WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3515 ผู้พิทักษ์ซ้ายแห่งวิหารเฟิงฮ่าว!
อาจารย์ของถังซานเป่า เป็นศิษย์พี่ของฉีคงไห่?
หลังได้เห็นการกระทำทั้งได้ยินคำพูดของฉีคงไห่ สีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็แลดูพิกลอยู่บ้าง เขาไม่คิดว่าถังซานเป่าจะมีความเกี่ยวข้องกับฉีคงไห่ในลักษณะนี้
ตัดสินจากสถานการณ์ในปัจจุบัน..
ดูเหมือนอาจารย์ของถังซานเป่าจะเป็นยอดฝีมือเร้นกายอย่างที่ถังซานเป่าเคยบอกไว้จริงๆ
เพียงแค่ยอดฝีมือเร้นกายผู้นี้ เคยเป็นคนของวิหารเฟิงฮ่าวมาก่อน และถึงแม้จะเร้นกายตัดขาดโลกหล้าไปอยู่อย่างสันโดษแล้ว ทว่าฐานะในอดีตตอนที่อยู่ในวิหารเฟิงฮ่าวก็ไม่ได้ถูกเพิกถอน และมีความเกี่ยวข้องกับวิหารเฟิงฮ่าวอย่างแยกไม่ออก
หาไม่แล้วศิษย์ของมันอย่างถังซานเป่า ไฉนฉีคงไห่ถึงใช้คำว่าศิษย์สืบทอดของวิหารเฟิงฮ่าวออกมา?
และต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าน้ำหนักศิษย์สืบทอดของวิหารเฟิงฮ่าวคืออะไร เพราะนี่ไม่ใช่แค่วิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อยระนาบเทวโลกต่างๆ แต่เป็นวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก!
‘ที่อาจารย์ของถังซานเป่ามาท้าสู้กับอาจารย์ในอดีต…หรือทั้งหมดเพียงเพราะคิดทดสอบอาจารย์ ว่าจะเป็นภัยคุกคามวิหารเฟิงฮ่าวหรือไม่งั้นเหรอ?’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวถามฟงชิงหยางทันที
“ไว้ค่อยคุยเถอะ”
ฟงชิงหยางก็ส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับเร็วไว “มีคนกำลังมา”
‘มีคนกำลังมา?’
ได้ยินคำตอบผ่านพลังของฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็งุนงงอยู่บ้าง จากนั้นก็มองอาจารย์เขาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว และพบว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังแหงนมองอะไรบางอย่างบนฟ้า พลอยทำให้เขาเงยหน้ามองตามขึ้นไปอีกคน
และมองไปปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็พบว่าม่านเมฆเหนือฟ้าสูงกำลังแยกออก มีร่างหนึ่งกำลังดิ่งลงจากฟ้าสูงด้วยความเร็ว!
เมื่อร่างดังกล่าวดิ่งลงมาใกล้สนามประลองมากพอ ทุกคนก็เริ่มค้นพบการมาถึงของมัน
ฟุ่บ!
ไม่นานนัก ร่างดังกล่าวก็มาปรากฏตัวเหนือน่านฟ้าสนามประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ เป็นชายชราในชุดคลุมลมดำเรียบง่ายอันมีใบหน้าเยียบเย็น ริ้วรอยบนใบหน้าเผยให้รู้ว่ามันผ่านพ้นกาลเวลามายาวนาน แต่ด้วยดวงตาที่คู่กริบคู่นั้น ทำให้คนไม่คล้ายผู้ชราไร้เรี่ยวแรง แต่แลดูน่ากลัวไม่น้อย
โดยเฉพาะคิ้วคู่เรียว ประหนึ่งดาบ 2 เล่มตั้งขวางไว้นั่นของมัน!
เรียกว่าพอชายชราปรากฏตัวออกมา แม้คนไม่ได้ทำอะไร ก็มีสภาวะลี้ลับสะกดข่มประการหนึ่ง ทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างยิ่งยวด!
