียงของชือปั๋วนู่ที่ส่งผ่าพลังมามากล้นไปด้วยโทสะ ทั้งยังกล่าวเตือนอย่างจริงจัง
ได้ยินเสียงเปี่ยมโทสะของพี่ใหญ่ แม้ชือปั๋วนู่จะห่อเหี่ยวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าหือกับพี่ใหญ่ หันไปริเริ่มกล่าวคำขอขมาลาโทษต่อผู้เฒ่าหั่วทันที “ผู้เฒ่าหั่ว เป็นข้าไม่รู้เรื่องราวเอง ต้องขอขมาต่อท่านแล้วที่คิดให้ท้ายคนผิด”
“ขอโทษข้าไป ก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
ผู้เฒ่าหั่วเหลือบมองชือปั๋วผิงที่กล่าวคำขอโทษด้วยน้ำเสียงสลดหน้าซึมปราดหนึ่ง ค่อยหันไปมองทางต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างข้างๆกาย “นี่คือนายน้อยแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเรา ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์พวกเรา…หากเจ้าคิดจะขอโทษ ก็มาขอโทษนายน้อยข้าเสีย”
พอผู้เฒ่าหั่วกล่าวประโยคนี้จบคำ โทสะของชือปั๋วนู่ก็พุ่งปรี๊ดจนแทบระเบิด
มารดามัน! เดิมทีมันหลงคิดว่าน้อง 3 ตัวดีของมันจะมีเรื่องกับจักรพรรดิอมตะอีกาทองคำเท่านั้น แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าน้องมันถึงขั้นห้าวหาญไปมีเรื่องกับศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนได้!!
“น้อง 3!”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะอารมณ์ ชือปั๋วนู่ก็หันไปถลึงตามองชือปั๋วผิงอย่างดุร้าย ราวกับทนรอจะพุ่งไปทุบตีน้องไม่รักดีให้ตายไม่ไหว และคราวนี้ชือปั๋วผิงที่รู้ว่าความฉิบหายมาเยือนแล้ว ก็ไม่รอให้พี่ใหญ่กล่าวมากความ เร่งประสานมือโค้งหัวขอขมาให้ต้วนหลิงเทียนทันที “นายน้อยข้า…เป็นข้าโง่เขลาเบาปัญญาไม่รู้ความ พลั้งเผลอล่วงเกินนายน้อยไป ขอนายน้อยโปรดอภัยให้ข้าด้วย!”
ด้วยเห็นว่าท่าทีของอีกฝ่ายดูจริงใจไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะถือสาหาความสร้างความลำบากใจอะไรให้อีกฝ่าย เพียงพยักหน้ารับเบาๆ “แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้นเอง แล้วกันไปเถอะ”
“ขอบคุณท่านนายน้อย!”
ชือปั๋วนู่พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ติดใจเอาความ ใบหน้าเปี่ยมโทสะเพราะโมโหน้องตัวดี ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มเร็วไว เร่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “นายน้อย ยากนักที่ท่านจะมาเยือนสือฉี่เทียนของพวกเราได้…มิสู้ท่านไปเป็นแขกพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของสือฉี่เทียนเราดี? ข้าเชื่อว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ต้องยินดีต้อนรับท่านอย่างยิ่ง!”
ผู้เฒ่าหั่วพอได้ฟัง ก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะปฏิเสธ
มิคาดคำตอบของต้วนหลิงเทียนกลับอยู่เหนือความคาดหมายของผู้เฒ่าหั่ว “ขอบคุณสำหรับคำชวน…แต่ข้าเกรงว่าตอนนี้จะยังไม่อาจไปเป็นแขกพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนของท่านได้…เพราะข้าต้องรอให้ท่านแม่ของข้าสะสางเรื่องราวที่นิกายวิถีอีกาแล้วเสร็จก่อน”
“นายน้อยเกรงใจไปแล้ว พวกเรายินดีรอท่าน”
ชือปั๋วนู่คลี่ยิ้มด้วยความกระตือรือร้น จากนั้นก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ เลยเอ่ยถามด้วยความงุนงง “ว่าแต่นายน้อย นิกายวิถีอีกานี่มิใช่เป็นแค่นิกายระดับ 6 หรือไร…ไฉนถึงไปเกี่ยวข้องกับมารดาของท่านได้เล่า?”
ขณะเดียวกันกับที่ชือปั๋วนู่เอ่ยถามด้วยความสงสัย ด้านชือปั๋วผิงที่กล่าวขอขมาไปแล้วและลอยร่างเรียบๆร้อยๆข้างๆอย่างเงียบงัน หลังลอบมองต้วนหลิงเทียนอยู่สักพัก ในใจก็เริ่มบังเกิดคลื่นลมประการหนึ่ง ‘เจ้าหนุ่มนี่เป็นถึงนายน้อยแห่งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนเชียวหรือ?’
‘แถมมันยังเป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนฟงชิงหยางผู้นั้นอีก?’
‘เท่าที่เคยได้ยินมา ไม่ใช่ว่าฟงชิงหยางผู้นั้นไม่เคยรับศิษย์อย่างเป็นทางการมาก่อนหรือไร? ในเมื่อมันเป็นศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวแบบนี้ ไม่ใช่ว่าสถานะของมันในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน จะไม่ต้อยต่ำไปกว่าจักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่าง เมิ่งหลัว ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือหรอกหรือ?’
‘ยังมีฟงชิงหยางผู้นั้น หลังจิตวิญญาณกระบี่กวงหลิง จิตวิญญาณของกระบี่ผลาญฟ้าอาสัญถูกทำลาย และถูกบีบเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 ดินแดนต้องห้ามนั่น…’
‘เห็นว่าหลังมันรอดกลับออกมาแล้ว ก็ลือกันหนาหูว่าได้มอบอุปกรณ์เทพให้จักรพรรดิอมตะสวรรค์กร่าง เมิ่งหลัว เป็นการตบรางวัลที่คอยดูแลพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนตอนไม่อยู่! ในเมื่อกับผู้อื่นยังมอบของระดับนั้นให้ได้ เช่นนั้นมิใช่เจ้าหนุ่มที่เป็นศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวนี่ ต้องได้ของดีๆมาเต็มกระบุงหรือไร!?’
พอคิดถึงจุดนี้ชืปั๋วผิงก็ก้มหน้าลงทันที ปกปิดแววตาที่เริ่มฉายชัดให้เห็นถึงสีสันแห่งความโลภเข้มข้นไม่ให้ใครเห็น
‘สิบในสิบไม่พ้นไอ้หนูนี่ ต้องได้ศาสตราเทพรวมถึงชุดเกราะเทพอย่างดีติดตัวไว้เป็นแน่! ให้ใครมาบอกว่าฟงชิงหยางไม่มอบของเทพให้มันเลย ต่อให้ตายข้าก็ไม่มีทางเชื่อ!!’
‘มารดามัน นั่นคืออุปกรณ์เทพเชียวนะ…กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์สือฉี่เทียนยังไม่มีสักชิ้นเลย!’