WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3539 ข้อตกลงระหว่างพระอาจารย์หมี่เยี่ยนกับวิหารเฟิงฮ่าว
- Home
- WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์
- ตอนที่ 3539 ข้อตกลงระหว่างพระอาจารย์หมี่เยี่ยนกับวิหารเฟิงฮ่าว
“ยูไล?”
ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักเองก็แปลกใจไม่น้อยที่เห็นการปรากฏตัวของยูไล
แถมอีกฝ่ายยังแลดูหยิ่งผยองลำพองชอบกล!
ไม่เห็นบ้างหรือ ว่ากระทั่งพวกมันยังกริ่งเกรงฟงชิงหยาง?
ผู้ใดจะไปคิดไปฝัน ว่าฟงชิงหยางบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว!
หากพวกมันล่วงรู้แต่แรก วันนี้คงไม่มีทางก่อการอุกอาจคิดบีบให้ฟงชิงหยางทิ้งต้วนหลิงเทียนไว้ที่นี่หรอก…เพราะพลังของราชาเทพย่อมมากพอทำให้พวกมันวิหารเฟิงฮ่าวเลือกจะประนีประนอมแล้ว!
อย่างน้อยๆตอนนี้พวกมันก็พยายามรอมชอมกับอีกฝ่าย!
ถึงแม้ว่าวิหารเฟิงฮ่าวของพวกมัน สามารถขอกำลังสนับสนุนจากยอดฝีมือที่ทรงพลังเหนือกว่าฟงชิงหยางได้ แต่ยอดฝีมือเหล่านั้นก็อยู่ในระนาบเทพ ก่อนที่ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกจะเปิดออก พวกมันจะไปขอกำลังเสริมเช่นนั้นจากที่ไหน…
ในปัจจุบันขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของวิหารเฟิงฮ่าวพวกมันก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นจ้าววิหารเฟิงฮ่าว หวู่หงชิง…
บางทีจ้าววิหารเฟิงฮ่าวของพวกมันอาจไม่กลัวที่ปะทะแตกหักกับฟงชิงหยาง
แต่คนอื่นๆของวิหารเฟิงฮ่าวเล่า จะให้ทำอย่างไร?
หากฟงชิงหยางคิดลงมือดั่งปลาตายตาข่ายขาดขึ้นมา อาศัยพลังระดับราชาเทพของอีกฝ่าย เกรงว่าคงเข่นฆ่าล้างบางคนอื่นๆของวิหารเฟิงฮ่าวจนหมดสิ้น สุดท้ายหากไม่นับคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่ปลีกวิเวกไปอยู่ด้านนอกอย่างสันโดษ ก็คงเหลือรอดเพียงแค่จ้าววิหารเฟิงฮ่าวเพียงคนเดียวเท่านั้น…
เพราะสาเหตุนี้ ถึงแม้จ้าววิหารเฟิงฮ่าวอย่างหวู่หงชิงจะโกรธฟงชิงหยางแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ไม่คิดจะลงมือทำอะไรฟงชิงหยาง
เพราะมันไม่มีความหมายอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น หากเลือกลงมือ ก็รังแต่จะทำให้ความขัดแย้งบานปลายเท่านั้น
หากฟงชิงหยางเป็นแค่เทพขั้นกลางก็คงไม่เป็นอะไร เพราะสุดท้ายวิหารเฟิงฮ่าวก็ไม่ขาดเทพขั้นกลาง แถมยังมีไม่ต่ำกว่า 20 คน จึงไม่ต้องว่าฟงชิงหยางจะเป็นภัยคุกคามอะไรมาก
กระทั่งเทพขั้นสูงเอง พวกมันก็มีไม่ต่ำกว่า 5 คน…
เรียกว่าต่อให้วันนี้ฟงชิงหยางจะเปิดเผยพลังระดับเทพขั้นสูงออกมา แม้พวกมันจะกริ่งเกรงอยู่ 3 ส่วน แต่ก็คงเลือกจะลงมือเพื่อรั้งตัวต้วนหลิงเทียนให้อยู่ที่นี่ให้จงได้…
ทว่าฟงชิงหยางกลับลงมือเข่นฆ่าอาวุโสสูงที่มีพลังฝึกปรือระดับเทพขั้นสูงในชั่วพริบตา เปิดเผยพลังฝีมือระดับราชาเทพออกมาให้เป็นที่ประจักษ์!
เช่นนั้นพวกมันก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรสืบไป…
เพราะพวกมันไม่มีทางเลือกแล้ว…
“จ้าววิหารยูไล?”
