WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3406
ตอนที่ 3,406 : ถูกยึดร่าง
มู่อีอีนั้นเป็นผู้สืบทอดทวาราเที่ยงแท้ลำดับที่ 2 ความลับสวรรค์ และเป็นผู้ฝึกเต๋าท้าทายสวรรค์
ตอนแรกนางก็ถูกจับตัวไปพร้อมครอบครัวของต้วนหลิงเทียน และถูกอวิ๋นชิงเหยียนคุมขังไว้ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ต่อมาภายหลังก็ได้รับความช่วยเหลือจากเซี่ยเจี๋ย นาย 3 แห่งตระกูลเซี่ยจนถูกส่งตัวมายังระนาบโลกียะ
เป็นธรรมดาว่าระนาบโลกียะที่มู่อีอีถูกส่งมาไม่ใช่ระนาบเซียน เป็นระนาบโลกียะแห่งอื่น
ด้วยพลังของนางกอปรทั้งพรสวรรค์ที่ได้รับการขัดเกลาชำระของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ มู่อีอีก็สามารถฝึกปรือในระนาบโลกียะดังกล่าวได้อย่างราบรื่น และในที่สุดก็ทะยานขึ้นสู่ ลั่วสุ่ยเทียน
มู่อีอีที่ทะยานขึ้นมายังลั่วสุ่ยเทียนก็ไต่เต้าก้าวหน้าขึ้นมาด้วยยความเร็ว และไม่ว่าไปที่ใดนางก็คืออัจฉริยะหญิงที่ยากพานพบ
ในปัจจุบัน นางก็ได้กลายเป็นศิษย์อัจฉริยะของนิกายลั่วสุ่ยเรียบร้อย
นิกายลั่วสุ่ยเป็นขุมกำลังระดับสววรรค์ ขณะเดียวกันก็เป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งเป็นอันดับ 1 ในลั่วสุ่ยเทียนแห่งนี้อีกด้วย เพราะจักรพรรดิสวรรค์ของลั่วสุ่ยเทียน ก็เป็นคนของนิกายลั่วสุ่ยเช่นกัน ยังเป็นถึงประมุขนิกาย!
มรดกของนิกายลั่วสุ่ยนั้น เกี่ยวพันกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งลั่วสุ่ยเทียนอย่างแยกไม่ออก
ประมุขแต่ละรุ่นของนิกายลั่วสุ่ย ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิสวรรค์ของลั่วสุ่ยเทียนทั้งสิ้น และมันก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้เองสถาที่ตั้งของนิกายลั่วสุ่ย กับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งลั่วสุ่ยเทียนก็เป็นที่เดียวกัน
ฐานะของนิกายลั่วสุ่ยสำหรับลั่วสุ่ยเทียนแล้ว ก็คล้ายๆกับเผ่ากิเลนในว่านโช่วเทียน…หากจะถามว่าเผ่ากิเลนของว่านโช่วเทียนแตกต่างจากนิกายลั่วสุ่ยอย่างไร ก็ต้องบอกว่ามีสถานที่ตั้งถิ่นฐานแยกออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของว่านโช่วเทียน
ทว่านิกายลั่วสุ่ยกับพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของลั่วสุ่ยเทียนเป็นหนึ่งเดียวกัน
“ศิษย์น้องหญิงอีอี”
ในปัจจุบันมู่อีอีก็เป็นจอมราชันอมตะ 4 รูปแล้ว และนางยังถูกธิดาเทพของนิกายลั่วสุ่ย ที่เป็นลูกสาวแท้ๆของประมุขนิกายลั่วสุ่ยอันพ่วงตำแหน่งจักรพรรดินีสวรรค์แห่งลั่วสุ่ยเทียนรับไปเป็นศิษย์อีกด้วย
พอได้พบเจอมู่อีอีอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็จำมู่อีอีแทบไม่ได้
“ศิษย์พี่ต้วน”
ตอนนี้มู่อีอีมาในชุดสีขาวราวหิมะให้ความรู้สึกเย็นชา ปานจะผลักไสผู้คนให้ล่าถอยออกไปนับพันลี้ สิ่งนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแปลกๆ ราวกับเบื้องหน้าไม่ใช่มู่อีอี แต่เป็นคนอื่น
ยิ่งไปกว่านั้นตอนกล่าวทักต้วนหลิงเทียน น้ำเสียงของมู่อีอีก็เต็มไปด้วยความเย็นชาไม่แยแสไร้ซึ่งการยกย่อง เห็นได้ชัดว่าต่างจากมู่อีอีคนก่อนจากหน้ามือเป็นหลังมือ!
