WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3521 หนึ่งต่อสอง!
จังหวะนี้ไม่ว่าจะเป็นถังซานเป่าหรือหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ามามองสบตากัน ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเห็นถึงแววตาไม่อยากจะเชื่อของอีกฝ่าย
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง มันปุบปับเกินไป
และสิ่งที่ทำให้พวกมันไม่อยากจะเชื่อเลยก็คือคำพูดของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง! อีกฝ่ายตั้งใจจะให้พวกมัน 2 คนร่วมมือกันต่อสู้กับต้วนหลิงเทียนเพียงลำพัง! ทำตามกฏพิเศษในรอบ 30 คนสุดท้ายของศึกอัจฉริยะ ที่วิหารเฟิงฮ่าวที่ตั้งไว้…!!
“พี่น้องหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ดูท่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนจะร้ายกาจสุดที่พวกเราจะคาดคิดซะแล้วล่ะ…”
ถังซานเป่าอดกล่าวกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้
อย่างไรก็ตามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้สนใจถังซานเป่าแต่อย่างใด มันเพียงหันกลับไปมองต้วนหลิงเทียนบนอัฒจันทร์ที่นั่งไกลๆ จากนั้นก็เลือกจะนั่งขัดสมาธิลงกลางหาว สะบัดมือเรียกโอสถที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังออกมาตบเข้าปากรวดเดียว 2-3 เม็ด ก่อนที่จะเริ่มเดินพลังฟื้นฟูพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดที่พร่องไปทันที
เห็นฉากดังกล่าว ถังซานเป่าก็เดาะลิ้นเบาๆ ก่อนจะเริ่มนั่งลงและกินโอสถอมตะเพื่อฟื้นฟูพลังเหมือนกัน
จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางคิดอาศัยกฏพิเศษของศึกอัจฉริยะแบบนี้ แม้สำหรับพวกมันจะน่าละอายอยู่บ้าง แต่ก็จำต้องยอมรับโดยสดุดี
พวกมันก็ทำได้แค่ร่วมมือกันเพื่อเอาชนะต้วนหลิงเทียน และทำให้จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางรู้สึกเสียใจกับการเสนอการประลองนัดพิเศษครั้งนี้เท่านั้น…
แต่เป็นธรรมดาว่าพวกมันย่อมรู้ดีแก่ใจ ว่าในเมื่อจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางถึงกับริเริ่มเสนอการประลองตามกฏพิเศษออกมา แถมยังยอมรับกติกาที่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักฉีคงไห่กล่าวถึงเรื่องที่ห้ามใช้กำลังภายนอกใดๆแบบนี้ นั่นบ่งบอกให้รู้ว่าจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางมีความมั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนถึงขีดสุด!
จังหวะนี้ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผิวเผินจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่ลึกลงไปในใจต้องบอกว่าตกตะลึงครั้งใหญ่แล้ว!
ตั้งแต่วันที่มันแยกทางกับต้วนหลิงเทียนตอนนั้น มันก็ได้อาศัยทรัพยากรที่ได้จากระนาบเทพเป็นรากฐานในการบ่มเพาะฝึกฝนรวมถึงโชควาสนาที่มันพบพานตลอดช่วงที่ผ่าน จนทำให้มันรู้สึกว่าพลังฝีมือของมันได้แข็งแกร่งและเหนือต้วนหลิงเทียนไปไกลแล้ว…
และในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ถึงแม้มันจะพบเจอเรื่องราวผิดคาดเพราะต้วนหลิงเทียนเองก็เผยให้เห็นพลังระดับเทพสงคราม 6 ดาราออกมาเช่นกัน แต่มันก็ไม่ได้ท้อถอยแม้แต่น้อย ยังรู้สึกมั่นใจในตัวเองอีกว่าต่อให้ต้วนหลิงเทียนเป็นเทพสงคราม 6 ดารา ก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ามัน!
ทว่าบัดนี้จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางกลับปรากฏตัวอย่างกะทันหัน เสนอให้ต้วนหลิงเทียนลงประลองนัดพิเศษตามกฏนั่น กอปรกับคำพูดทั้งหมดรวมถึงท่าทีสบายๆไม่นำพาของอีกฝ่าย มันจึงตระหนักได้ทันทีว่า…
พลังของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน สิบในสิบสมควรแซงหน้ามันไปไกลแล้ว…
ฟงชิงหยางไม่เพียงแต่จะเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนเท่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพ เช่นนั้นย่อมมองเห็นซึ้งถึงพลังฝีมือที่แท้จริงของมันจากการประมือกับถังซานเป่าเมื่อครู่แน่นอนแล้ว…แต่ในสถานการณ์เช่นนั้น อีกฝ่ายยังกล้าเสนอการประลองเช่นนี้ออกมา เผยให้เห็นว่ามีความมั่นใจว่าต้วนหลิงเทียนจะต้องชนะแม้จะประมือกับพวกมันสองคนพร้อมกัน!
