WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3536 จ้าววิหารเฟิงฮ่าว
ก่อนที่จะได้รับกฏมิติ กฏที่ต้วนหลิงเทียนเชี่ยวชาญมากที่สุดก็คือกฏแห่งไฟ ดังนั้นครั้งนี้นอกจากคิดจะเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏดินแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏไฟเช่นกัน
ถึงแม้จะมีเวลาจำกัดแค่ 3 เดือน แต่เขาก็เชื่อว่าน่าจะยกระดับความเข้าใจกฏทั้ง 2 ได้ถึงขีดสุด
และเป็นธรรมดาว่าหากเขาสามารถเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟและดินถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่ทั้งหมดได้ก่อนเวลา เวลาที่เหลือเขาก็คิดจะทำความเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏเท่าที่จะทำได้
“เมื่อเลือกแล้วไม่อาจเปลี่ยน เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเลือกเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏไฟกับดิน?”
ฉีคงไห่เอ่ยถามเพื่อยันยันอีกรอบ
“ข้าแน่ใจ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาตัดสินใจเลือก 2 กฏนี้ตั้งแต่แรก เช่นนั้นจึงไม่คิดเปลี่ยนแปลงอะไร
หลังได้รับการยืนยันจากต้วนหลิงเทียน ฉีคงไห่ก็พาต้วนหลิงเทียนไปยังห้องลับแห่งกฏทันที
สถานที่ตั้งห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวนั้น มีค่ายกลและข่ายอาคมป้องกันมากมาย หากไม่เคยมาที่นี่สักครั้ง ต่อให้บังเอิญเดินผ่าน หรือแม้แต่ใช้สำนึกเทวะแผ่ออกมาตรวจสอบเรื่องราว ก็เกรงว่าคงไม่พบเจออะไร
เพราะที่นี่ถูกซ่อนเอาไว้มิดชิดจริงๆ
และนอกจากค่ายกลซ่อนเร้นแล้ว ก็มีค่ายกลและข่ายอาคมป้องกันทั้งสังหารมากมายที่จัดตั้งเอาไว้
“ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวเรามีทั้งสิ้น 5 ห้อง และสอดคล้องกับกฏแห่งธาตุธรรมชาติทั้ง 5…แต่ตอนนี้พอดีห้องลับแห่งกฏดินมีศิษย์ของวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเรากำลังเข้าใช้อยู่ เช่นนั้นเจ้าควรไปเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏไฟก่อน”
“และไม่เกิน 1 เดือน คนที่เข้าใช้ห้องลับแห่งกฏดินของพวกเราก็จะออกมา เช่นนั้นก็มิน่าจะส่งผลกระทบอะไรกับการเลือกใช้ห้องลับแห่งกฏดินของเจ้า…”
ฉีคงไห่กล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
ขณะเดียวกันมันก็พาต้วนหลิงเทียนมาถึงสถานที่ตั้งห้องลับแห่งกฏทั้ง 5 และห้องลับแห่งกฏทั้ง 5 ก็ตั้งอยู่บนแท่นยกสูง
แท่นยกสูงดังกล่าวลักษณะไม่ต่างอะไรกับแท่นบูชา ด้านบนเต็มไปด้วยลวดลายและอักขระอันซับซ้อน เพียงมองก็ทำให้รู้สึกตาลายแล้ว และหากใครทะเล่อทะล่าแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบ ก็อาจทำให้เสียสติได้