ถึงแม้มู่อีอีจะไม่ได้แลดูยกย่องเคารพต้วนหลิงเทียนเหมือนเมื่อก่อน แต่อย่างไรก็ตามต่อหน้าต้วนหลิงเทียนนางก็ยังทำตัวดี
‘ดูเหมือนวันเวลากว่า 300 ปีที่ผ่าน จะทำให้นางเปลี่ยนไปมาก’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“ศิษย์น้องหญิงอีอี ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อ…”
ต้วนหลิงเทียนคิดจะบอกมู่อีอีว่าที่เขามาหานาง เพราะคิดจะพานางกลับไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน และมอบสถานที่พักบ่มเพาะที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดให้นาง ถึงแม้ท่าทีมู่อีอีจะแลดูเปลี่ยนไป แต่เขาเชื่อว่านางก็ยังคงเป็นมู่อีอีคนเดิมที่เชื่อฟังเขา
เป็นธรรมดาว่าถึงเขาจะเชื่อในตัวมู่อีอี แต่เขาก็ไม่คิดจะส่งนางเข้าไปบ่มเพาะพลังในโลกใบเล็กของเขาทันที
เพราะในโลกใบเล็กของเขา ไม่เพียงแต่จะมีพฤกษาเทพกำเนิดชีพเท่านั้น แต่ยังมีกระทั่งเทพเบญจธาตุ รวมถึงพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพอีกด้วย
หากทั้งหมดถูกเปิดเผยออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะนำหายนะครั้งยิ่งใหญ่ขนาดไหนมาสู่เขา…
หากเป็นมู่อีอีในอดีต ต้วนหลิงเทียนอาจจะแค่ไม่ไว้ใจมู่อีอี แต่มู่อีอีในปัจจุบัน ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกระแวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ศิษย์พี่ใหญ่ต้วน นี่ใครหรือ?”
ทว่าไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้กล่าวจบคำอะไร มู่อีอีก็เอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน สายตาของนางจับจ้องไปยังผู้เฒ่าหั่วด้านหลังต้วนหลิงเทียนเขม็ง
“นี่คือผู้เฒ่าหั่ว”
ต้วนหลิงเทียนที่ถูกขัดคำก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงผายมือแนะนำผู้เฒ่าหั่วให้นางรู้จัก
ผู้เฒ่าหั่วเหลือบมองมู่อีอีปราดหนึ่ง หว่างคิ้วก็ขดย่นเป็นปม จากนั้นก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียนเร็วไว “นายน้อย ศิษย์น้องหญิงของท่านมีบางอย่างผิดปกติ…ในร่างของนางกลับมีกลิ่นอายวิญญาณ 2 ดวง”
“กลิ่นอายวิญญาณ 2 ดวง?”
ใจต้วนหลิงเทียนสั่นไปทันทีที่ได้ยิน เร่งส่งเสียงผ่านพลังเอ่ยถาม “ผู้เฒ่าหั่ว ท่านหมายความว่าอะไรกันแน่?”
“ดูเหมือนการชิงร่างจะยังไม่เสร็จสิ้น”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวเข้าประเด็นสำคัญทันที
“ชิงร่าง!?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงเร็วไว
เรื่องชิงร่างนั้น ต้องบอกเลยว่าเขาคุ้นเคยกับมันดี กระทั่งหลังจากที่เขาตกตายในโลกเก่าจนวิญญาณข้ามโลกมาปรากฏในระนาบเซียนอย่างลี้ลับได้ไม่ทันไร เขาก็พบเจอกับประสบการณ์ชิงร่างมากับตัว และตอนนั้นก็เป็นวิญญาณของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดที่หมายปองร่างเขา!
