WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3478 ความก้าวหน้า
“ซูหลี่!”
พอเห็นว่าซูหลี่นิ่งเฉยไปราวกับลังเลตัดสินใจไม่ถูก หน้าต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนสีไปใหญ่หลวง ยังลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว เตรียมข้ามมิติไปช่วยซูหลี่ออกมาจากจุดนั้น
คนอื่นๆก็คิดว่าซูหลี่เสียสติไปแล้ว ถึงได้ยืนอึนอยู่แบบนั้น
ยังมีบางคนสงสัยอีกว่า
ทั่วป๋าผิงใช่รู้วิชามายาอะไรรึเปล่า ถึงทำให้ซูหลี่กลายเป็นแบบนี้?
หากทั่วป๋าผิงได้ยินความคิดของพวกมันคงได้ร้องโวยวายออกมาว่า ‘ทักษะมายาอันใดข้าไม่รู้จัก’ เป็นแน่! เหตุผลที่ซูหลี่เลือกจะยืนนิ่งอยู่แบบนั้นล้วนเป็นเพราะตัวซูหลี่เองทั้งสิ้น ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมันเลย!!
“ซูหลี่!!”
กระทั่งพอเห็นว่าซูหลี่อาจจะถูกกระบวนท่าของมันสังหาร ทั่วป๋าผิงก็ขมวดคิ้วหน้านิ่ว ในใจเริ่มบังเกิดความคิดหยุดมือขึ้นมาโดยพลัน อย่างไรก็ตามพอคิดอีกทีมันก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแบบนั้น เพราะจากที่ประมือกับซูหลี่มาถึงตอนนี้…แม้พลังสภาวะของซูหลี่จะนิ่งเฉยไม่ได้เร่งเร้าพลังเต็มที่ ทว่าอย่างดีก็คงแค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ไม่ถึงกับตกตายคากระบวนท่ามันแน่!
อย่างไรก็ตามในห้วงเวลาสุดท้าก่อนที่แสงกระบี่ของทั่วป๋าผิงจะบรรลุถึงตัวซูหลี่
ขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังจะวูบร่างข้ามมิติเพื่อฉุดดึงซูหลี่ออกมา
“เสี่ยวเทียน อย่าขัดจังหวะเจ้าหนูนั่น”
พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน และเป็นเสียงผ่านพลังของอาจารย์เขาเอง
“หืม?”
พอได้ยินเสียงผ่านพลังของอาจารย์ ต้วนหลิงเทียนก็มองซูหลี่อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว เดิมทีเขาไม่ทันได้มองให้ละเอียดเพราะความกังวล ตอนนี้พอสงบอารมณ์และมองดูให้ดี จึงพบว่าพลังทั่วร่างของซูหลี่ แสงพลังกระบี่สีเลือดนั้น แม้จะดูเหมือนนิ่งสงบ ทว่าบัดนี้คล้ายมันกำลังเดือดพล่านอย่างไรก็ไม่ทราบ!
ประหนึ่งน้ำเย็นที่อยู่ดีๆก็เปลี่ยนสถานะเป็นน้ำเดือด!
‘แบบนี้นี่เอง!’
ทันใดนั้นสองตาที่เลื่อนลอยของซูหลี่ก็ทอประกายเรืองขึ้นวาบหนึ่ง จากนั้นแสงกระบี่สีเลือดทั่วร่างก็คล้ายจะทวีความรุนแรงขึ้นในฉับพลัน กลิ่นอายพลังงทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาทั่วสารทิศ พาลให้ม่านแสงกั้นเขตสังเวียนถึงกับสั่นไหวสะท้าน!
“นี่มัน…”
ทั่วป๋าผิงที่กำลังจะเลือกยั้งมือเพื่อไม่ให้ซูหลี่ต้องบาดเจ็บมาก พอเห็นว่าอยู่ๆซูหลี่ก็คล้ายแปรเปลี่ยนไปเป็นคนละคน สีหน้ามันก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง เพราะไม่ยากเลยที่มันจะสัมผัสได้จากกลิ่นอายพลัง ว่าบัดนี้ซูหลี่ได้แข็งแกรงขึ้นกว่าเมื่อครู่อย่างเห็นได้ชัด!
