WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3489 พระอาจารย์หมี่เยี่ยน
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังลอบทอดถอนใจหน้าผาบรรพกาลนั้นเอง
ด้านนอกยอดเขาอันเป็นที่ตั้งผาบรรพกาล หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเข้ามาแล้ว จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน จักรพรรดิอมตะมหาสุริยัน ยูไล ก็เลิกทำหน้าที่ตรวจสอบยืนยันตัวตนอัจฉริยะแล้วจากไปทันที
เพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ให้ใครมาทำก็ได้
“มั่นใจแค่ไหน?”
ณ มุมหนึ่ง ใกล้ๆผาบรรพกาล ปรากฏเงาร่างชราหนึ่งวูบมาปรากฏตัวกลางอากาศ และแม้แต่หน่วยลาดตระเวนของพระราชวังจักรพรรดิหยวนสื่อเทียน ก็ไม่อาจค้นพบการมาของมัน
และตอนนี้เงาร่างชราดังกล่าวก็กำลังมองถามจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน
“ขอรองจ้าววิหารฉีอย่าได้กังวล อาตมามีความมั่นใจกว่า 9 ส่วน”
ยูไล กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้ามิได้มั่นใจว่าจักสำเร็จแน่ๆ?”
และร่างที่ลอยล่องอยู่เบื้องหน้ายูไลก็ไม่ใช่ใครอื่น มันคือรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ฉีคงไห่!
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ไม่ใช่แผนการของมันแต่อย่างใด เพียงแค่ยูไลได้เชิญมันมาที่นี่ เพื่อหวังให้มันช่วยถ่วงเวลาฟงชิงหยางที่อาจเร่งรุดมาช่วยต้วนหลิงเทียน ไม่ให้ไปรบกวนยูไลจนเสียเรื่อง
เพราะยูไลต้องการเวลา
สาเหตุเดียวที่ยูไลเชิญฉีคงไห่มา ก็เพื่อเอาไว้รับมือกับฟงชิงหยางโดยเฉพาะ และไม่ต้องถึงขั้นเอาชนะอะไร ขอแค่ถ่วงเวลาฟงชิงหยางได้ครู่หนึ่ง ไม่ให้ฟงชิงหยางมาถึงตัวต้วนหลิงเทียนได้เร็วเกินไปจนทำลายแผนการณ์ของมันเท่านั้น
ครั้งนี้ยูไลคิดลักพาตัวต้วนหลิงเทียน! และแน่นอนว่าตอนยูไลบอกฉีคงไห่ มันไม่ได้บอกวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลักพาตัวต้วนหลิงเทียน ว่ามันคิดจะชิงร่างต้วนหลิงเทียน เพราะกระทั่งฉีคงไห่เองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ในร่างของยูไล ได้ถูก ‘พระอาจารย์หมี่เยี่ยน’ จากโลกแห่งความตายครอบงำอยู่
ถึงแม้ว่าฉีคงไห่จะไม่ใช่ตัวโง่งมไร้หัวคิดให้มันหลอกได้ง่ายๆ อย่างไรก็ตามมันรู้ดีว่าวิหารเฟิงฮ่าวเองก็ไม่คิดจะวางมือจากต้วนหลิงเทียนง่ายๆแน่ เพราะสุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็เข้าถึง 2 ใน 4 วิถีสวรรค์และโลก ดังนั้นมันจึงกล่าวอ้างว่าจะลักพาตัวต้วนหลิงเทียนเพื่อทำคุณความดีให้วิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก!
แต่อันที่จริง มันได้ตัดสินใจไปแล้ว…
ว่าวันนี้ตราบใดที่มันลักพาตัวต้วนหลิงเทียนได้สำเร็จ มันจะหาสถานที่ๆไม่มีผู้ใดหาพบ และหลังผ่านไป 100 ปีรอให้จิตวิญญาณของมันฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์พร้อมเมื่อไหร่ มันก็จะใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อชิงร่างต้วนหลิงเทียนทันที! และปล่อยให้ ‘ยูไล’ แบกรับโทสะของวิหารเฟิงฮ่าวเอาไว้!!