‘ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าว ดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นโดยน้ำมือของผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เปิดสร้างระนาบอิสระแห่งนี้ในอดีต…เพราะพี่สาวสุ่ยบอกว่ามีแต่ตัวตนระดับผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ที่สร้างห้องลับแห่งกฏได้’
ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดไปพลางขณะกวาดตามองรอบๆ
ห้องลับแห่งกฏทั้ง 5 ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเขา แต่ละห้องลักษณะแลดูเรียบง่าย ไม่เหมือนห้องลับแห่งกฏเวลาในมรดกสถานที่อาจารย์ของเขาพบเจอ
“เจ้าแบ่งเวลาเองเถอะ…เจ้าจะใช้เวลาทั้งหมด 3 เดือนไปกับห้องลับกฏแห่งไฟก็ได้ อย่างไรก็ตามหากใช้เวลาครบ 3 เดือนแล้ว เจ้าก็มิอาจเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏดินได้อีก”
ฉีคงไห่กล่าวบอกต้วนหลิงเทียน
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“หากเจ้ามีอะไร ก็เรียกหาอาวุโสทั้ง 2 ของวิหารเฟิงฮ่าวเราได้ทุกเมื่อ ตราบใดที่พวกมันจัดการให้ได้ พวกมันจะช่วยเจ้าจัดการเอง”
ฉีคงไห่ยังกล่าวสืบต่อ
และอาวุโสทั้ง 2 ของวิหารเฟิงฮ่าวที่ว่า ก็คือชายชรา 2 คนที่คอยปกป้องดูแลห้องลับแห่งกฏทั้ง 5 คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเทา อีกคนสวมชุดคลุมสีน้ำตาล สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
“อืม”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าอีกรอบ
“เจ้าเข้าไปเถอะ…ข้ายังมีธุระที่ต้องไปสะสาง และเมื่อครบกำหนดเวลา 3 เดือนข้าจะมารับ”
ฉีคงไห่กล่าว
หลังพูดจบ พอเห็นต้วนหลิงเทียนพยักหน้าเบาๆ ฉีคงไห่ก็จากไปทันที คงเหลือเพียงชายชราทั้ง 2 ที่คอยดูแลปกป้องห้องลับแห่งกฏทั้ง 5 เท่านั้น
และต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอช้า ก้าวอาดๆเข้าไปยังห้องลับแห่งกฏไฟทันที
ด้วยเพราะมีประสบการณ์ในการเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏเวลามาแล้ว ต้วนหลิงเทียนจึงคุ้นชินกับมันดี
‘ดูเหมือนที่ข้าคิดไว้จะทำไม่ได้…’
ต้วนหลิงเทียนที่เข้ามาอยู่ด้านในห้องลับแห่งกฏไฟแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงการสอดแนมประการหนึ่ง อีกทั้งการสอดแนมดังกล่าวยังเสมือนจงใจทำให้เขารู้ตัวอีกด้วย
เพราะความรู้สึกดังกล่าว ทำให้เขาตระหนักได้ชัดเจนว่ามีคนจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาภายในห้องลับแห่งกฏอยู่
เดิมทีเขาตั้งใจจะเปิดโลกใบเล็ก เพื่อให้เพลิงเทพโกลาหล 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุช่วยเขา ‘ขโมย’ แก่นแท้พลังของกฏแห่งไฟที่อัดแน่นในห้องลับแห่งกฏแห่งนี้เพื่อนำไปไว้ในโลกใบเล็กของเขา…
เนื่องเพราะวารีเทพชำระโลกาเคยบอกเขาเอาไว้ ว่าเรื่องนี้สามารถกระทำได้
แต่พอเขาพบว่ามีคนจับตาดูความเคลื่อนไหวเขาอยู่ ความคิดดังกล่าวก็ถูกลิขิตให้เป็นหมันทันที
ส่วนเรื่องนำคนใกล้ตัวของเขาออกมาเพื่อลอบใช้ห้องลับแห่งกฏของวิหารเฟิงฮ่าวนั้น ก่อนหน้าเขาก็เคยคิดอยู่บ้าง แต่ก็ได้ล้มเลิกความคิดดังกล่าวไป เพราะเขารู้ว่าทางวิหารเฟิงฮ่าวต้องมีวิธีป้องกันไม่ให้ใครทำอะไรแบบนั้นแน่นอน