กระทั่งกลิ่นอายพลังที่ระเบิดออกมาทั่วร่างซูหลี่บัดนี้ ยังทำให้ใจของมันสั่นไปโดยไม่รู้ตัว
‘มัน…มันถึงกับบังเกิดความก้าวหน้าจนมีพลังเทียบได้กับเทพสงคราม 4 ดารา!?’
ความแตกต่างระหว่างเทพสงคราม 3 ดารากับ เทพสงคราม 4 ดารานั้นมากมายมหาศาล เรียกว่าพลังไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย อย่างหลังนั้นสามารถเอาชนะอย่างแรกได้อย่างง่ายดาย ถึงขั้นบดขยี้ได้ทุกทางด้วยซ้ำ และความเปลี่ยนแปลงของกลิ่นอายพลังงซูหลี่ในฉับพลัน ก็ทำให้ทั่วป๋าผิงฉุกคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นใจมันก็เริ่มเต้นไปไม่เป็นจังหวะ
‘หวังว่าจะเป็นข้าเดาผิดไปเอง…’
ขณะลอบภาวนาในใจ ทั่วป๋าผิงก็รีบเร่งเร้าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด หมายหนุนเสริมพลังกระบวนท่าที่กำลังจู่โจมเข้าใส่ซูหลี่ให้รุนแรงขึ้นอีกนิดก็ยังดี เพราะตอนนี้มันไม่กล้าประมาทและดูเบาซูหลี่อีกต่อไป
สำหรับความคิดจะยั้งมืออะไรนั่น ทันทีที่สัมผัสได้ถึงกลิ่นอาพลังที่เปลี่ยนไปของซูหลี่ ก็ถูกปัดเป่าออกไปจากหัวทันที
เรียกว่าความคิดดังกล่าวที่พึ่งจะริเริ่มผุดขึ้นในหัว เสมือนทารกน้อยที่ถูกรัดคอตายคาเปล!
ปงงง!!
ซู่มมมม!!
…
แสงกระบี่ชุดใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยพลังสีทองกับสีเขียว บัดนี้ยิ่งมายิ่งสว่างเจิดจ้า คลื่นพลังระเบิดออกมาไม่หยุด ม่านแสงกั้นเขตสังเวียนพลันสะท้านไปอีกครา สะกดใจผู้คนให้ชมดูอย่างไม่คลาดสายตา
และตอนนี้แสงกระบี่ชุดดังกล่าวก็เจียนบรรลุถึงตัวซูหลี่เต็มที!
ต่อให้ซูหลี่จะกลายเป็นเทพสงคราม 4 ดาราไปแล้วจริง แต่ด้วยระยะขนาดนี้ ไม่มีทางหลีกหลบได้ทันแน่!
“มาได้ดี!”
เผชิญหน้ากับแสงกระบี่ชุดใหญ่ของทั่วป๋าผิง ซูหลี่พลันตวัดกระบี่อมตะในมือจี้ตรงขึ้น จากนั้นแสงพลังกระบี่สีเลือดก็พุ่งขึ้นมาท่วมตัวกระบี่ พริบตาต่อมาก็เริ่มแผ่ขยายปกคลุมทับแสงกระบี่สีเลือดที่ปกคลุมทั่วกายแต่เดิม!
จากนั้นแสงกระบี่สีเลือดที่ปกคลุมร่างซูหลี่ คล้ายถูกฉีดเลือดไก่ก็ไม่ปาน มันขยายใหญ่ขึ้นในฉับพลัน ไม่ทันไรแสงกระบี่ก็พุ่งสูงขึ้นปานจะแทงทะลวงถึงฟ้า ทิศทางของปลากระบี่ยังจี้เข้าใส่ห่าแสงกระบี่ของทั่วป๋าผิง สภาวะพลังไร้ซึ่งความครั่นคร้ามอันใด ยังแหลมคมหาใดเปรียบทั้งแผ่กลิ่นอายทำลายล้างออกมาอย่างน่ากลัว
เรียกว่าทันทีที่กลิ่นอายพลังทำลายล้างดังกล่าวแผ่ซ่านออกมา ห้วงอากาศรอบๆก็เสมือนหยุดนิ่ง ความว่างเปล่ายังสะท้านสะเทือนราวกับจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ!