ส่วนสำหรับโทสะของฟงชิงหยางนั้นคงไม่เอาไปลงที่ยูไลเป็นแน่ มันเองก็รู้ดี…
เพราะอย่างไรเสียฟงชิงหยางก็รู้จักมักคุ้นกับกงซุนซวนหยวน สุดท้ายก็ต้องฟังคำพูดของกงซุนซวนหยวนและล่วงรู้ว่าที่แท้เป็นเรื่องราวอันใด และรู้ว่าตัวมัน ‘พระอาจารย์หมี่เยี่ยน’ ได้ครอบงำร่างยูไล จนยูไลไม่อาจขัดขืนอะไรได้เลย…
ส่วนสำหรับวิหารเฟิงฮ่าวนั้น เกรงว่าคงไม่เชื่อคำพูดของกงซุนซวนหยวนง่ายๆ
ถึงแม้ต่อให้จะเชื่อ แต่ก็ไม่มีทางปล่อยยูไลที่แบกหม้อก้นดำแน่นอน
“อันที่จริง อาตมามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม…อย่างไรก็ตามแผนการอยู่ที่คน สำเร็จอยู่ที่ฟ้า อาตมาเองก็คงไม่กล้ารับประกันว่าจะไร้เหตุบังเอิญอันใด…”
พอเห็นฉีคงไห่ขมวดคิ้ว คล้ายไม่พอใจคำตอบ ‘ยูไล’ หรือที่แท้ก็คือพระอาจารย์หมี่เยี่ยน เร่งกล่าวเสริมทันที
”อืม”
ฉีคงไห่พยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าไปเตรียมตัวให้พร้อมและดำเนินการโดยเร็วที่สุด ฟังจากที่เจ้าว่ามา…ลองฟงชิงหยางนั่นมันทิ้งรอยประทับจิตเทพไว้กับต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นทันทีที่เจ้าลงมือกับต้วนหลิงเทียน มันก็คงสัมผัสได้ และไม่พ้นต้องเร่งรุดมาขัดขวางเจ้าแน่…”
“อาตมาเข้าใจ”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนในคราบยูไลพยักหน้าขานคำ ก่อนที่จะจากไป และมันก็ไม่ได้ไปไหนไกลเพียงย้อนกลับไปหาอาวุโสของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ที่ทำหน้าที่ควบคุมค่ายกลผาบรรพกาล “สหายท่านนี้ พอดีอาตมาเองก็คิดเข้าสู่ผาบรรพกาลด้วย รบกวนสหายท่านเปิดทางให้อาตมาหน่อยเถอะ…”
ได้ยินคำพูดของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนในคราบยูไล อาวุโสของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ที่ควบคุมค่ายกลก็ขมวดคิ้วเป็นปม เอ่ยตอบบกลับมาด้วยความลำบากใจ “เจ้าวิหารยูไล วิหารเฟิงฮ่าวตกลงกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เราไว้แล้ว ว่าครั้งนี้ผาบรรพกาลพียงอนุญาตให้อัจฉริยะที่ผ่านเข้ารอบทั้ง 100 คนเข้าไปได้เท่านั้น…”
“ใต้เท้าคิดเข้าไป ข้าน้อยเกรงว่าคงไม่เหมาะสมกระมัง”
ได้ยินคำตอบของอาวุโสพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ยูไลก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงกล่าวคำสืบต่อด้วยรอยยิ้ม “สหายท่านนี้ อาตมาเพียงอยากเข้าไปพบศิษย์ในนามของอาตมาที่พอมีแววเท่านั้น เพื่อดูว่ามันจักมีความเข้าใจอันใดเพิ่มขึ้นหรือไม่หลังชมดูผาบรรพกาล หากมีจุดไหนสงสัยอาตมาจักได้ช่วยชี้แนะให้มัน…”
“รบกวนสหายท่านช่วยเหลืออาตมาสักครั้งเถอะ…”
ขณะกล่าวร้องขอ ยูไลก็สะบัดมือเรียก ไม้เท้าประหลาดหนึ่งออกมาจากแหวนพื้นที่ “ไม้ตะพดนี้เป็นศาสตราอมตะจักรพรรดิที่อาตมาเคยใช้เมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้ตอนนี้จิตวิญญาณศาสตราจักได้รับบาดเจ็บ และต้องใช้เวลาฟื้นฟูรักษาหลายปี…แต่สำหรับเซียนอมตะอย่างเราๆแล้ว สิ่งที่มีไม่ขาดไยมิใช่เวลาหรอกหรือ?”