“ผู้พิทักษ์ซ้าย…”
หลังชายชราปรากฏตัว ฉีคงไห่ก็ได้แต่หันไปมองโจวปิงหวู่ จักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนด้วยสายตาช่วยไม่ได้ พลางระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน…
โจวปิงหวู่นั้นหลังจากก่อเรื่องและโดนมันสยบปราบไปแล้ว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมยุติเรื่องราว แต่ยังคิดจองเวรถังซานเป่าอย่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ถึงกับกล้ากล่าวทำนองว่าจะฆ่าถังซานเป่าให้ได้…
สิ่งนี้ได้แตะขีดจำกัดล่างของวิหารเฟิงฮ่าวแล้ว
ถังซานเป่าไม่ใช่แค่ศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของศิษย์พี่มัน หรืออดีตอาวุโสสูงของวิหารเฟิงฮ่าวที่เร้นกายไปอยู่อย่างสันโดษเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นผู้สืบทอดของจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักคนปัจจุบันไปแล้วด้วย…
เมื่อถังซานเป่าถูกจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักคนปัจจุบันแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอด ผู้พิทักษ์ซ้ายของวิหารเฟิงฮ่าวก็ได้ถูกส่งมาให้ลอบติดตามคุ้มครองความปลอดภัยของถังซานเป่าอย่างลับๆ…เรียกว่าการดูแลปฏิบัติดังกล่าว กระทั่งศิษย์ที่แท้จริงของจ้าววิหารเฟิงฮ่าวยังไม่ได้รับด้วยซ้ำ!
เมื่อครู่มันยังคิดอยู่เลยว่าหากโจวปิงหววู่ยอมเลิกราแต่โดยดีก็แล้วไป เพราะถ้าผู้พิทักษ์ซ้ายไม่ปรากฏตัวออกมา ก็หมายความว่าเรื่องนี้ยังพอให้เลิกแล้วกันไปได้…
แต่ใครจะไปรู้ โจวปิงหวู่นั่นยังหาเรื่องไม่เลิก สุดท้ายผู้พิทักษ์ซ้ายก็ปรากฏตัวออกมาจนได้
การปรากฏตัวของผู้พิทักษ์ซ้าย ก็เสมือนว่าวันนี้ถูกลิขิตให้เป็นวันตายของโจวปิงหวู่โดยสดุดี
“รองจ้าววิหารฉี ไฉนท่านถึงไม่ฆ่ามัน?”
ชาชราเหลือบมองฉีคงไห่พลางกล่าว แม้น้ำเสียงจะสงบราวไถ่ถามเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ทุกผู้คนที่ได้ยินก็สัมผัสได้ถึงความนัยอันเคร่งเครียดที่แฝงเร้นอยู่ในนั้น
ฉีคงไห่ก็ได้แต่คลี่ยิ้มเจื่อนๆตอบกลับ “ผู้พิทักษ์ซ้าย โจวปิงหวู่ เคยทำความดีความชอบให้วิหารเฟิงฮ่าวของเรา ยังไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย กระทั่งท่านจ้าววิหารก็เคยออกปากชมมัน…”
“อ้อ? นี่ก็เลยเป็นเหตุผลให้มันขู่เอาชีวิตเจ้าวิหารน้อยแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้?”
ชายชราผู้เป็นถึงผู้พิทักษ์ซ้ายของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก เอ่ยถามเสียงเรียบ
ฉีคงไห่ได้แต่เงียบ…
มันรู้เป็นธรรมชาติ ว่าคุณงามความดีอันใด ก็ไม่พอช่วยโจวปิงหวู่ให้รอดพ้นความตายได้แล้ว
“หึ!”
ชายชราพ่นลมสบถเบาๆคำหนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือคว้าจับไปยังความว่างเปล่าทิศทางโจวปิงหวู่
พริบตาต่อมา
ซัว! ซัว! ซัว! ซัว! ซัว!
…
เถาวัลย์เส้นเขื่องสีมรกต 5 เส้นผุดโผล่จากความว่างเปล่ามารัดพันโจวปิงหวู่เอาไว้ฉับไว สุดที่ใครจะทันได้ตั้งตัว กระทั่งตัวโจวปิงหวู่เองยังไม่มีแม้แต่เวลาเร่งเร้าพลังเพื่อต้านทานด้วยซ้ำ
จากนั้นในขณะที่สีหน้าโจวปิงหวู่เปลี่ยนไปไม่สู้ดี พลังในร่างของมันก็ถูกเร่งเร้าออกมาสุดตัว หมายต้านทานการรัดพันของเถาวัลย์มรกต
เถามรกต 5 สายนี้ดังเส้นลาวาร้อนลวกก็ไม่ปาน พอถูกรัดมันก็รู้สึกเสมือนผิววหนั่งถูกแผดเผา และวินาทีต่อมาสีหน้าโจวปิงหววู่ก็จมลงถึงขีดสุด เพราะมันพบว่าพลังกับความลึกซึ้งของกฏที่มันพยามเร่งเร้าออกมาตานท้านสุดชีวิต เสมือนสะเก็ดเพลิงริบหรี่พบเจอคลื่นสมุทรอย่างไรก็ไม่ปาน ล้วนดับมอดลงในพริบตา!