และวินาทีนี้เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายที่ชมดูเรื่องราวอยู่ ก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและอันตรายของแสงกระบี่ซูหลี่ได้ชัดเจน “นี่มันอะไรกัน อยู่ดีๆไฉนพลังของซูหลี่กลับพุ่งสูงขึ้นได้ขนาดนั้น ใช่ไม้ตายก้นหีบหรือวิถีลับเพิ่มพลังอันใดหรือไม่?”
“ช้าก่อน! จากกลิ่นอายพลังนั่น…ข้าสัมผัสได้ว่ามันเกิดจากความลึกซึ้งของกฏทำลายล้างอีก 2 ประการพึ่งผสานรวมกัน ก็เลยทำให้พลังของซูหลี่เพิ่มพูนขึ้นในฉับพลัน!”
“ให้ตายเถอะ! ระดับพลังของซูหลี่ตอนนี้ ให้เทียบกับพลังกระบวนท่าของทั่วป๋าผิงที่ใช้ออกโดยกระบี่อมตะจักรพรรดิอันมีวิญญาณศาสตรา ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย!”
…
การปะทุพลังลงมือในฉับพลันของซูหลี่ นำพาความตื่นตระหนกมาสู่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ไม่น้อย
ด้านจักรพรรดิสวรรค์รวมถึงเหล่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่ชมดูเรื่องราวบนเกาะลอยสูงขึ้นไปเหนืออัฒจันทร์ที่นั่ง ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังซูหลี่ใหม่อีกครั้ง ในแววตาของพวกมันหากไม่เต็มไปด้วยความแปลกใจตกใจ ก็เป็นความเหลือเชื่อ รวมถึงชื่นชม…
สายตาของพวกมัน ไม่ใช่อะไรที่เหล่าศิษย์อัจฉริยะส่วนใหญ่จะเทียบได้
และพวกมันก็เห็นได้ชัดเจน
ก่อนหน้านี้ซูหลี่สิ้นท่าแล้วจริงๆ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทั่วป๋าผิงเลย
อย่างไรก็ตาม ขณะเผชิญหน้ากับกระบวนท่าที่หมายปิดฉากของทั่วป๋าผิง สาเหตุที่ซูหลี่นิ่งไปพักหนึ่ง และอยู่ดีๆสภาวะพลังทั่วร่างก็แปรเปลี่ยนไป จนพลังของกฏทำลายล้างทั่วร่างทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกขั้นอย่างน่ากลัว เป็นเพราะอะไรพวกมันรู้ดี!
พวกมันยังแลเห็นฉากการพัฒนาทั้งหมดได้ชัดเจน!
“ซูหลี่ผู้นี้มีความเข้าใจเป็นเลิศจริงๆ ช่างน่ากลัวนัก! ภายใต้สถานการณ์จนตรอกคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นตาย มิคิดว่ามันจะไม่เลือกถอยหนีแต่กลับเลือกจะทำความเข้าใจกฏทำลายล้าง สุดท้ายก็สามารถบรรลุความเข้าใจบางอย่างจนบังเกิดความก้าวหน้าได้ทันท่วงที!”
จักรพรรดิสวรรค์หลายคนอดไม้ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
“ซูหลี่คนนี้ข้าได้ยินมาว่ามันเป็นต้นกล้าชั้นดีของนิกายกระบี่หมื่นหายนะของอวี้หวงเทียน ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริงๆว่านิกายกระบี่หมื่นหายนะ ตั้งแต่เรื่องราวในปีนั้นกลับปรากฏอัจฉริยะที่น่าสนใจเช่นนี้ขึ้นมาได้…ไม่ทราบจักรพรรดิสวรรค์ของอวี้หวงเทียนจะปล่อยให้มันเติบโตหรือไม่?”