ในเวลานั้น เพราะความที่วิญญาณของเขาไม่ได้มีต้นกำเนิดในระนาบเซียน ทำให้ได้รับการปกป้องจากกฏเกณฑ์ฟ้าดิน จักรพรรดิกลับชาติมาเกิดจึงประหนึ่งคิดขโมยไก่ไม่สำเร็จ ยังต้องเสียข้าวสารไปอีกกำมือ…กลายเป็นเขาได้รับผลประโยชน์ครั้งยิ่งใหญ่
เพราะเขาได้รับความทรงจำทั้งหมดของมันมา ทำให้เส้นทางการบ่มเพาะฝึกปรือของเขาในระนาบเซียนราบรื่นอย่างมาก
ถึงแม้ในภายหลังความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดจะไม่ได้มีค่าอะไรมากมายอีกต่อไป แต่ไม่อาจไม่พูดว่าเป็นเพราะความทรงจำของงจักรพรรดิกลับชาติมาเกิดนั้น มีส่วนทำให้ต้วนหลิงเทียนเป็นอย่างทุกวันนี้
เพราะความทรงจำของจักรพรรดิกลับชาติมาเกิด ได้วางรากฐานอย่างแน่นหนาให้กับต้วนหลิงเทียน
‘ในระนาบเทวโลก การที่เซียนอมตะอีกคนจะช่วงชิงร่างเซียนอมตะอีกคนคงไม่ได้ทำกันง่ายๆกระมัง…อีกทั้งต่อให้มีเซียนอมตะที่แข็งแกร่งคิดจะช่วงชิงร่างของผู้อ่อนแอจริง แต่ฝ่ายหลังก็มีเวลาทำลายร่างกายหรือสลายดวงจิตของตัวให้ดับสูญก่อนไม่ใช่รึไร?’
‘ยิ่งไปกว่านั้นยังได้ยินมาว่า ถึงแม้การชิงร่างในระนาบเทวโลกจะทำได้ แต่ลือกันว่าด่านพลังฝึกปรือจะหยุดนิ่งอยู่กับที่…เช่นนั้นเว้นเสียแต่จะมีเหตุจำเป็นจริงๆ ไม่มีผู้ใดคิดจะละทิ้งร่างกายตัวเองไปชิงร่างผู้อื่นแน่นอน เพราะแค่เสียเวลาสร้างร่างใหม่ก็จบ’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจด้วยความสงสัย
“สมควรเป็นเช่นนั้นไม่ผิดแน่”
ผู้เฒ่าหั่วยืนยันด้วยความมั่นใจ “เพราะสถานการณ์ของนาง ข้าไม่อาจมองเป็นอื่นได้จริงๆ”
“เทียนหวู่ ทำไมเจ้าไม่ออกมาเล่า?”
ตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนพลันฉุกคิดอะไรได้…เฟิ่งเทียนหวู่เป็นผู้ติดต่อกับมู่อีอีแต่แรก มู่อีอีจึงออกมารอเขาที่หน้าประตูใหญ่นิกายลั่วสุ่ยแบบนี้
ทว่าตอนนี้เฟิ่งเทียนหวู่กลับไม่คิดจะออกมาพบหน้านาง
“พี่ใหญ่ต้วน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้าคิดไปเองรึเปล่า…แต่ข้ารู้สึกว่าศิษย์พี่หญิงอีอีต่างไปจากเดิม น้ำเสียงที่นางใช้ตอนส่งข้อความติดต่อกับข้า มันหมางเมินเหินห่างราวนางเป็นคนละคนกับกาลก่อน”
เฟิ่งเทียนหวู่กล่าว
นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เฟิ่งเทียนหวู่ไม่สนใจจะออกมาพบเจอกับมู่อีอี เพราะมู่อีอีทำราวกับนางเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว
มู่อีอีคนปัจจุบัน ทำให้นางรู้สึกเสมือนเป็นคนแปลกหน้า
ความรู้สึกห่างเหินดังกล่าว ทำให้เฟิ่งเทียนหวู่ไม่คิดจะพบเจอกับนางอีกต่อไป เลือกจะใช้เวลาบ่มเพาะพลังในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนประเสริฐกว่า
ต้วนหลิงเทียนเองที่มองสำรวจมู่อีอีอยู่ ก็บอกได้ไม่ยากว่าสายตาที่มู่อีอีใช้มองเขา ไม่ใช่สายตาของคนที่มีความสุขความยินดีหลังได้พบเจอสหายเก่าอย่างเขาหรือเทียนหวู่ที่ไม่พบกันนาน
ทันใดนั้นใจต้วนหลิงเทียนก็จมลงทันที
หรือศิษย์น้องหญิงมู่อีอีของเขา…กำลังถูกผู้อื่นพยายามชิงร่างจริงๆ?
“นายน้อย ข้าแนะนำให้จับตัวนางกลับไปก่อน…ข้าสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายพลังวิญญาณที่อ่อนแอเจียนดับสูญในร่างเต็มที สมควรเป็นวิญญาณของศิษย์น้องหญิงท่าน และที่ไฉนวิญญาณของนางอ่อนแอก็เพราะกำลังถูกหลอมกลืน”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าว
“ถูกหลอมกลืนงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว
“ไม่ผิด! เป็นการหลอมกลืน!”