หวู่หงชิง จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักหันไปมองยูไลด้วยสายตาไม่แยแส พลางกล่าว “รองจ้าววิหารฉีบอกข้าแล้วว่าเจ้าคิดมาช่วยหาวิธีจัดการต้วนหลิงเทียน…แต่ตอนนี้ไม่ว่าเจ้าคิดทำสิ่งใด ทุกอย่างล้วนไร้ความหมาย”
“เจ้ากลับไปยังวิหารเฟิงฮ่าวสาขาซวนหยวนเทียนของเจ้าเถอะ”
ตั้งแต่ที่เห็นยูไลปรากฏตัว ฉีคงไห่ก็เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปกล่าวบอกเรื่องราวที่มันหารือกับยูไลก่อนหน้าทันที ทำให้หวู่หงชิงก็ทราบวัตถุประสงค์การมาของยูไลเรียบร้อย
บัดนี้พอเห็นว่ายูไลมาในตอนที่ทุกอย่างมันจบแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดอยู่บ้าง
เพราะในสายตามัน อย่าว่าแต่ยูไลเลย ต่อให้จะยกขโยงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อยอื่นๆมาด้วย ก็ไร้ประโยชน์
ฟงชิงหยางนั้นบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว ถึงแม้ตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะสู้มันไม่ได้เพราะเป็นแค่ร่างอวตารกฏดิน แต่ทว่าร่างจริงของฟงชิงหยางเล่า ยังมีร่างอวตารกฏทำลายล้างของฟงชิงหยางอีก?
นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ!
“จ้าววิหารหวู่ ข้าเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว…”
ได้ยินคำพูดทำนองผลักไสของหวู่หงชิง ยูไลก็เอ่ยออกเสียงเรียบ “ข้าเองก็คิดไม่ถึงจริงๆว่าฟงชิงหยางจะบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพแล้วเช่นนี้…”
“ถึงแม้จักเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำ แต่ก็น่าตกใจจริงๆ”
พอคำพูดของยูไลดังล่วงล้ำออกมาจากลำคอ หวู่หงชิงก็จำต้องอึ้งไปอยู่บ้าง ด้วยไม่คิดเลยว่าที่แท้ยูไลมาถึงแต่แรก แถมยังได้เห็นการลงมือของฟงชิงหยางแล้วด้วย
แต่ในเมื่อเห็นแล้ว ไฉนยูไลผู้นี้ถึงได้กล้าออกมาอีกเล่า?
“จ้าววิหาร ต่อไปเพียงไปชมดูเรื่องราวดีๆข้างสนามเถอะ…”
ยูไลเอ่ยออกด้วยน้ำเสียงสงบ “หลังจากข้ายึดร่างต้วนหลิงเทียนได้แล้ว ขอเพียงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวเต็มใจแต่งตั้งให้ข้าเป็นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวคนต่อไป ข้าก็ยินดีจะแบ่งปันวิธีฝึกฝนและความรู้ของ 2 ใน 4 วิถีแห่งสวรรค์และโลกที่ต้วนหลิงเทียนมี อย่างไม่ตระหนี่…”
ยึดร่าง!?
ทันทีที่วาจาดังกล่าวดังออกจากปากยูไล เหล่าคนของวิหารเฟิงฮ่าวที่อยู่ที่นี่ไม่เว้นหวู่หงชิงก็อดตะลึงไม่ได้
ต่อให้จะเป็นการยึดร่างอย่างสมบูรณ์โดยใช้วิธีหลอมกลืนจิตวิญญาณ แต่ก็ไม่อาจเข้าถึงความเข้าใจในจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกของผู้อื่นไม่ใช่หรือ? กระทั่งความเข้าใจในกฏยังไม่อาจได้รับด้วยซ้ำ…
เพราะการยึดร่าง ก็ไม่ใช่แค่การแย่งชิงร่างกายกับความทรงจำหรือไร? มันไปเกี่ยวอะไรกับความเข้าใจตอนไหน?
“ข้าต้องเรียกเจ้าว่ายูไล หรือคนของเผ่าภูตดีเล่า?”
ในขณะที่หวู่หงชิง กับฉีคงไห่และคนอื่นๆของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักกำลังงุนงง ต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องยูไลพลางเอ่ยถามออกมาเสียงหนัก
“เผ่าภูต!?”
พอได้ยินสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนพูด คนของวิหารเฟิงฮ่าวก็พากันมองยูไลด้วยสายตาหวั่นกลัว สีหน้ายังกลายเป็นจริงจังขึ้นมาทันที
เพราะในฐานะระดับสูงของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก และดำรงอยู่มาเนิ่นนาน พวกมันย่อมล่วงรู้ดีว่า ‘เผ่าภูต’ หมายความว่าอะไร!