ในขณะที่จักรพรรดิสวรรค์หลายคนถอนหายใจออกมาอย่างรู้กัน ก็มีจักรพรรดิสวรรค์บางส่วนหันไปมองยังอวี้ฮ่าวเทียน จักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน เพื่อชมดูท่าทีและปฏิกิริยาตอบสนอง
ย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่นิกายกระบี่หมื่นหายนะยังเป็นขุมกำลังระดับสวรรค์ของอวี้หวงเทียน ก็ปรากฏอัจฉริยะเลิศล้ำผู้หนึ่ง ซึ่งมีพลังมากพอจะท้าทาย อวี้ฮ่าวเทียน กระทั่งทำให้อวี้ฮ่าวเทียนต้องทุ่มพลังสุดตัวเพื่อต้านทานรับมือ…อย่างไรก็ตามผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาคืออัจฉริยะคนนั้นแพ้พ่ายจนตายตกไป…
หลังจากนั้นนิกายกระบี่หมื่นหายนะก็เผชิญกับหายนะถึงขั้นแทบล่มสลาย และมีข่าวลือกันว่าจักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน อวี้ฮ่าวเทียน ได้จงใจสะกดปราบนิกายหมื่นหายนะ เพื่อให้ไม่อาจผงาดขึ้นมาท้าทายตัวเองได้อีกครั้ง
สุดท้ายนิกายกระบี่หมื่นหายนะที่ถูกมรสุมรุมเร้า ก็จำต้องถอนตัวออกจาก แดนจักรพรรดิหยก อันเป็นแดนหลักของอวี้ห้วงเทียน ไปยังแดนทักษินยุทธ์ และประพฤติตัวเรียบๆร้อยๆมาตั้งแต่บัดนั้น…
ในปัจจุบันจักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียน อวี้ฮ่าวเทียน ก็นั่งอยู่ข้างๆจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน กงซุนซวนหยวน
“เจ้าหนูนั่นเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะงั้นรึ?”
กงซุนซวนหยวนหันไปก่าวถามสหายด้วยความสนใจ
“อืม”
อวี้ฮ่าวเทียนพยักหน้า “เจ้าหนูนั่นเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่มากพรสวรรค์ที่สุดเท่าที่นิกายกระบี่หายนะเคยมีมาก็ว่าได้…ข้าไม่คิดเลยจริงว่าหลังจากตกต่ำไปหลายปี นิกายกระบี่หมื่นหายนะกลับค้นพบต้นกล้าชั้นยอดเช่นนี้ได้”
“อย่างไรเล่า เจ้ากดดันแล้วรึไง?”
กงซุนซวนหยวนกล่าวถามพลางหัวเราะ “คนของนิกายกระบี่หมื่นหายนะในปีนั้นเล่นเอาเจ้าแทบสิ้นท่าเลยทีเดียว…ถึงแม้สุดท้ายจะเป็นเจ้าฆ่ามันได้ แต่อาการบาดเจ็บของเจ้าก็สาหัสแทบวายปราณ กว่าจะหายก็ต้องพักรักษาตัวเป็นร้อยๆปี”
คนอื่นอาจไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่กงซุนซวนหยวนที่เป็นสหายสนิทกับจักรพรรดิหยกไหนเลยจะไม่รู้ได้
อัจฉริยะของนิกายกระบี่หมื่นหายนะผู้นั้นได้ท้าประลอง อวี้ฮ่าวเทียน ซึ่งดำรงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งอวี้หวงเทียนในเวลานั้น สุดท้ายหลังจากประมือกันอย่างดุเดือดไม่มีใครยอมใคร ก็เป็นอวี้ฮ่าวเทียนที่ฆ่าอีกฝ่ายและเอาชนะมาได้อย่างฉิวเฉียด…แต่นี่ไม่ใช่ว่าอวี้ฮ่าวเทียนจงใจฆ่าผู้อื่น ทว่าการต่อสู้ครั้งนั้นมันรุนแรงถึงขั้น ‘หากข้าไม่ตายก็ท่านม้วย’
เพียงแค่อวี้ฮ่าวเทียนทำได้ดีกว่าเล็กน้อยและเป็นฝ่ายรอดชีวิตมาได้
หาไม่แล้วผู้ที่ตายตกก็คงเป็นอวี้ฮ่าวเทียน