และครั้งนี้ นอกจากฮ่วนเอ๋อกับหานเฉวี่ยไน่ที่ยังไม่ตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พาใครมาด้วยอีก ทุกคนยังคงอาศัยอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน
อย่างไรเสียการมาของเขาครั้งนี้ ก็ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่บ้าง
เพื่อความปลอดภัย การให้คนใกล้ชิดเขารั้งอยู่ในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ย่อมทำให้เขารู้สึกสบายใจมากกว่า
‘ช่างเถอะ แค่ดูดซับแก่นแท้พลังของกฏแห่งไฟไปตามปกติก็พอ’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่สนใจเรื่องใดอีก เลือกจะนั่งลงและจดจ่ออยู่กับการดูดซับแก่นแท้พลังกฏแห่งไฟภายในห้องลับแห่งกฏทันที แน่นอนว่าด้วยมีประสบการณ์ในห้องลับแห่งกฏเวลาแล้ว ครั้งนี้เขาจึงกระทำได้ราบรื่นกว่าเดิมมาก
‘3 เดือนหลังจากนี้…พยายามยกระดับความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟกับบกฏแห่งดินทุกประการให้เข้าใจถึงความสำเร็จขั้นตอนยิ่งใหญ่ให้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน’
…
ส่วนอีกด้าน
หลังจากที่ฉีคงไห่ออกจากห้องลับแห่งกฏแล้ว มันก็บึ่งตรงไปหาจ้าววิหารเฟิงฮ่าวทันที
ผู้ที่เป็นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักนั้น เป็นชายวัยกลางคนสวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างของมันค่อนข้างสูงใหญ่กำยำ หว่างคิ้วปรากฏปานคล้ายจันทร์เสี้ยวเด่นหรา ด้วยคิ้วคมเข้มปานดาบกับสองตาแหลมคมดุร้ายปานพยัคฆ์นั่น ช่างให้ความรู้สึกน่าเกรงขามไม่ธรรมดานัก
และในห้องโถงหลักของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักตอนนี้ จ้าววิหารก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านบนสุด ท่วงท่าขณะมองผู้คนด้านล่าง ประหนึ่งราชาที่ทอดตามองลงมายังใต้หล้าก็ไม่ปาน
ในบรรดากลุ่มคนที่อยู่ในโถง ก็มีฉีคงไห่ที่พึ่งมาถึงรวมอยู่ด้วย
นอกจากฉีคงไห่แล้ว ยังมีชายชราอีก 3 คน
หนึ่งในนั้นเป็นรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักเช่นกัน ส่วนอีก 2 คนที่เหลือล้วนเป็นชนชั้นอาวุโสระดับสูงของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก พวกมันไม่ว่าใครก็ล้วนบรรลุถึงขอบเขตเทพหมดสิ้น
“ท่านจ้าววิหาร ต้วนหลิงเทียนนั่นมันเข้าไปใช้ห้องลับแห่งกฏเรียบร้อยแล้ว”..
สิ่งแรกที่ฉีคงไห่เอ่ยขึ้น ก็เป็นการแจ้งความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียน “สำหรับฟงชิงหยาง ข้าให้อาวุโสของเราพามันไปเข้าที่พักเรียบร้อย”
“อืม”
จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักพยักหน้ารับรู้ จากนั้นก็หันไปมองชายชราอีก 3 คน “สำหรับต้วนหลิงเทียนคนนี้…มันคุ้มแล้วหรือที่จะเสี่ยงกับฟงชิงหยางผู้นั้น?”