กระทั่งพลังอันน่ากลัวดังกล่าว ยังแผ่พุ่งโคจรไปทั่วชีพจรพลังของมันประหนึ่งม้าพยศหลุดควบคุม อาละวาดทำร้ายชีพจรพลังทั่วร่าง ส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายในของมันอย่างสาหัส!
“อั๊คค–!”
อาการบาดเจ็บภายในที่ปะทุขึ้นทุกส่วนของร่างกาย ทำให้โจวปิงหวู่กระอักเลือดดำออกมาไม่หยุด และนี่เป็นครั้งแรกที่มันถึงกับกระอักเลือดออกมาแบบนี้ แม้แต่ตอนโดนฉีคงไห่ซัดมันยังไม่กระอักเลือดออกมาสักคำ! ทว่าบัดนี้ทั้งเลือดเสียเลือดดีพุ่งทะลักออกจากปากปานทำนบกั้นน้ำทลาย!!
อาการบาดเจ็บของมันสาหัสเกินไป!
อาการบาดเจ็บเดิมของมันไม่ทันได้ฟื้นฟู แต่ตอนนี้มันกลับได้รับบาดเจ็บภายในอย่างสาหัสซ้ำ กระทั่งยังหนักหนากว่าก่อนหน้าไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่!
“จักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน”
ชายชราในชุดคลุมลมดำ หรือก็คือผู้พิทักษ์ซ้ายของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก เหลือบมองโจวปิงหวู่ด้วยสายตาเฉยเมย มุมปากยกยิ้มดูแคลน “อันดับ 4 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์งั้นรึ…แต่อันดับ 4 แล้วจะอย่างไร ใครมอบความกล้าให้เจ้ากัน ถึงได้กล้าคุกคามชีวิตจ้าววิหารน้อยของวิหารเฟิงฮ่าวเรา?”
พอกล่าวจบ เถามรกตทั้ง 5 เส้นที่รัดพันทั่วร่างโจวปิงหวู่ก็คล้ายจะหดรัดบีบตัวแน่นขึ้น ทำให้โจวปิงหวู่เริ่มกระอักเลือดออกมาอีกรอบ ตอนนี้สีหน้าของมันซีดลงปานกระดาษ!
อย่างไรก็ตาม มันยังคงพยายามดิ้นรนสุดกำลัง เอ่ยปากออกมาอย่างยากลำบาก “ทะ…ท่านผู้พิทักษ์ซ้าย เข้าใจผิด…ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด”
อนิจจาชายชราไม่ได้สนใจมันแม้แต่นิดเดียว จากนั้นนิ้วมือมันก็เริ่มงองุ้มกำลง
ครู่ต่อมาเถาวัลย์มรกต 5 สาย ก็เสมือนถูกตัดการเชื่อมต่อ…
หลังถูกตัดการเชื่อมต่อแล้ว ก็ประหนึ่งจุดชนวนระเบิด ทำให้เถามรกตทั้ง 5 สายที่รัดพันร่างโจวปิงหวู่อยู่บังเกิดการระเบิดขึ้นในฉับพลัน! จนร่างโจวปิงหวู่คล้ายดอกไม้ไฟสีเลือดหนึ่งที่เบ่งบานขึ้นกลางหาว!!
พริบตาร่างโจวปิงหวู่ก็อันตรธานหายไป คงเหลือไว้แค่กลิ่นอายคาวคลุ้งของโลหิตในบรรยากาศ…
แหวนพื้นที่หรือสิ่งใดยังถูกพลังป่นทำลายจนแหลกเป็นผุยผง…
ไม่เหลืออะไรเลย…คนทั้งคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉากการประหาร โจวปิงหวู่ จักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนอันรวบรัดหมดจดที่อุบัติขึ้นในฉับพลัน ทำให้ทุกคนที่ชมดูเรื่องราวอยู่ตกตะลึงอึ้งไปเนิ่นนานกว่าจะหาย จากนั้นก็พากันสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บโดยไม่รู้ตัว
ขณะเดียวกัน พอมองไปยังชายชราที่ได้ยินว่าเป็นถึงผู้พิทักษ์ซ้ายของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักอีกครั้ง พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว เพราะตระหนักได้ทันทีว่านี่คือตัวตนขอบเขตเทพผู้หนึ่ง ที่สำคัญพลังฝีมือยังไม่ได้ด้อยไปกว่ารองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักอย่างฉีคงไห่แม้แต่น้อย…
ยิ่งไปกว่านั้นหากฟังจากบทสนทนาระหว่างฉีคงไห่กับผู้ชราให้ดี คล้ายมีฐานะศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน เห็นได้ชัดว่าลำดับอาวุโสของทั้งคู่ในวิหารเฟิงฮ่าวนั้นสมควรพอๆกัน
ฟุ่บ!