“หากสหายท่านยินดีอำนวยความสะดวกให้อาตมาสักครั้ง ไม้ตะพดของอาตมาก็ยินดีมอบให้สหายท่าน…เช่นนั้นสหายท่านคิดเห็นอย่างไร?”
ครู่ต่อมาใบหน้าของยูไลก็คลี่ยิ้มกว้าง แลดูสดใสจริงใจนัก
ด้านอาวุโสของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนพอได้ฟังข้อเสนอ สองตามันก็ลุกวาวขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตามมันหยีตาลงเล็กน้อบ กล่าวถามออกมาด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “จ้าววิหารยูไล ที่ท่านคิดเข้าสู่ผาบรรพกาล ข้าเกรงว่าคงมิได้ง่ายดายอย่างไปชี้แนะศิษย์แต่ในนามของท่านกระมัง?”
ศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิที่มีจิตวิญญาณสถิตย์!
ถึงแม้จิตวิญญาณจะได้รับบาดเจ็บและต้องใช้เวลาฟื้นฟูหลายปี แต่ก็อย่างที่ยูไลพูดไว้ เซียนอมตะเคยขาดเวลาตั้งแต่เมื่อไหร่?
“อาตมาชมชอบสนทนากับคนฉลาด”
ยูไลคลี่ยิ้ม “สหายท่านไยต้องสนใจเรื่องที่อาตมาจักเข้าไปทำอันใดด้วยเล่า? เรื่องนี้สำคัญกับสหายท่านไฉน? ต่อให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ มิใช่ว่าสหายท่านเพียงเอ่ยว่าถูกอาตมาบีบคั้นจนมิอาจขัดขืนก็ได้หรอกหรือ?”
“ถึงตอนนั้นต่อให้สหายท่านอาจถูกลงโทษ…หรือว่าอาศัยศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณสถิต์ ยังไม่พอให้สหายท่านเลือกละทิ้งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน เพื่อหลบหนีโทษทัณฑ์?”
ยูไลกล่าวถาม
รอยยิ้มมั่นใจในชัยชนะเริ่มคลี่กางบนใบหน้ายูไล
มันไม่คิดว่าคนเบื้องหน้ามันจะปฏิเสธข้อเสนอดีงามเช่นนี้ได้ลงคอ
ศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิที่มีจิตวิญญาณ สำหรับจักรพรรดิอมตะที่เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วไปแล้ว มันเป็นสิ่งล่อใจอันยิ่งใหญ่ เรียกว่าเป็นความเย้ายวนอันแสนหอมหวาน ถึงขั้นต่อให้ต้องทรยศพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนก็ถือว่าคุ้ม!
สีหน้าอาวุโสของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนแปรเปลี่ยนกลับไปกลับมาอยู่หลายรอบ สุดท้ายก็เอื้อมมือไปรับไม้ตะพดดังกล่าวมา “เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณจ้าววิหารยูไลแล้ว…”
พอกล่าวจบคำ อาวุโสของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน ก็หันไปเปิดช่องว่างค่ายกลให้ยูไลเข้าไปทันที “จ้าววิหารยูไล เชิญท่าน…”
“อืม”
ยูไลพยักหน้า หลังจากนั้นมันก็เหินร่างผ่านช่องว่างเข้าสู่ผาบรรพกาลทันที ขณะที่เหินร่างเข้าไปในแววตาของมันยังฉายชัดถึงสีสันแห่งโลภและความตื่นเต้นสุดใจ ราวกับในผาบรรพกาลมีสมบัติเลิศภพจบแดนรอมันอยู่
และหลังจากเข้าสู่ผาบรรพกาลแล้ว ร่างยูไลก็สั่นไหวคราหนึ่ง จากนั้นคนก็เลือนหายกลมกลืนไปกับความว่างเปล่า เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของใคร
และหลังจากใช้เวลาค้นหาไม่นานนัก ในที่สุดมันก็พบเจอเป้าหมายการมาครั้งนี้ของมัน
ชายหนุ่มรูปงามหน้าตาหล่อเหลา คิ้วคมเข้มปานดาบกระบี่ กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าผาบรรพกาลแห่งหนึ่ง ทำความเข้าใจสำนึกรู้แห่งกฏที่หลงเหลือไว้ในผาบรรพกาล และหน้าผาเบื้องหน้าก็แผ่กลิ่นอาพลังผันผวนของกฏมิติออกมา
‘ร่างกายนี้ประเสริฐยิ่งกว่าร่างกายในปัจจุบันของข้ามาก’..