ผู้เฒ่าหั่วพยักหน้า “การหลอมกลืนแตกต่างจากการทำลายวิญญาณอีกฝ่ายเพื่อชิงร่างมาก เพราะมันจะค่อยๆหลอมกลืนวิญญาณของเจ้าร่างให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณตัวเองช้าๆ ความทรงจำทั้งมวลและทุกสิ่งทุกอย่างของวิญญาณที่ถูกหลอมกลืนจะตกเป็นของผู้ลงมือ! และการหลอมกลืนวิญญาณเช่นนี้ แตกต่างจากการใช้กำลังบุกรุกยึดร่างมาก เพราะจะทำให้ช่วงชิงร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ ไร้ซึ่งผลข้างเคียงใดๆเฉกเช่นการใช้กำลังเข้าครอบครอง”
“อย่างไรก็ตาม วิธีหลอมกลืนวิญญาณเช่นนี้เป็นศาสตร์ชั้นสูงยิ่ง มิใช่สิ่งที่คนธรรมดาๆจักเรียนรู้ได้”
“กระทั่งในบรรดาจักรพรรดิอมตะสมญานามเอง ก็หาผู้ที่ใช้วิธีเช่นนี้เป็นยากมาก”
ขณะที่ผู้เฒ่าหั่วเอ่ย น้ำเสียงของมันยังจริงจังไม่น้อย
“เช่นนั้นก็พาตัวนางไปก่อนค่อยว่ากัน”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงหนัก
เพราะพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้ว ศิษย์น้องหญิงมู่อีอีในตอนนี้ยังไม่เป็นอันตรายถึงตาย แต่หากสุดท้ายนางถูกหลอมกลืนวิญญาณไปจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว!
“ได้”
ผู้เฒ่าหั่วขานรับสั้นๆ จากนั้นก็ใช้พลังสะกดร่างมู่อีอี ก่อนจะหอบหิ้วมู่อีอีพร้อมต้วนหลิงเทียน เหินร่างวูบหายไปจากหน้าประตูใหญ่นิกายลั่วสุ่ยทันที
ฉากเรื่องราวดังกล่าวยังทำให้ผู้ติดตามมู่อีอี ไม่เว้นเหล่าศิษย์เฝ้าประตูรวมถึงหน่วยลาดตระเวนของนิกายลั่วสุ่ยอึ้งไปเป็นแถบ พอรู้สึกตัวอีกทีแต่ละคนก็หน้าเปลี่ยนสีกันใหญ่ เร่งร่ำร้องผสานพลังออกมาเสียงดังลั่น “แย่แล้ว ศิษย์น้องมู่อีอีถูกผู้คนลักพาตัวไปแล้ว!!”
“มารดามัน! รีบไปแจ้งท่านผู้อาวุโสเร็ว!”
“เร็วเข้า! ให้ผู้อาวุโสนำเรื่องนี้ไปรายงานต่อท่านธิดาเทพโดยด่วน! หากเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์น้องมู่อีอี พวกเรามีหวังได้ตายเพราะโทสะของธิดาเทพแน่!!”
…
ในขณะที่นิกายลั่วสุ่ยกำลังตกอยู่ในความโกลาหล ต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหั่วก็ได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก เพื่อเคลื่อนย้ายออกจากลั่วสุ่ยเทียนทันที
และเพื่อความปลอดภัย เขาก็ได้ย้อนกลับมาจี้เมี่ยเทียน และกลับมาตั้งหลักยังพระราชววังจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ใหญ่ต้วน ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่!?”
หลังกลับมาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนแล้ว ผู้เฒ่าหั่วก็ถอนรั้งพลังสะกดมู่อีอีบางส่วนค่อยปล่อยนางลงบนเตียง และเพราะระหว่างเดินทางนางถูกพลังสะกดจนสลบไสลไม่ได้สติ จึงไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกพามาต่อไหนถึงไหนแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย นางก็เดาได้เป็นธรรมดาว่าอีกฝ่ายพาตัวนางออกจากนิกายลั่วสุ่ย กระทั่งอาจจะออกจากลั่วสุ่ยเทียนไปแล้วด้วยซ้ำ
“เจ้าเป็นใครกันแน่ ไฉนถึงคิดชิงร่างศิษย์น้องหญิงอีอี?”
ต้วนหลิงเทียนมองมู่อีอีด้วยสายตาเย็นชา เอ่ยถามออกมาเสียงหนัก
“ศิษย์พี่ใหญ่ต้วน นี่ท่านกำลังพูดถึงเรื่องอันใดกัน แล้วนี่ท่านจับข้ามาทำไม?”