และไม่ทันที่ทุกคนจะฟื้นคืนสติ ร่างชายชราก็อันตรธานหายแว้บ คนพุ่งขึ้นฟ้าไปดั่งภูตพราย ชั่วพริบตาก็ลับหายไปในม่านเมฆ ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
อย่างไรก็ตามทุกคนในที่นี้ คาดเดาได้ไม่ยาก…
ชายชราสมควรซ่อนตัวอยู่ด้านหลังม่านเมฆ เฝ้าจับตาดูศึกอัจฉริยะสวรรค์อย่างเงียบงัน ลอบให้ความคุ้มครองถังซานเป่าอย่างลับๆ
ถึงแม้ตั้งแต่ที่ปรากฏตัวขึ้นจวบจนสังหารโจวปิงหวู่ทิ้ง ชายชราจะไม่ได้คุยอะไรกับถังซานเป่าสักคำ…
แต่กระนั้น พอหลายๆคนมองไปยังถังซานเป่าอีกครั้ง ดวงตาก็เต็มไปด้วยความอิจฉาทั้งยำเกรงเป็นที่สุด
จักรพรรดิสวรรค์ผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นถึงอันดับ 4 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ ต้องมาตกตายเพราะชายหนุ่มผู้นี้…พลังของวิหารเฟิงฮ่าวช่างขู่ขวัญกดดันผู้คนเสียจริง!
จักรพรรดิสวรรค์ส่วนใหญ่ที่พลังฝีมือไม่สู้โจวปิงหวู่ ต่างพากันรู้สึกหวาดกลัวจับใจ เพราะเรื่องนี้บ่งบอกใพวกมันรู้ชัด ว่าหากวิหารเฟิงฮ่าวคิดเข่นฆ่าพวกมันวันนี้ เกรงว่าพวกมันก็ไร้โอกาสเห็นตะวันยามรุ่งของวันพรุ่งอีกต่อไป…
“ศึกอัจฉริยะสวรรค์ จะเริ่มดำเนินสืบต่อ…”
จนเมื่อฉีคงไห่ประกาศออกมาเสียงดัง ก็ปลุกสติของทุกคนที่จมอยู่ในความคิดให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง กลับมาให้ความสนใจศึกอัจฉริยะสวรรค์สืบต่อ
ฉีคงไห่ยังประกาศต่อออกมาอีกว่า “เนื่องจากโจวหย่งฉีไม่เพียงแต่มันจะล้มเหลวในการท้าไต่อันดับ แต่มันยังตายไปแล้ว เช่นนั้นทุกคนที่มีอันดับอยู่ล่างมัน ก็จะเขยิบขึ้นมาคนละอันดับ…กล่าวได้ว่าโจวหย่งฉีที่แต่เดิมอยู่ในอันดับที่ 6 ปกติเมื่อท้าทายล้มเหลวมันจะอยู่ในอันดับที่ 6 สืบต่อ ทว่าเมื่อมันไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นอันดับที่ 7 แต่เดิม ซือหม่ารุ่ย ให้ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 6 แทน”
“คนที่อยู่ด้านหลังก็ขยับขึ้นคนละอันดับ”
การตายของโจวหย่งฉี ทำให้อันดับของหลายๆคนกระเตื้องขึ้นไปอีกอันดับ
และเป็นธรรมดาว่าอันดับที่ 30 ได้กลายเป็นว่างเว้นเอาไว้
“ต่อไปถึงคราวของอันดับที่ 5 ต้วนหลิงเทียน…ออกมาท้าทายไต่อันดับ”
ขณะกล่าวฉีงคงไห่ก็เหลือบมองไปยังต้วนหลิงเทียนที่นั่งข้างๆซูหลี่
ตอนนี้ถังซานเป่าก็ได้ออกจากน่านฟ้าเหนือสังเวียนประลองแล้ว แต่มันไม่ได้ย้อนกลับมานั่งกับพวกต้วนหลิงเทียนเหมือนแต่ก่อน เลือกที่จะไปนั่งยังอัฒจันทร์ที่ว่างที่ใกล้ที่สุดแทน
แต่กระนั้นถึงมันจะไปนั่งโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆก็หันมามองมันด้วยสนใจอยู่ดี
จนเมื่อมันขมวดคิ้วกวาดตามองไปโดยรอบ อัจฉริยะหลายคนที่หวาดกลัวก็ถอนสายตาหันหน้าหนี ไม่กล้ามองมันสืบไป..