“เช่นนั้นก็รอให้ทั้งคู่พักฟื้นฟูพลังให้กลับมาสมบูรณ์พร้อมเสียก่อน แล้วค่อยสู้กับต้วนหลิงเทียน”
ภายนอกฉีคงไห่รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักก็ยังคงมีท่าทีสงบตอบรับและเห็นด้วยกับคำพูดของฟงชิงหยางไปตามหน้าที่ แต่ภายในใจของมันนั้นปั่นป่วนจนแทบระงับไว้ไม่ไหวแล้ว
และเสียงพูดของมันไม่เพียงแต่ฟงชิงหยางจะได้ยิน ทุกคนในสนามประลองก็ได้ยินกันชัดถนัดหู
“อืม”
จนเมื่อจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางพยักหน้าขานคำรับทราบ และเหินร่างกลับมายังเกาะลอยเล็กๆเหนืออัฒจันทร์ก่อนจะนั่งลงที่เดิมข้างติงฟู่อยย่างไร้เรื่องราว เหล่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์ในสถานที่เกิดเหตุค่อยทยอยกันได้สติ และไม่มีข้อยกเว้นใดๆ สีหน้าท่าทีของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความตกใจครั้งใหญ่ “สวรรค์! เงื่อนไขในการประลองพิเศษเช่นนี้…จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางยังตกลง?”
“ไม่อาจใช้กำลังภายนอกได้…นี่ไม่ได้หมายความถึงอุปกรณ์อมตะและยันต์อมตะทั้งหลายเท่านั้น…แต่รวมไปถึงพลังใดๆก็ตามที่ไม่ได้มาจากร่างกายหรือพลังฝีมือของตัวเอง! กล่าวได้ว่าล้วนไม่อาจใช้สิ่งใดได้ทั้งสิ้น เพราะทันทีที่ใช้ก็เสมือนทำผิดกติกาและจะถูกปรับแพ้ทันที!!”
“ให้ตายเถอะ จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางมั่นใจในศิษย์ของตัวเองถึงขนาดนี้เชียวหรือ?!”
“ข้าว่าลองจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางเต็มไปด้วยความมั่นใจถึงขนาดนี้ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นน่ากลัวจะมีพลังสามารถมากพอรับมือถังซานเป่าที่ร่วมมือกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นจริงๆ”
…
ไม่ว่าใครก็ตาม บัดนี้ดวงตาทั้งคู่ล้วนจับจ้องมองไปยังร่างชายหนุ่มในชุดสีม่วงอย่างพร้อมเพรียง ทำราวกับนัดกันมาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
ด้านเจ้าตัวอย่างต้วนหลิงเทียนที่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง ยังคงนั่งเฉยสีหน้าไม่เผยความยินดียินร้ายใดๆ
เมื่อครู่ก่อนที่อาจารย์ของเขาจะตัดสินใจออกมาปรากฏตัวกลางหาว อีกฝ่ายก็ได้ส่งเสียงผ่านพลังมาบอกเขาว่า ร่างที่แท้จริง ของตนเองที่อยู่ในนรกอสุรานั้น ได้ค้นพบสถานที่ลับที่เต็มไปด้วยพลังแห่งกฏ และมีความสามารถไม่ต่างอะไรจากห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวเลย
แน่นอนว่าพลังแห่งกฏในนั้นมีเพียงกฏเดียวเท่านั้น
กฏเวลา!
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในสถานที่แห่งนั้นมีพลังของกฏแห่งเวลามหาศาลนัก ก็มากพอจะแบ่งปันให้เขาดูดซับมันด้วย
และตอนนี้ ร่างที่แท้จริงของอาจารย์เขาก็ได้ฝึกฝนอยู่ในห้องลับของกฏแห่งเวลาที่ว่า สามารถดูดซับพลังแห่งกฏเวลาเพื่อทำความเข้าใจกฏของเวลาได้อย่างราบรื่น ถึงขั้นใช้เวลาไม่นานจากไม่เข้าใจอะไรในกฏเวลา ก็สามารถควบรวมพลังของกฏเวลาสร้างร่างอวตารของกฏเวลาเพิ่มได้อีกร่าง!