หลังจากอวี้ฮ่าวเทียนเอาชนะได้ คนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นแทบวายปราณ จำต้องเร่งรุดปิดด่านพักฟื้นรักษาตัวหลายร้อยปีกว่าจะหายดี
และในระหว่างปิดด่านรักษาตัว จักรพรรดิอมตะ 3 ตา หยางเจี่ยนก็ได้ก่อการอุกอาจปิดฟ้าบังตะวัน แสร้งออกคำสั่งในนามอวี้ฮ่าวเทียน ให้ทำการล้อมปราบนิกายกระบี่หมื่นหายนะ สุดท้ายก็เข่นฆ่ายอดฝีมือส่วนใหญ่ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะลงได้ และบีบคั้นให้นิกายกระบี่หมื่นหายนะจำต้องหลบหนีออกจากแดนจักรพรรดิหยก ไปยังแดนทักษินยุทธ์
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คือการแอบบอ้างชื่ออวี้ฮ่าวเทียนสั่งการ หยางเจี่ยนเองก็ไม่กล้าทำอะไรเกินเลยมากนัก
แต่กระนั้น หลังจากที่อวี้ฮ่าวเทียนออกจากการปิดด่านและได้ทราบข่าวเรื่องราว ก็พิโรธหนักถึงขั้นลงโทษหยางเจี่ยนสถานหนัก
เดิมทีมันก็คิดจะไปหารือกับนิกายกระบี่หมื่นหายนะเรื่องย้ายถิ่นฐานกลับมายังแดนจักรพรรดิหยก เพราะมันไม่ได้มีความเกลียดแค้นอะไรนิกายกระบี่หมื่นหายนะเลย และถือว่ายอดฝีมือของนิกายกระบี่หายนะที่ประลองกันจนตายผู้นั้นเป็นดั่งสหายรู้ใจคนหนึ่ง เพราะอีกฝ่ายก็เหมือนมันที่หมายอาศัยการประลองเพื่อหาหนทางก้าวหน้า…
อนิจจาพอพบว่านิกายกระบี่หมื่นหายนะประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก และไม่มีกำลังพอจะย้ายกลับมาลงหลักปักฐานในแดนจักรพรรดิหยกได้แล้ว อวี้ฮ่าวเทียนก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย…
ด้วยเหตุนี้ อวี้ฮ่าวเทียนจึงไม่เคยไปรบกวนอะไรนิกายกระบี่หมื่นหายนะอีกเลย
ถึงแม้จะมีข่าวลือแพร่ไปทั่วว่าการล้อมปราบนิกายกระบี่หมื่นหายนะเป็นคำสั่งของตัวเอง แต่อวี้ฮ่าวเทียนก็ไม่ได้ออกมาแก้ต่าง เลือกจะนิ่งเงียบเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย เพราะสุดท้ายเมื่อผู้ใต้บังคับบัญชาทำผิด มันก็ไม่อาจปัดความรับผิดชอบได้…
“ในที่สุด ก็ทำให้ข้ามองเห็นความหวังบางอย่าง…”
อวี้ฮ่าวเทียนพยักหน้า “นิกายกระบี่หมื่นหายนะในตอนนี้ มีเพียงคู่แฝดที่เป็นผู้นำสายกระบี่ก้านเจี้ยงกับม่อเหยียเท่านั้นที่อาจมีโอกาสก้าวหน้าจนมีพลังมากพอจะสู้กับข้าได้ ก่อนที่ข้าจะบรรลุถึงขอบเขตเทพ อย่างไรก็ตาม หากมองงตามความเป็นจริง เรื่องที่พวกมันจะมีพลังพอสู้กับข้าได้นั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว…เพราะสุดท้าย ข้าก็ไม่คิดว่าศักภาพของพวกมันจะเหนือกว่าข้า…”
“อย่างไรก็ตาม ข้าเห็นเงาของคนผู้นั้นในร่างซูหลี่…บางทีหากให้เวลามากพอ มันอาจจะสู้ข้าได้”
ฟังจากคำพูดของอวี้ฮ่าวเทียนแล้ว เห็นได้ชัดว่าชื่นชมซูหลี่ไม่น้อย
“ข้าเกรงว่ามันจะช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ เพื่อไปกอบกู้นิกายกระบี่หมื่นหายนะเสียเป็นส่วนใหญ่…”