มู่อีอีผงะไปเล็กน้อย ค่อยขมวดคิ้วกล่าวถามออกมาด้วยสีหน้างุนงง อย่างไรก็ตามเมื่อครู่ลึกลงไปในแววตาของนางกลับฉายให้เห็นถึงความตื่นตระหนกวูบหนึ่ง
ถึงแม้อาการแตกตื่นดังกล่าวจะปรากฏขึ้นแค่เสี้ยวพริบตาก่อนจะหายไป แต่ต้วนหลิงเทียนที่จับจ้องแต่แรกก็พบเห็นได้ไม่ยาก
“ผู้เฒ่าหั่ว แล้วพวกเราจะแก้ไขสถานการณ์ในร่างศิษย์น้องหญิงของข้าอย่างไรดี?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปเอ่ยถามผู้เฒ่าหั่ว เพราะในเมื่อผู้เฒ่าหั่วแนะนำให้ลักพาตัวนางกลับมาก่อน ก็สมควรมีความคิดแต่แรกว่าต้องจัดการอย่างไร
“ข้าได้ให้คนไปตามจักรพรรดิอมตะวิญญาณพิศวงแล้ว มันเชี่ยวชาญเรื่องทักษะวิญญาณและอำนาจจิตเป็นที่สุด ย่อมมีวิธีจัดการเรื่องนี้แน่”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าว
และผู้เฒ่าหั่วกล่าวจบคำไม่ทันไร ก็ปรากฏร่างชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างสมส่วน เส้นผมดำขลับไว้ทรงเดทร็อคเหินตัดฟ้ามาแต่ไกล
“จักรพรรดิอมตะวิญญญาณพิศวง โม่เหอ ขอคารววะนายน้อย”
ชายวัยกลางคนพอมาถึงก็เร่งประสานมือโค้งคารวะต้วนหลิงเทียนยด้วยความสุภาพทันที
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ถึงกับเหม่อมองทรงผมอีกฝ่ายที่แลคล้ายอสรพิษฝูงใหญ่อย่างอึ้งๆพักหนึ่ง กว่าจะดึงสติกลับมาได้
“ผู้อาวุโสโม่เหอ”
ต้วนหลิงเทียนเร่งขานคำทักทายตอบกลับ จากนั้นก็เอ่ยถามออกไปทันทีว่า “ผู้เฒ่าหั่วคงเล่าสถานการณ์ให้ท่านฟังคร่าวๆแล้วกระมัง”
“มิผิด”
โม่เหอพยักหน้ารับ จากนั้นก็หันไปมองมู่อีอีที่ถูกผู้เฒ่าหั่วใช้พลังผนึกความเคลื่อนไหวทันที สองตาของมันยังเปล่งแสงสีเขียวออกมาเรืองๆ จากนั้นพลังวิญญาณอันทรงพลังพร้อมสำนึกเทวะก็แผ่พุ่งออกมาเข้าสู่ร่างมู่อีอีทันที
“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่! แต่หากพวกเจ้ากล้ายุ่งวุ่นวายเรื่องข้า…ท่านแม่ของข้าไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปแน่!!”
เมื่อมู่อีอีพบว่ามีพลังวิญญาณอันร้ายกาจขุมหนึ่งชำแรกเข้ามายังดวงจิต ปกคลุมไปทั่วทะเลวิญญาณ นางก็ไม่อาจสงบสติได้อีกต่อไป เร่งโพล่งโวยวายออกมาอย่างเสียอาการ จากนั้นก็มองจ้องโม่เหอด้วยสายตาเอาเรื่องกล่าวขู่เสียงหนัก “ท่านแม่ของข้าก็คือประมุขนิกายลั่วสุ่ย อีกทั้งยังเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งลั่วสุ่ยเทียน!!”
ประมุขนิกายลั่วสุ่ย จักรพรรดิสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน?
แม่ของนาง?
ต้องกล่าวเลยว่าคำพูดของมู่อีอี ทำให้โม่เหอหวาดกลัวไม่น้อย ถึงขั้นหยุดมือลง จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหั่วด้วยท่าทางลังเล ด้วยไม่ทราบจะเอาอย่างไรต่อดี
“หึ! ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วสินะ?”
ต้วนหลิงเทียนมองจ้องไปยังมู่อีอีด้วยสายตาแหลมคม กล่าวให้ชัดก็คือมองจ้องผู้ที่คิดหลอมกลืนวิญญาณชิงร่างมู่อีอี ด้วยใบหน้าเย้ยหยัน!