WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3565 พันธมิตรเมฆยามสารท พันธมิตรขุนเขา
“หายนะเช่นนั้นหรือ?”
ได้ยินคำถามของหลัวเฟิง หลัวอี้หมิงก็คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “นั่นก็ไม่แน่เสมอไป…”
“หืม?”
คำพูดของหลัวอี้หมิงยิ่งทำให้หลัวเฟิงงุนงงสับสนแล้ว “ท่านพี่ ท่านกล่าวให้ชัดเจนหน่อยได้หรือไม่? ในน้ำเต้าท่านขายยาอันใดรีบบอกมาเถอะ!”
ท้ายประโยคขณะกล่าว น้ำเสียงของหัววเฟิงยังเผยความร้อนใจไม่น้อย
“ฮ่าๆๆๆ…!”
เห็นท่าทางของหลัวเฟิง หลัวอี้หมิงก็หัวเราะชอบใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มลี้ลับว่า “น้องเฟิง รอให้สองกองกำลังนั่นมันรวมหัวกันบุกมาจริงๆ เดี๋ยวเจ้าก็รู้เองว่าที่ข้าพูดมันหมายความว่าอะไร”
เรียกว่าน้ำเสียงของหลัวอี้หมิงนอกจากจงใจพูดให้ลึกลับแล้ว ก็มีแต่ความสงบเรียบเฉย
ราวกับในสายตาของมัน การรวมหัวกันบุกมาของอีก 2 กองกำลัง ไม่อาจนับเป็นอะไรได้
และความมั่นใจของมัน ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีที่มา
เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน ผู้คุมกฏอาวุโสที่พึ่งเข้าร่วมพันธมิตรอุดรลี้ลับนั้น มีธุระบางอย่างจึงมาหามัน จากนั้นหลังจัดการเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการแล้ว มันก็เลยเอ่ยปากขอประลองชี้แนะ ต่อมาพอได้ประมือกัน มันก็ประสบชะตากรรมที่ไม่ต่างอะไรจากหลัวเฟิงที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเลย จึงรู้ตัวดีว่าต่อหน้าอีกฝ่ายนั้น หากคิดสู้ก็มีแต่แพ้พ่ายอนาถ!
แพ้ยับ! รับมือได้ไม่กี่อึดใจ!!
พลังฝีมือของอีกฝ่ายทำให้มันเข้าใจแจ่มแจ้ง!
ผู้อื่นเป็นเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือ!
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือที่ร้ายกาจถึงขั้นหาตัวจับยาก!
ส่วนตัวมันรวมถึงหลัวเฟิง 2 เทพสงคราม 8 ดาราของพันธมิตรอุดรลี้ลับ ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่เทพสงคราม 8 ดาราชนชั้นยอดฝีมือสักคน…และอีก 2 กองกำลังในเขต 2 ภาคเหนือ ก็ไม่มีตัวตนระดับยอดฝีมือเทพสงคราม 8 ดาราเช่นกัน
ในบรรดา 2 กองกำลังที่เหลือนั้น ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละกองกำลัง คนหนึ่งก็เป็นแค่เทพสงคราม 8 ดาราทั่วไป ที่มีพลังฝีมือไล่เลี่ยกับมัน ส่วนอีกคนแม้จะแข็งแกร่งกว่ามันแต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น คิดจะเอาชนะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
…
ในเขต 2 ของภาคเหนือ มีกองกำลังพันธมิตรที่คานอำนาจกันอยู่ 3 กองกำลัง
ได้แก่
พันธมิตรอุดรลี้ลับ พันธมิตรเมฆยามสารท และพันธมิตรขุนเขา