ยูไล หรือก็คือพระอาจารย์หมี่เยี่ยน บัดนี้สองตามันฉายแววแห่งความโลภสว่างจ้า จากนั้นมันก็ไม่รอช้าเร่งโบกมือเร็วไว อุบัติลูกประคำ 36 ลูกผุดจากความว่างเปล่า พุ่งไปลอยล่องค้างกลางหาวในตำแหน่งเฉพาะประการหนึ่ง ก่อนที่ลูกประคำดังกล่าวจะเริ่มสั่นพ้องขึ้นมา ราวกับลูกประคำแต่ละลูกกำลังเชื่อมโยงกันเพื่อทำอะไรบางอย่าง
วุ้มมม!
ที่แท้ลูกประคำกำลังสร้างค่ายกลบางอย่าง!
“หืม?”
ต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมกำลังจมจ่อมในสำนึกรู้ของผาบรรพกาลเพื่อทำความเข้าใจกฏมิติ อยู่ๆสำนึกเทวะที่เขาแผ่ไว้ตรวจสอบเรื่องราวโดยรอบ ก็จับความเคลื่อนไหวบางอย่างได้ทันที จึงดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวและตื่นขึ้นจากภวังค์เร็วไว
และพอมองไปปราดเดียวเขาก็พบว่ามีค่ายกลหนึ่งได้แผ่มาปกคลุมเขา รวมถึงพื้นที่โดยรอบเอาไว้แล้ว
นอกจากนั้นยังมีร่างๆหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตาเขา
ยูไล!
จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน!
“จ้าววิหารยูไล?”
ต้วนหลิงเทียนมองยูไลที่อยู่ๆก็มาปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยถามเสียงขรึม “ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
“มาหาเจ้า”
ยูไลมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลุกวาว ให้ความรู้สึกราวกับหมาป่าหิวโซ พบเจอเหยื่ออันโอชะจนน้ำลายไหลยืด…
“ข้าอยากรู้จริงๆ…ว่าไฉนเจ้าถึงได้เพ่งเล็งข้านัก?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามยูไลอย่างตรงไปตรงมา เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาสงสัยมาโดยตลอด
“เพ่งเล็งเจ้า?”
ยูไลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมา “เจ้ากล่าวผิดแล้ว อาตมาไม่ได้เพ่งเล็งเจ้า…อาตมาแค่ต้องตาพึงใจร่างกายเหยียนหวงของเจ้า อืม…ยังมีเรื่องที่เจ้าเข้าใจ 2 ใน 4 วิถีสวรรค์และโลกอีกด้วย”
ขณะกล่าว สีหน้าแววตาของยูไลก็ฉายชัดถึงความโลภออกมาอย่างไม่คิดจะกักเก็บอีกต่อไป
“เจ้าต้องการชิงร่างเหยียนหวงของข้า?”
ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าไฉนทันทีที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาเป็นร่างเหยียนหวง ถึงได้หาญกล้าตรวจสอบร่างกายเขาต่อหน้าอาจารย์
“มิผิด!”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนในคราบยูไลตอบรับ “แต่เพราะตอนนี้จิตวิญญาณของอาตมาถูกอาจารย์เจ้าทำร้าย เช่นนั้นอาตมาจำต้องรออีก 100 ปี เมื่อใดที่วิญญาณของอาตมาฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์พร้อม อาตมาจักชิงร่างของเจ้าทันที”
“และตลอด 100 ปีหลังจากนี้ อาตมาจักขังเจ้าไว้ในโลกใบเล็กภายในกายของอาตมา!”
พอกล่าวจบคำ พระอาจารย์หมี่เยี่ยนในคราบยูไล ก็ก้าวออกมาครึ่งก้าว แววตามันทอประกายวาบปานสายฟ้า “อาตมารู้ว่าในร่างเจ้ามีรอยประทับจิตเทพของฟงชิงหยาง…อย่างไรก็ตามต่อให้เจ้ามีรอยประทับจิตเทพของมันอยู่ แต่ครั้งนี้มันไม่มีทางช่วยเหลือเจ้าได้!”