หลังได้รับทราบเรื่องนี้ ใจต้วนหลิงเทียนก็สะท้านไปทันที
เพราะฟังจากคำพูดของอาจารย์ สิ่งนี้หมายความว่า ในสถานที่ลับที่ว่าขอเพียงดูดซับพลังของกฏเวลาในนั้น ก็มากพอจะทำให้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏเวลาทุกประการถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น! เพราะการจะควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏขึ้นนั้น จำเป็นต้องเข้าใจความลึกซึ้งของกฏนั้นๆถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ครบทุกประการเสียก่อน ทว่าเรื่องการทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง สถานที่ลับที่ว่าไม่อาจช่วยได้ และไม่มีพลังภายนอกใดๆช่วยได้ จำต้องทำความเข้าใจด้วยตัวเองเท่านั้น
ไม่ต้องกล่วถึงว่าเหล่าเซียนอมตะทั้งหลาย ทั้งชีวิตได้ก้าวเดินบนเส้นทางแห่งการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ แม้แต่เหล่าเทพในระนาบเทพ ก็ยังคงก้าวเดินบนเส้นทางในการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏดุจเดียวกัน
เหล่าตัวตนขอบเขตเทพบนระนาบเทพนั้น หากมีด่านพลังฝึกปรือทัดเทียมกัน สิงที่จะทำให้พลังฝีมือแตกต่างกันก็เกี่ยวพันกับความเข้าใจในกฏอย่างยิ่งยวด
“เจ้าต้วน…เจ้ามั่นใจไหม?”
เสียงของซูหลี่ดังขึ้นขัดความคิดที่ล่องลอยไปเรื่อยเปื่อยของต้วนหลิงเทียน และดึงสติเขาให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาแทบไม่ได้ฟังเสียงอื่นใดเลย และไม่สนใจสายตาของทุกคนที่มองมา เพียงนิ่งคิดเรื่องสถานที่ลับของอาจารย์ไปเรื่อย
“เรื่องนี้เดี๋ยวเจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่รึไง?”
ต้วนหลิงเทียนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มกับคำพูดเดิมๆที่ต้วนหลิงเทียนเคยพูดในอดีต สองตาซูหลี่ก็ทอประกายสว่างจ้า จากนั้นก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆกล่าวออกมาว่า “ให้ตายเถอะ ข้าหลงคิดว่าข้าเข้าใกล้เจ้ามากขึ้นแล้วเสียอีกเจ้าต้วน…แต่ตอนนี้ดูเหมือนยิ่งมาเจ้ายิ่งทิ้งห่างข้าไปไกลแล้ว”
ขณะเดียวกันด้านจางเทียนโย่ว ว่างถิง และเหอเจี้ยนอวี่ที่นั่งอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน ก็มองแผ่นหลังต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่อยากจะเชื่อ…
พอคิดถึงเรื่องเมื่อก่อนตอนที่พวกมันดูเบาต้วนหลิงเทียน พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะหน้าม้านหูแดงขึ้นมาด้วยความละอายใจ อยากย้อนเวลาไปตีตัวเองให้ตายเหลือเกิน…
“เจ้าคิดว่าต้วนหลิงเทียนมีโอกาสชนะสูงเพียงใด?”
ในขณะที่ถังซานเป่ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกำลังนั่งขัดสมาธิกลางหาวเดินพลังเพื่อฟื้นฟูพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดอยู่ เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายบนอัฒจันทร์ก็ไม่ได้นั่งเฉยๆ พวกมันขยับปากพ่นคำออกมาอย่างน้ำไหลไฟดับ คาดเดาถามไถ่กันไปต่างๆนาๆถึงศึกนัดพิเศษที่กำลังจะอุบัติขึ้น
ถึงแม้ว่าศึกนี้พวกมันจะต้องรอนานหน่อยแต่ก็ไม่มีใครบ่น เพราะรู้สึกว่าคุ้มค่ากับเวลาที่ต้องเฝ้ารอ!
ไม่มีใครรีบ!