การปรากฏตัวขึ้นของผู้คุมกฏอาวุโสในพันธมิตรอุดรลี้ลับ แถมพลังฝีมือยังร้ายกาจกว่ารองผู้นำอย่างหลัวเฟิง กระทั่งไม่น่าจะด้อยไปกว่าหลัวอี้หมิง…ข่าวเรื่องราวดังกล่าวแน่นอนว่าพันธมิตรเมฆยามสารทกับพันธมิตรขุนเขาเองก็รับทราบ
หลังงได้รับทราบข่าวนี้ แม้ผิวเผินชนชั้นผู้นำจะยังคงสงบ แต่ลึกลงไปในใจกลับปั่นป่วนดั่งสายธารเชี่ยว
สุดท้ายแล้วหลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง พวกมันก็ยืนยันข้อเท็จจริงของเรื่องราวได้แน่ชัด ในที่สุดชนชั้นผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท ก็ได้มาขอพบผู้นำพันธมิตรขุนเขาถึงถิ่น เพื่อหารือเรื่องความร่วมมือ
ภายในกระโจมหลักกลางค่ายที่พักของพันธมิตรขุนเขา บัดนี้ไร้ผู้ใดนั่งบนเก้าอี้ตรงกลาง เพียงนั่งลงบนเก้าอี้ที่เรียงตัวเป็นแถวซ้ายขวา หันหน้าเข้าหากัน
“ผู้นำหยวน…”
ผู้ที่กำลังเอ่ยปากขึ้นมา เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำปานนักเพาะกาย สวมใส่ไว้ด้วยชุดคลุมสีเทาหลวมๆ คิ้วมันคมเข้ม หว่างคิ้วให้ความรู้สึกดุร้ายปานพยัคฆ์ ด้วยดวงตากลมโตปานฆ้อง จึงเสมือนมันถลึงตามองผู้คนตลอดเวลา ช่างให้ความรู้สึกกดดันแก่ผู้อื่นนัก
“ข้าคิดว่าท่านควรละวางเรื่องราวบาดหมางระหว่างพวกเราลงก่อน ละทิ้งความคิดไม่ซื่อใดๆที่มีต่อข้ากับท่านผู้นำรวมถึงพันธมิตรเมฆยามสารทของพวกเรา และหันมาร่วมมือกับพันธมิตรเมฆยามสารทของพวกเราเป็นการชั่วคราว…หรือท่านอยากรอจนพันธมิตรอุดรลี้ลับบุกมาฮุบกลืนทำลายพันธมิตรขุนเขาของท่าน แล้วค่อยมาสำนึกเสียใจภายหลัง?”
ชายวัยกลางคนร่างใหญ่แลดูดุดันปานคนเถื่อนที่กำลังพูดอยู่ก็คือ รองผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท เถี่ยหมิง!
เถี่ยหมิงคนนี้ก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราคนหนึ่ง พลังฝีมือของมันก็พอๆกับหลัวเฟิง รองผู้นำของพันธมิตรอุดรลี้ลับ และล่าสุดที่ประมือกันก็ราวๆ 2 ปีก่อนเท่านั้น
และในปัจจุบัน เถี่ยหมิงก็กำลังพูดกับชายชราคนหนึ่ง
ชายชราที่ว่ามาในชุดคลุมยาวสีเขียวขี้ม้า เส้นผมเป็นสีดอกเลา หางคิ้วขาวของมันยังตั้งขึ้นปานอินทรีย์ แม้อยู่ในอารมณ์สงบเฉยเมยไร้โทสะ แต่กลับให้ความรู้สึกน่าเกรงขามพิกล ใบหน้าของมันเกลี้ยงเกลาไร้ซึ่งริ้วรอยของผู้ชราแต่อย่างใด กลับอ่อนวัยราวชายหนุ่มที่ย่างเข้าสู่ชายวัยกลางคน ท่วงท่าไม่แยแสโลกหล้าวางตัวราวเทพเซียน
มันก็คือผู้นำของพันธมิตรขุนเขา หยวนฝู
เนื่องเพราะครั้งนี้ผู้ที่มาเป็นถึงชนชั้นผู้นำของพันธมิตรเมฆยามสารท แม้หยวนฝูจะเป็นผู้นำพันธมิตรขุนเขา มันก็ไม่นั่งบนเก้าอี้ตรงกลางที่มีตำแหน่งสูงสุด เพียงนั่งลงเสมอกับเถี่ยหมิงเพื่อสนทนากันอย่างเท่าเทียม
“รองผู้นำเถี่ย ท่านยืนยันได้แน่ชัดแล้วหรือ…ว่าพันธมิตรอุดรลี้ลับนั่นคิดจะบุกมาจู่โจมพวกเราจริงๆ?”