“อ้อ ดูเหมือนเจ้าจะรู้แล้วสินะ?”
ยูไลหรือที่แท้ก็คือพระอาจารย์หมี่เยี่ยนอึ้งไปวูบหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “อย่างไรก็ตามข้าชอบให้ผู้อื่นเรียกข้าว่า พระอาจารย์หมี่เยี่ยนมากกว่า”
“สำหรับเผ่าภูต…หลังจากที่ข้าชิงร่างเจ้าแล้ว เผ่าภูตก็จักไม่ต้อนรับข้าอีกต่อไป…และตัวข้าก็จะไม่ถือว่าเป็นคนของเผ่าภูตเช่นกัน”
“เพราะข้าจะกลายเป็นเจ้า! ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของเจ้า ไม่ว่าจะพลังฝึกปรือ ความทรงจำ หรือแม้แต่ความเข้าใจทั้งหมดที่เจ้ามี!!”
กล่าวถึงจุดนี้พระอาจารย์หมี่เยี่ยนก็หันไปมองหวู่หงชิงอีกครั้ง “จ้าววิหารหวู่ ท่านสมควรรู้จักเผ่าภูตเราดีกระมัง และท่านก็สมควรรู้ด้วยว่าเผ่าภูตจะไม่มีทางยอมรับผู้ที่ลงมือช่วงชิงร่างผู้อื่นไปแล้วเด็ดขาด…”
“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านก็สมควรรู้ความสามารถของเผ่าภูตเราดี…ว่าพวกเราเผ่าภูตนั้น ตลอดชั่วชีวิตสามารถใช้ความสามารถ ‘ช่วงชิง’ เพื่อแย่งชิงร่างกายผู้อื่นได้โดยสมบูรณ์ครั้งหนึ่ง!”
“และข้าตั้งใจจะใช้โอกาสเพียงหนึ่งเดียวของข้าเพื่อช่วงชิงร่างต้วนหลิงเทียน!”
“สำหรับร่างยูไลที่ข้าใช้อยู่ยามนี้ ข้าเพียงครอบงำมันเฉยๆ ไม่ได้ใช้ความสามารถช่วงชิง หรือทำลายดวงจิตของมันเพื่อยึดร่าง จวบจนหลอมกลืนจิตวิญญาณของมันอันใดทั้งสิ้น…ข้าแค่สะกดจิตวิญญาณของมัน และควบคุมร่างของมันเป็นการชั่วคราวเท่านั้น”
“และเรื่องที่ข้าพูดออกมาทั้งหมด ล้วนเป็นความสัตย์จริง!”
“เพราะข้าต้องการพึ่งพาวิหารเฟิงฮ่าว ข้าหวังเพียงว่าหลังจากเผ่าภูตรู้เรื่องข้าแล้ว พวกท่านจะช่วยปกป้องคุ้มครองข้าด้วย…”
“สำหรับเรื่องที่ข้าจะได้เป็นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวรุ่นต่อไปหรือไม่ ข้าถือว่าเป็นเรื่องรองลงมา…”
“และตราบใดที่จ้าววิหารตกลง วันนี้หลังจากที่ข้าช่วงชิงยึดร่างต้วนหลิงเทียนแล้วเสร็จ ข้าจะแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกทั้งหมดที่ต้วนหลิงเทียนมีเกี่ยวกับจตุรวิถีแห่งสวรรค์และโลกที่มันมีกับวิหารเฟิงฮ่าว โดยไม่ขออะไรอื่นอีก…”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนกล่าวย้ำเรื่องนี้อีกครั้ง
และทันทีที่มันกล่าวเรื่องนี้ออกมา ใจของหวู่หงชิงก็เริ่มหวั่นไหวทันที
เพราะมันรู้ดีว่าเผ่าภูตนั้น เป็นเผ่าพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในลักษณะร่างพลังงานหรือวิญญาณ และเป็นเผ่าพันธุ์ระดับกลางๆเผ่าพันธุ์หนึ่งในโลกแห่งความตายอันเป็น 1 ใน 7 สถานที่ต้องห้ามของระนาบเทวโลก
ขณะเดียวกันวิหารเฟิงฮ่าวก็รู้ดีว่าเผ่าพันธุ์ภูตนั้นเป็นอย่างไร และรู้ว่าสมาชิกของเผ่าพันธุ์ภูตนั้น ในชีวิตแต่ละคนสามารถใช้ความสามารถในการช่วงชิงร่างผู้อื่นโดยสมบูรณ์ได้ครั้งหนึ่ง! อย่างไรก็ตามเผ่าภูตมีข้อห้ามอันสูงสุด นั่นก็คือห้ามไม่ให้ใครในเผ่าไปแย่งร่างผู้อื่นเด็ดขาด!!