ขณะเดียวกัน ด้านจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลายรวมถึงคนของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อยระนาบเทวโลกต่างๆเองก็กระซิบกระซาบกันยกใหญ่
“จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางจะมั่นใจในศิษย์เอกคนนี้มากเกินไปหน่อยหรือไม่? แต่ในเมื่อมั่นใจเสียเต็มประดาเช่นนี้ข้าเกรงว่าต้วนหลิงเทียนนั่นสมควรมีพลังมากพอเอาชนะการกลุ้มรุมของถังซานเป่ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้จริงๆ”
“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…ผู้ใดจะไปรู้ล่ะ บางทีนี่อาจเป็นบททดสอบที่ฟงชิงหยางตั้งใจมอบให้ต้วนหลิงเทียนก็เป็นได้!”
“ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลกลใด แต่ที่แน่ๆคือมั่นใจได้เลย ว่าพลังฝีมือที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนสมควรเหนือกว่าคนใดคนหนึ่งในบรรดา 2 คนนั่นแน่…ส่วนเรื่องที่จะเอาชนะการกลุ้มรุมร่วมมือของทั้งคู่ได้หรือไม่ สิ่งนี้คงยากที่จะมีใครบอกได้แน่ชัด เพียงรอดูชมเถอะ ประเดี๋ยวทุกสิ่งที่อยากรู้ก็จักปรากฏเอง…”
…
ท่ามกลางเหล่าตัวตนระดับสูงของระนาบเทวโลกทั้งหลาย บ้างก็มั่นใจว่าต้วนหลิงเทียนต้องเปิดเผยพลังฝีมืออันน่าเหลือเชื่อแล้วเอาชนะถังซานเป่ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมๆกันได้แน่ แต่บ้างก็คิดว่านี่เป็นเพียงบมทดสอบของฟงชิงหยางเท่านั้น หมายดูขีดจำกัดต้วนหลิงเทียนว่าจะรับมือ 2 สุดยอดอัจฉริยะในระนาบเทวโลกที่ร่วมมือกันได้แค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกมันจะคิดคาดไปอย่างไร สุดท้ายทั้งหมดก็เป็นแค่จินตนาการของพวกมันเท่านั้น
สำหรับการต่อสู้ที่จะมาถึง นับว่าเป็นอะไรที่ทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอคอยอย่าใจจดใจจ่อนัก
และหลังจากการเฝ้ารออย่างอดทนของทุกคน ในที่สุดหลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ได้ลืมตาขึ้นมาขณะเดียวกันก็ลุกขึ้นยืนกลางหาว หันไปมองกล่าวกับฉีคงไห่ว่า “รองจ้าววิหารฉี ข้าฟื้นฟูพลังกลับมาสมบูรณ์พร้อมแล้ว พร้อมจะสู้ได้ทุกเมื่อ”
“ทราบแล้วนายน้อยหลิง”.
ขณะที่ฉีคงไห่ตอบคำหลิงเจวี๋ยอวิ๋นด้วยความสุภาพนอบน้อม ด้านถังซานเป่าก็ลืมตาและลุกขึ้นมาเหมือนกัน “อาจารย์อาฉี ข้าก็พร้อมลุยแล้วเหมือนกัน”
“จะเริ่มแล้ว!!”
พอเห็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นกับถังซานเป่าลุกขึ้นมาพร้อมสู้ ผู้ชมที่เฝ้ารอคอยเวลาแห่งการต่อสู้อย่างใจจดจ่อ ก็ตาลุกวาวกันถ้วนหน้า
ฟุ่บ!
ไม่จำเป็นต้องให้ฉีคงไห่กล่าว ต้วนหลิงเทียนได้ลุกขึ้นแล้วก้าวอาดๆย่ำฟ้าไปหยุดลงกลางหาวอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เรียกว่าวินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนได้กลายเป็นจุดศูนย์รวมความสนใจของทุกคนอย่างแท้จริง ไม่มีใครที่ไม่มองดูเขา!
เผชิญกับสายตามากมายหลายคู่จากทุกทั่วสารทิศ ท่าทีต้วนหลิงเทียนก็ยังคงนิ่งสงบไม่แปรเปลี่ยน
“น้องฟงท่าน มั่นใจในตัวศิษย์หลานต้วนถึงขนาดนี้…เช่นนั้นศึกครั้งนี้ ท่านมั่นใจว่าศิษย์หลานต้วนต้องชนะแน่แล้วกระมัง?”