“ถึงตาต้วนหลิงเทียนท้าสู้แล้ว”
ท่ามกลางสายตามากมายหลายคู่ ต้วนหลิงเทียนที่ลุกขึ้นจากที่นั่งก็ค่อยๆก้าวขึ้นไปในอากาศกลางสังเวียนอย่างไม่รีบไม่ร้อน
จังหวะนี้หลายคนรู้สึกสนใจใคร่รู้นัก ว่าต้วนหลิงเทียนจะเลือกท้าทายใคร
“ต้วนหลิงเทียนมีพลังระดับยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดารา…และตอนนี้ในบรรดาผู้ที่มีอันดับเหนือกว่ามัน ที่อ่อนแอที่สุดก็เห็นทีจะเป็นจงกุ้ยอวี่…มันจะเลือกท้าจงกุ้ยอวี่หรือไม่?”
“อาจเป็นได้ สุดท้ายการท้าจงกุ้ยอวี่ไม่เพียงทำให้อันดับสูงขึ้น แต่ยังมีโอกาสชมดูท่าทีและพลังของอันดับที่สูงกว่าได้อีก”
“จริง หากข้าเป็นมันก็คงเลือกท้าจงกุ้ยอวี่ก่อน”
…
และต้องกล่าวเลยว่า ครั้งนี้คนส่วนใหญ่เดาถูก
ต้วนหลิงเทียนเลือกจะท้าจงกุ้ยอวี่จริงๆ
“ต้วนหลิงเทียน”
หลังจากจงกุ้ยอวี่เหินร่างมาหยุดลอยกลางฟ้าเหนือสนามประลอง มันก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มขื่นขมพลางกล่าวถามด้วยน้ำเสียงอับจน “เจ้าจะท้าข้าทำอะไร ในเมื่อเจ้าเป็นถึงเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ แถมเจ้าเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าแน่…”
“อ้อ?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าเผยพลังระดับเทพสงคราม 5 ดาราออกมาในศึกอัจฉริยะสวรรค์รอบแรกๆ ไม่ใช่เจ้าส่งเสียงผ่านพลังมาหาข้ารึไร…แถมพูดทำนอง ‘หวังว่าข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง’ อีก”
“ตอนนี้ข้าก็มายืนต่อหน้าเจ้าแล้วไง…”
“ไม่ใช่สนองความต้องการของเจ้าหรอกเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปยังจงกุ้ยอวี่พลางถาม
พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สีหน้าจงกุ้ยอวี่ก็กลายเป็นอับจนขมขื่น “เจ้า…นี่เจ้าท้าข้าเพราะก่อนหน้าข้าส่งเสียงผ่านพลังไปพูดเรื่องนั้นกับเจ้า?”
จงกุ้ยอวี่คลี่ได้แต่คลี่ยิ้มหน้าแห้ง…
ต้วนหลิงเทียนคิดรังแกมันหรือไร เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นเหรอ?
ไม่เห็นรึไงว่ามัน จงกุ้ยอวี่ อ่อนด้อยกว่าขนาดไหน?
เลือกจะท้ามันทั้งๆที่รู้ว่าต้องชนะ หากสิ่งนี้ไม่เรียกว่ากลั่นแกล้งรังแกผู้คน แล้วแบบไหนถึงเรียกกลั่นแกล้งรังแกผู้คน?
เหล่าผู้ชมทั้งหลายก็พากันอึ้งไปเป็นแถบ “ที่แท้ต้วนหลิงเทียนท้าจงกุ้ยอวี่ไม่ใช่เพราะเห็นว่าจงกุ้ยอวี่อ่อนแอที่สุด แต่เป็นเพราะก่อนหน้า จงกุ้ยอวี่ไปห้าวใส่ต้วนหลิงเทียนก่อนงั้นเหรอ?”
“ฮ่าๆๆๆ…ช่างน่าขันนัก! ตอนเจ้าจงกุ้ยอวี่นั่นไปห้าวใส่ต้วนหลิงเทียน ข้าเกรงว่ามันคงไม่คิดไม่ฝันกระมัง ว่าต้วนหลิงเทียนจะเป็นถึงยอดฝีมือเทพสงคราม 5 ดาราแบบนี้! สิ่งนี้ใช่เรียกว่าห้าวไม่ดูรุ่นหรือไม่?”
…
หลายคนชมดูเรื่องราวกันตาใส หัวเราะกล่าวออกมาอย่างสนุกสนานปานกลัวโลกวุ่นวายไม่พอ