เพราะในอดีตก็เคยเกิดเรื่องร้ายแรงที่แทบจะกลายเป็นหายนะของทั้งเผ่าพันธุ์ภูต อย่างมีคนของเผ่าภูตไปช่วงชิงร่างคนอื่นและย้อนกลับมากลืนกินพวกเดียวกันมาแล้ว! เรื่องราวทั้งหมดล้วนอยู่ในบันทึกโบราณของวิหารเฟิงฮ่าว…
“ข้าตกลง”
ด้วยเพราะรู้จักเผ่าภูตและความสามารถ ‘ช่วงชิง’ ของเผ่าภูตดี หวู่หงชิงจึงรีบรับปากพระอาจารย์หมี่เยี่ยนทันที และเชื่อมั่นว่าวิหารเฟิงฮ่าวของพวกมันสามารถปกป้องพระอาจารย์หมี่เยี่ยนได้แน่นอน หลังจากที่อีกฝ่ายช่วงชิงร่างต้วนหลิงเทียนได้แล้ว!
แน่นอนว่าหวู่หงชิงตอบรับข้อตกลงของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนด้วยการส่งเสียงผ่านพลัง เพราะกลัวว่าถ้าพูดออกมาตรงๆจะเป็นการยั่วโทสะของฟงชิงหยาง “อย่างไรก็ตาม ฟงชิงหยางเป็นดั่งก้างขวางคอชิ้นสำคัญ…มีมันอยู่เช่นนี้ ข้าเกรงว่าเรื่องที่ท่านคิดช่วงชิงร่างต้วนหลิงเทียนคงไม่ใช่เรื่องราวอันง่ายดาย”
“ที่สำคัญข้าเองก็ไม่อาจช่วยเหลือท่านในเรื่องนี้ได้ เพราะหากข้าช่วยท่าน ต่อให้ท่านประสบความสำเร็จในการช่วงชิงร่างต้วนหลิงเทียนจริง แต่ฟงชิงหยางก็ไม่มีทางปล่อยพวกเราไปแน่…”
หวู่หงชิงเผยความกังวลออกมา
“จ้าววิหารหวู่ เรื่องนี้ขอท่านอย่าได้กังวลไป…”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนส่งเสียงผ่านพลังกลับไปด้วยความมั่นใจเต็มพิกัด “สำหรับฟงชิงหยางนั่น อีกไม่นาน ใต้หล้าก็จักไม่มีคนชื่อนี้อีกต่อไป…”
“ก็แค่ราชาเทพขั้นต่ำผู้หนึ่งเท่านั้น…”
และแทบจะพร้อมๆกันกับที่เสียงผ่านพลังของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนดังจบคำ มันก็ก้มหัวลงพลางเอ่ยออกเสียงเบา ทำราวกับพูดกับตัวเอง “พี่ใหญ่ ฟงชิงหยางผู้นี้ ข้ามอบให้ท่านจัดการ…”.
“หลังจากท่านทำลายร่างอวตารกฏของมัน ท่านน่าจะเสาะหาร่างจริงรวมถึงร่างอวตารกฏอื่นๆของมันได้ในเวลาอันสั้น…โปรดช่วยข้ากำจัดมันให้หายไปจากโลกนี้โดยสมบูรณ์ด้วยเถอะ”
กล่าวถึงจุดนี้ สองตาของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนก็ฉายแววเยียบเย็นออกมาอย่างน่ากลัว
“พี่ใหญ่?”
ถึงแม้พระอาจารย์หมี่เยี่ยนจะเอ่ยยออกมาเสียงเบา แต่ด้วยโสตประสาทรับฟังของทุกคนในที่นี้ยังจะมีใครไม่ได้ยินบ้าง?
และสีหน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนก็เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที!
เขายังจำได้…
ในวันนั้นที่ผาบรรพกาล ขณะที่อาจารย์ของเขากำลังจะสังหารพระอาจารย์หมี่เยี่ยนในคราบยูไลเบื้องหน้า อีกฝ่ายก็ได้ยกอ้างพี่ชายออกมาขู่ข่ม และบอกว่าพี่ชายของมันเป็นตัวตนระดับราชาเทพแล้ว!
หรือพี่ชายที่มันกล่าวถึงจะอยู่ที่นี่ด้วย!?