“ฟงชิงหยางที่อยู่ที่นี่ สมควรเป็นเพียงร่างอวตารกฏเท่านั้น”
“เช่นนั้นหากพวกเราคิดจะกักตัวต้วนหลิงเทียนเอาไว้ รวมถึงจัดการร่างอวตารกฏของฟงชิงหยางอาจไม่ใช่เรื่องยากอันใด…แต่การลงมือของพวกเราครั้งนี้ ไม่พ้นเป็นการเลือกจะแตกหักกับฟงชิงหยางโดยตรง และในปัจจุบันพวกเราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างจริงของฟงชิงหยางอยู่ที่ใด แม้มันจะสูญเสียร่างอวตารกฏไปวันนี้ แต่วันหน้าไม่พ้นร่างจริงของมันต้องมาหาความกับพวกเราแน่”
พอจ้าววิหารเฟิงฮ่าวปริปาก ก็กล่าวถามความเห็นออกมาตรงๆ
“ท่านจ้าววิหาร”
ชายชราคนหนึ่งก้าวออกมา และเป็นผู้นำกล่าวให้เหตุผลคนแรก มันเอ่ยออกเสียงหนักว่า “ต้วนหลิงเทียนคนนี้ ทั้งๆที่มีอายุไม่ถึง 700 ปี แต่มันกลับบรรลุมรรคากระบี่มิติรวมถึงวิถีควบคุมถึงขั้นตอนเบื้องต้นแล้ว ที่สำคัญจากการลงมือวันนั้น เผยให้เห็นชัดว่ากระทั่งความสำเร็จในกฏมิติของมันยังร้ายกาจยิ่งนัก! และในปัจจุบันมันสมควรถือครองพลังระดับเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือเรียบร้อยแล้ว…ข้ามั่นใจถึง 9 ใน 10 ส่วน ว่าในตัวมันต้องถือครองความลับอันยิ่งใหญ่ที่ช่วยให้บรรลุถึงจตุรววิถีแห่งสวรรค์และโลกเป็นแน่”
“หากวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราช่วงชิง ‘ความลับ’ ของมันมาได้ ไม่แน่วันหน้าพวกเราอาจเพาะสร้างกลุ่มอัจฉริยะที่มีความสามารถดุจเดียวกับมันขึ้นมาได้!”
“นอกจากนั้นเดิมทีวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราก็พยายามรวบรวมคนที่เข้าถึงจตุรวิถีในสวรรค์และโลกมาโดยตลอด…ต้วนหลิงเทียนนั้นก็นับเป็นอีก 1 เป้าหมายของพวกเราเท่านั้น ถึงแม้พวกเราอาจจะต้องจ่ายราคาหนักหน่อย แต่ข้าเชื่อว่าคุ้มค่าที่พวกเราจะดึงตัวมันเอาไว้”
“ฟงชิงหยางก็แค่คนที่พึ่งบรรลุถึงขอบเขตเทพเท่านั้น…หรือวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราต้องหวาดกลัวมันด้วย?”
“หากมันเหิมเกริมไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำถึงขั้นกล้าเล่นงานวิหารเฟิงฮ่าวของพวกเราจริง…ข้าจักลงมือด้วยตัวเอง! ไม่ว่าร่างจริงมันมุดหัวอยู่ที่ไหนข้าจะตามไปฆ่าเสียให้สิ้น!!”
ชายชราคนนี้เป็นอาวุโสระดับสูงในวิหารเฟิงฮ่าว ถึงแม้พลังฝีมือของมันจะไม่กล้าแข็งเท่าจ้าววิหารเฟิงฮ่าว แต่ก็เป็นเทพขั้นสูงคนหนึ่ง พลังฝีมือของมันสูงกว่า ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวหลายขุม!
“เช่นนั้นข้าจึงแนะนำให้พวกเราทำการกักตัวต้วนหลิงเทียนเอาไว้…”
“หากฟงชิงหยางนั่นมันยอมแพ้และมอบศิษย์คนนี้ให้พวกเราแต่โดยดีก็แล้วไป…แต่ถ้ามันไม่ยอมแพ้และคิดจะสร้างปัญหาอะไรให้พวกเราจริงๆ หรือวิหารเฟิงฮ่าวอันเกรียงไกรของพวกเราจำต้องกลัวเด็กน้อยขนอุยผู้หนึ่งที่พึ่งบรรลุเทพได้ไม่กี่ร้อยปี?”