กงซุนซวนหยวนยิ้มกล่าว
“หากมันมีความสามารถถึงขั้นนั้น ก็ให้มันไปเถอะ”
อวี้ฮ่าวเทียนคลี่ยิ้มเฉยเมย และมองจากสีหน้าท่าทีขณะกล่าว เห็นได้ชัดว่าคิดแบบนั้นจริงๆไม่ใช่แค่พูดลอยๆ
ส่วนอีกด้าน
‘ความเข้าใจของเจ้าหนูนั่นไม่เลวเลย…’
หากถามว่าในบรรดาจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหมด ใครเป็นคนค้นพบสาเหตุที่ซูหลี่นิ่งไปเพราะกำลังทำความเข้าใจกฏทำลายล้างอยู่ ก็คงตอบได้ทันทีว่าเป็น ฟงชิงหยาง จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน! ด้วยเหตุนี้มันจึงส่งเสียงผ่านพลังไปหยุดต้วนหลิงเทียนเอาไว้แต่แรก ทั้งหมดเพื่อไม่ให้ต้วนหลิงเทียนช่วยซูหลี่จนเป็นการขัดขวางไม่ให้ซูหลี่ก้าวหน้า
พอเห็นว่าซูหลี่บังเกิดความรู้แจ้งและบรรลุความเข้าใจในกฏทำลายล้างได้ทันเวลา รอยยิ้มสดใสก็อดคลี่กางขึ้นบนใบหน้าฟงชิงหยางไม่ได้
มันย่อมเห็นได้ชัดเจน ว่าซูหลี่นั้นใส่ใจในคำชี้แนะของมันจริงๆ หาไม่แล้วคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถหลอมรวมความลึกซึ้งของกฏทำลายล้างอีก 2 ประการได้ในตอนนี้ เพราะวิธีการหลอมผสานกฏทำลายล้าง 2 ประการดังกล่าว เป็นมันชี้แนะโดยการแสดงให้ซูหลี่เห็นเอง…
แน่นอนว่ามันเพียงแสดงให้ซูหลี่ดู ทั้งกล่าวถึงประสบการณ์ของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ชักนำความคิดของซูหลี่ให้ทำตามแต่อย่างไร
ก็คงไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าเป็นเพราะมันถึงทำให้ซูหลี่ก้าวหน้า เพราะสุดท้ายแล้วทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับตัวซูหลี่เอง
‘ความก้าวหน้าครั้งนี้ของเจ้าหนูนั่น ทำให้ระดับพลังของมันเทียบได้กับเทพสงคราม 4 ดารา…เช่นนั้น 30 อันดับแรกในศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรสำหรับพลังฝีมือของเจ้าหนูนั่นในตอนนี้’
ฟงชิงหยางลอบกล่าวในใจ
…
สำหรับอัจฉริยะรุ่นเยาว์ส่วนใหญ่ ถึงแม้พวกมันจะมองไม่ออกว่าที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พวกมันก็คิดไปทำนองว่าเป็นซูหลี่เลือกจะปิดซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้แต่แรก และพึ่งเปิดเผยออกมาในห้วงเวลาคับขัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีอัจฉริยะรุ่นเยาว์บางคนที่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้ชัดเจน และค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้น “เจ้าซูหลี่นั่น มันกลับบังเกิดความก้าวหน้าได้ในเวลาแบบนี้จริงๆ…”
“ทั่วป๋าผิงกำลังจะแพ้แล้วสินะ!”
….
ด้านต้วนหลิงเทียนที่กำลังชมมองฉากการปะทะกันระหว่างแสงกระบี่สีเลือดกับห่าพิรุณลำแสงกระบี่สีทองอมเขียว ก็อดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มขึ้นมา ‘เจ้าก็นะ…สามารถก้าวหน้าในเวลาแบบนี้ได้จริงๆ’