ตอนนี้เอง ติงฟู่ จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนพอเห็นต้วนหลิงเทียนออกไปปรากฏตัวบนสังเวียนกลางหาวด้วยท่าทีสงบ มันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปกล่าวถามฟงชิงหยางออกมาด้วยความอยากรู้
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด…ก็คงเป็นแบบนั้น”
ฟงชิงหยางกล่าวตอบ
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด?”
ติงฟู่งุนงง ด้วยไม่เข้าใจว่าไฉนฟงชิงหยางถึงพูดทำนองดังกล่าวออกมา “น้องฟงท่าน หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
ฟงชิงหยางที่มองจ้องต้วนหลิงเทียนกลางหาวไกลห่างด้วยความเชื่อมั่นพลางกล่าว “เพราะข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่แท้ก้นบึ้งพลังฝีมือของศิษย์ข้าคนนี้อยู่ลึกแค่ไหน…”
พอฟงชิงหยางกล่าวตอบออกมา ไม่เพียงแต่ติงฟู่เท่านั้น แต่เว่ยฉีที่ยืนอยู่ด้านหลังติงฟู่ก็ถึงกับอ้าปากค้างไร้คำใดจะกล่าว…
กลับกันด้านเมิ่งหลัวที่ยืนประกบอยู่ด้านหลังฟงชิงหยางนั้นไม่ได้เผยท่าทีแปลกใจอะไร ราวกับล่วงรู้เรื่องนี้แต่แรก
ในสังเวียนกลางหาว ต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น และถังซานเป่าก็ลอยร่างเผชิญหน้ากัน
“พี่น้องต้วนหลิงเทียน…”
ถังซานเป่าคลี่ยิ้มขื่นขมกล่าวว่า “ดูเหมือนยังเป็นข้าที่ดูเบาพี่น้องต้วนท่านมากเกินไป…เช่นนั้นวันนี้ให้ข้ารับทราบทีเถอะ ว่าช่องว่างระหว่างข้ากับพี่น้องต้วนท่าน…ที่แท้กว้างใหญ่เพียงใด!”
เห็นได้ชัดว่าในปัจจุบันถังซานเป่ารู้สึกว่าต้วนหลิงเทียนนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวเอง
และเหตุผลที่ทำให้มันมีความรู้สึกดังกล่าว ก็เหมือนๆกันกับทุกคน…ทั้งหมดเป็นเพราะความมั่นใจของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง!
ตอนที่ถังซานเป่าเข้าหาต้วนหลิงเทียนครั้งแรก ไม่เพียงแต่จะบังเอิญจริงๆ คำพูดที่มันกล่าวทำนองฟงชิงหยางเป็น ‘ไอดอล’ ของมันนั้น มันไม่ได้โกหกต้วนหลิงเทียนแม้ครึ่งคำ เพราะมันมองฟงชิงหยางเป็น ‘ไอดอล’ หรือแบบอย่างของมันจริงๆ
คำพูดของไอดอล…มันย่อมเชื่อเป็นธรรมดา!
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่ได้พูดอะไร แต่สองตาของมันมองพินิจต้วนหลิงเทียนอย่างจริงจัง
“ต้วนหลิงเทียน”
ในเวลานี้เองฉีคงไห่ก็หันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนว่า “การประลองกับถังซานเป่าและหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพร้อมกันครั้งนี้ เจ้ามิอาจใช้กำลังภายนอกอันใดได้ทั้งมวล…และหากเจ้าพ่ายแพ้ เจ้าก็จะสูญเสียโอกาสท้าทายทั้งคู่ไปทันที”
“กล่าวได้ว่า…หากเจ้าแพ้ศึกพิเศษครั้งนี้ ถึงแม้พลังฝีมือของเจ้าจะเหนือกว่าถังซานเป่าหรือหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ตามที แต่เจ้าจักไม่มีสิทธิ์ท้าประลองเพื่อชิงอันดับของทั้งคู่อีกต่อไป…”
“เรื่องนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
ฉีคงไห่ถาม
“อ้อ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็พอรู้กฏพิเศษของศึกอัจฉริยะสวรรค์มาบ้าง
“เช่นนั้น ก็เริ่มเลยเถอะ”
พอเสียงของฉีคงไห่ดังจบคำ สองตาผู้ชมทั้งหลายก็เป็นประกายสว่างไสว ขณะเดียวกันก็พากันมองจ้องไปยังต้วนหลิงเทียน หลิงเจวี๋ยอวิ๋น และถังซานเป่าไม่วางตา เรียกว่าใจจดใจจ่อนักราวกับกลัวจะพลาดฉากยอดเยี่ยมอันใดไป!