ชายชราคนนี้มีอายุมากกว่า 60,000 ปีแล้ว เช่นนั้นในสายตาของมัน ฟงชิงหยางที่ยังอยู่มาแค่หมื่นปีเศษ ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กน้อยขนอุยจริงๆ
“มีเหตุผล”
ชายชราอีกคนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งมีลำดับอาวุโสสูงกว่าชายชราที่พึ่งพูดเสียอีกก็พยักหน้า กล่าวคำอย่างเห็นด้วย “ความยิ่งใหญ่เกรียงไกลของวิหารเฟิงฮ่าวเรา ใช่อันใดที่เทพตัวกระจ้อยสามารถงัดข้อได้หรือ?”
“ฟงชิงหยางนั่นอย่างดีก็แค่เทพขั้นต่ำเท่านั้น ต่อให้มันคุ้มคลั่งคิดล้างแค้นพวกเราเพียงใด ขอเพียงพวกเราเตรียมการรับมือสักเล็กน้อย ก็สามารถส่งเทพขั้นกลางออกไปจัดการมัน ก่อนที่มันจะทันได้สร้างความสูญเสียอันใดให้พวกเราเสียอีก…”
“และถ้าสุดท้ายมันหาญกล้าสร้างปัญหาขึ้นมาจริงๆ ข้าอีกคนที่ยินดีออกหน้าฆ่ามันด้วยตัวเอง!”
กล่าวถึงท้ายประโยค สีหน้าชายชราคนนี้ก็ฉายชัดถึงความดุร้ายเอาเรื่องนัก!
“พวกท่านเล่า คิดเห็นเช่นไร?”
หลังฟังความเห็นของชายชราทั้ง 2 ที่เป็นอาวุโสระดับสูงแล้ว สายตาของจ้าววิหารเฟิงฮ่าวก็ย้อนกลับมาตกยังร่างฉีคงไห่อีกครั้ง ก่อนจะมองไปยังชายชราคนสุดท้ายที่เป็นรองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวดุจเดียวกับฉีคงไห่
“รองจ้าววิหารฉี เชิญท่านออกความเห็นก่อนเถอะ…”
ชายชราเพียงหันไปมองฉีคงไห่พลางกล่าวเสียงเรียบ “อย่างไรเสียท่านก็พบเจอฟงชิงหยางนั่นมากกว่าข้า สุดท้ายข้ายังไม่เคยเจอมันด้วยซ้ำ”
ฉีคงไห่พยักหน้ารับเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองจ้าววิหารเฟิงฮ่าว เอ่ยออกด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า “ท่านจ้าววิหาร ข้าเข้าใจสิ่งที่อาวุโสทั้ง 2 กล่าวดี…แต่กับฟงชิงหยางนั่น ข้ารู้สึกว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ข้าเกรงว่ามันมิได้ง่ายดายเช่นเทพขั้นต่ำ”
“ถึงแม้ที่มาจะเป็นเพียงร่างอวตารกฏแห่งดินของมัน แต่ข้ากลับบังเกิดสังหรณ์อย่างแรงกล้า…ว่าถ้าข้าต้องประมือกับร่างอวตารกฏแห่งดินของมันจริงๆ ข้าไม่น่าจะเอาชนะมันได้”
ฉีคงไห่เผยความกังวลใจออกมา
จ้าววิหารเฟิงฮ่าวไม่ทันได้พูดอะไร ก็เป็น 1 อาวุโสชราทั้ง 2 ก่อนหน้าเอ่ยขึ้นก่อน “รองจ้าววิหารฉี ครั้งนี้ข้าว่าสังหรณ์ของท่านผิดพลาดแล้ว”
“อาศัยเด็กน้อยขนอุยที่พึ่งบรรลุถึงขอบเขตเทพไม่กี่ร้อยปี เจ้าคิดว่ามันจะมีปัญญาทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นกลาง หรือแม้กระทั่งขอบเขตเทพขั้นสูงได้ในเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีเช่นนั้นหรือ?”
“เรื่องน่าขันอะไร!”