ที่สำคัญในเมื่ออีกฝ่ายสมควรรู้แล้วว่าอาจารย์เขาเป็นถึงราชาเทพ แต่ยังกล้ากล่าววาจาออกมาด้วยความมั่นใจเสียเต็มประดาแบบนี้…เห็นได้ชัดว่าพี่ชายที่หมี่เยี่ยนกล่าวถึงไม่น่าจะใช่แค่ราชาเทพขั้นต่ำ!
และในขณะที่คำพูดของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นี้ ก็ปรากฏร่างวิญญาณหนึ่งแยกตัวออกมาจากร่างของพระอาจารย์หมี่เยี่ยน!
ร่างวิญญาณดังกล่าวมีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ พอปรากฏตัวออกมาความว่างเปล่ารอบกายมันก็สะท้านสะเทือนทันที กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวขุมหนึ่งยังเพ่งเล็งไปยังฟงชงหยางเร็วไว!
“น้องเยี่ยน นี่จักเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าช่วยเจ้า…วันหน้า เจ้าต้องพึ่งตัวเองแล้ว”
ร่างวิญญาณดังกล่าวก็คือผู้นำเผ่าพันธุ์ภูตคนปัจจุบัน หมี่ซวน ที่พระอาจารย์หมี่เยี่ยนได้ชักชวนออกมาจากโลกแห่งความตายให้มาช่วยเหลือมัน!
ยังเป็นเผ่าพันธุ์ภูตที่มีพลังฝึกปรืออยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง!!
“พี่ใหญ่ วันหน้าข้าเองก็คงไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลือจากท่านหรอก…”
พระอาจารย์หมี่เยี่ยนคลี่ยิ้มตอบคำอย่างขื่นขม แต่ทว่าสองตาของมันกลับฉายชัดถึงความตื่นเต้น ยังเป็นความตื่นเต้นสุดใจ! เพราะสุดท้ายมันก็กำลังจะได้รับร่างกายอันประเสริฐ!!
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นร่างกายที่มันรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับมัน!
วู้มม!
ซัวว!!
…
พอเสียงของพระอาจารย์หมี่เยี่ยนดังจบคำ หมี่ซวนก็ลงมือทันที พลังวิญญาณอันทรงพลังน่าหวั่นหวาดขุมหนึ่งกำจายออกจากร่างหมี่ซวนฉับไว!
เพราะเผ่าพันธุ์ภูตมีร่างเป็นวิญญาณ เช่นนั้นจึงเชี่ยวชาญการจู่โจมด้วยพลังวิญญาณเป็นที่สุด และไม่ใช่อะไรที่การป้องกันทางกายภาพจะสามารถต้านทานได้!
“นี่มัน…”
และเมื่อหมี่ซวนลงมือเคลื่อนไหว หวู่หงชิง จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็เผยท่าทีประหลาดใจไม่น้อย “ราชาเทพขั้นกลาง!”
ถึงแม้มันจะพอคาดเดาได้บ้างแล้ว ว่าผู้ช่วยที่พระอาจารย์หมี่เยี่ยนพามาสมควรมีพลังมากพอจะจัดการฟงชิงหยางได้ และอย่างน้อยๆก็สมควรเป็นราชาเทพขั้นกลาง!
อย่างไรก็ตามพอมันเห็นการลงมือหมี่ซวนมีพลังระดับราชาเทพขั้นกลางจริงๆ ในใจของมันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง!
‘เผ่าพันธุ์ภูตเก่งกาจเรื่องใช้ทักษะวิญญาณรวมถึงการตามรอยวิญญาณเป็นที่สุด! ถึงจะเป็นร่างอวตารกฏของเทพ แต่ถ้าถูกเผ่าพันธุ์ภูตเพ่งเล็งวิญญาณ มันก็สามารถติดตามร่องรอยวิญญาณไปจนค้นพบร่างจริง กระทั่งยังรวมถึงร่างอวตารกฏอื่นๆได้ในเวลาอันสั้น!’
พอคิดถึงจุดนี้สองตาหวู่หงชิงก็เป็นประกายจ้าปานจะพุ่งยิงลำแสงความร้อนออกมาได้ ‘ด้วยเผ่าพันธุ์ภูตที่เป็นถึงราชาเทพขั้นกลางคนนี้ มันย่อมสามารถตามไปฆ่าร่างจริงรวมถึงร่างอวตารกฏทั้งหมดของฟงชิงหยางได้ไม่ยาก ยุติปัญหาในภายภาคหน้าได้ทั้งหมด!!’