“อาตมายังจะทำลายรอยประทับจิตเทพของมันเสีย เพื่อที่มันจักได้รู้ว่ารอยประทับจิตเทพของมันถูกทำลายที่นี่ หากแต่ไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ใดเป็นผู้ทำลายรอยประทับจิตเทพของมัน!”
“เพราะกว่าที่มันจะมาถึง อาตมาคงจากไปไกลแล้ว”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนในคราบยูไลกล่าวจบ มันก็คลี่ยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ “วันหน้ารอให้อาตมาชิงร่างเจ้า และเข้าใจ 2 วิถีสวรรค์และโลกของเจ้าจนใช้คล่อง กอปรกับพลังฝีมือส่วนตัวของอาตมา…พอบรรลุถึงขอบเขตเทพเมื่อใด อาตมาจักใช้ร่างกายของเจ้าเพื่อเข่นฆ่า ฟงชิงหยาง อาจารย์ของเจ้าทิ้งทันที!”
“ถึงตอนนั้นเรื่องราวคงน่าดูชมยิ่ง…กล่าวไปอาตมาก็แทบทนรอเห็นฉากนั้นไม่ไหวแล้ว”
พอพระอาจารย์หมี่เยี่ยนกล่าวถึงจุดนี้ สองตามันก็ทอประกายเจิดจ้า “ตอนนี้อาตมาจักทำลายรอยประทับจิตเทพที่ฟงชิงหยางทิ้งไว้บนร่างเจ้าเสีย จากนั้นก็จะจับเจ้าขังไว้…หากเจ้าไม่อยากเจ็บตัวโดยเปล่าประโยชน์ เช่นนั้นก็ให้ความร่วมมือกับอาตมาแต่โดยดีเถอะ”
พอพระอาจารย์หมี่เยี่ยนกล่าวจบคำ ลูกประคำทั้ง 36 ลูกที่สร้างค่ายกลปิดล้อมพื้นที่ก็เรืองแสงขึ้นมา จากนั้นทั่วร่างของมันก็เปล่งแรงกดดันพลังอันน่ากลัวกำจายลงจากฟ้ากดทับมายังร่างต้วนหลิงเทียน!
ค่ายกลที่ใช้ลูกประคำสร้างขึ้น มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้รอยประทับจิตเทพของฟงชิงหยางส่งข้อมูลที่เกิดขึ้นกับต้วนหลิงเทียนกลับไปทั้งหมด และอาศัยข้อมูลที่ส่งกลับไปบางส่วน เต็มที่ฟงชิงหยางก็รู้แค่ว่ารอยประทับจิตเทพถูกทำลายที่ไหน แต่ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
เพราะตอนนี้มันไม่พร้อมจะเปิดเผยตัวตน
อย่างไรก็ตาม แม้จะเผชิญหน้ากับยูไลที่กำลังจะลงมือ แต่สีหน้าของต้วนหลิงเทียนยังคงสงบอยู่ได้ “ขอบคุณที่ไขข้อข้องใจให้ข้า”
“หืม?”
ความสงบของต้วนหลิงเทียนนั้น เป็นอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนโดยสิ้นเชิง ขณะเดียวกันสังหรณ์อัปมงคลหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจมัน!
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่ในใจของมันบังเกิดลางร้าย
ฟั่ฟฟฟ!!
เสียงหวีดแหลมของกระบี่แหวกฟ้า พลันลั่นดังขึ้นสนั่นปานจะสะท้านสะเทือนแดนดิน! จากนั้นลูกประคำทั้ง 36 ลูกที่เปล่งแสงกลางหาวสร้างค่ายกลพลังก็แตกระเบิดอย่างพร้อมเพรียง พาลให้ค่ายกลอันใดก็จำต้องสลายหายไปด้วย!!
และวินาทีต่อมา ก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นข้างกายต้วนหลิงเทียน และร่างดังกล่าวก็กำลังมองจ้องไปยังพระอาจารย์หมี่เยี่ยนด้วยสายตาแหลมคมปานมีดดาบ!
แต่เป็นธรรมดาว่าจะในสายตาต้วนหลิงเทียนก็ดี หรือในสายตาฟงชิงหยางที่พึ่งปรากฏตัวข้างกายต้วนหลิงเทียนก็ดี ร่างที่ทั้งคู่เห็น…ไม่ใช่พระอาจารย์หมี่เยี่ยนแต่อย่างใด ทว่าเป็นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียน ยูไล!