ข้างกายหยวนฝูมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ รูปร่างของมันไม่สูงไม่เตี้ยไม่อ้วนไม่ผอม หน้าตาแลดูดาษๆไร้จุดเด่น เรียกว่าหากโยนไปปะปนกับฝูงชนเพียงคลาดสายตาเล็กน้อยก็คงยากจะมองหาได้พบ มันมองถามรองผู้นำพันธมิตรเมฆยามสารทเถี่ยหมิงจบ ก็คลี่ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมาเบาๆราวกับเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหล
มันคือรองผู้นำพันธมิตรขุนเขา ฉีคุน
“รองผู้นำฉี”
พอเถี่ยหมิงหันไปมองฉีคุน สองตามันก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง กล่าวว่า “หรือพวกท่านพันธมิตรขุนเขาคิดจะเดิมพันด้วยทุกสิ่ง? หากใช่ เช่นนั้นข้ากับท่านผู้นำก็คงต้องตัวลาไปก่อน ไม่คิดอยู่รบกวนพวกท่านพันธมิตรขุนเขาแล้ว…”
“ข้าขอพูดตรงๆ ที่ข้ากับท่านผู้นำถ่อมาเยือนพันธมิตรขุนเขาท่านถึงที่ ก็เพื่อมาหารือเรื่องร่วมมือกันโดยเฉพาะ!”
“และข้าไม่เชื่อ ว่าพวกท่านจะไม่เคยคิดเรื่องร่วมมือกับพวกเรา!”
“การที่พวกเราเป็นฝ่ายมาเยือนพันธมิตรขุนเขาท่านและออกปากขอความร่วมมือกับพวกท่านก่อน ก็ถือว่าพวกเราหาทางลงให้กับพวกท่านแล้ว…แต่หากพวกท่านไม่คิดยอมลง พวกเราก็ไม่คิดบังคับ! เต็มที่ก็แยกย้ายกันไปตัวใครตัวมัน!!”
พอกล่าวจบคำ มือที่ใหญ่ปานใบลานของเถี่ยหมิงก็ตบโต๊ะดัง ‘ปั้ง’ จากนั้นร่างใหญ่โตราวหมีควายของมันก็ลุกขึ้นยืนดังพรวด ทำท่าราวกับจะจากไปจริงๆ!
“ช้าก่อนรองผู้นำเถี่ย ขอท่านอย่าได้ใจร้อน”
ฉีคุนก็เร่งลุกขึ้นยืนและกล่าวรั้งเถี่ยหมิงเอาไว้ เพราะเรื่องราวก็เป็นอย่างที่เถี่ยหมิงพูดจริงๆ พันธมิตรขุนเขาของพวกมันก็อยากร่วมมือกับพันธมิตรเมฆยามสารทเช่นกัน เพียงแค่มันถือดีว่าตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่าย จึงไม่อาจบากหน้าลดตัวไปขอความร่วมมือก่อน จะอย่างไรเสียก็เคยเป็นศัตรูกันมา มีเรื่องเขม่นบาดหมางกันก็ไม่น้อย
แต่ถ้าวันนี้เกิดพันธมิตรเมฆยามสารทจากไปดื้อๆจริงๆ เกรงว่าวันหน้าพันธมิตรขุนเขาของพวกมันก็ต้องแบกรับความเสี่ยงอันใหญ่หลวงแล้ว!
เหตุผลที่พวกมันทำเป็นยึกยักไม่รีบตกลงร่วมมือ ก็แค่วางท่าไปอย่างนั้นเอง…
พอเห็นว่าเถี่ยหมิงแข็งมา พวกมันก็ไม่กล้าแข็งกลับจำต้องโอนอ่อนแทน…
“ผู้นำหยวน คำตอบของท่านเล่า?”
ผู้ที่นั่งถัดจากเถี่ยหมิง ชายวัยกลางคนที่นั่งหลับตานิ่งเงียบมาโดยตลอด ในที่สุดมันก็ลืมตาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆของมันขึ้นมา และหันไปมองถามหยวนฝู ผู้นำพันธมิตรขุนเขาเสียงเรียบ
ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวคล้ายบัณฑิตคงแก่เรียน รูปร่างหน้าตาไม่คล้ายมีพิษมีภัยต่อคนและสัตว์ และมันก็คือผู้นำพันธมิตรเมฆยามสารท ซีเหมินเจียงเฉิน
“มัวมาเสียเวลาวางท่าไร้แก่นสารเช่นนี้ ท่านไม่เบื่อบ้างหรือ?”
ซีเหมินเจียงเฉินเอ่ยถามค่อนแคะออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส
“ผู้นำซีเหมินล้อเล่นแล้ว…”
หยวนฝู ผู้นำพันธมิตรขุนเขาที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ใบหน้าไร้ซึ่งความยินดียินร้ายๆใดมาโดยตลอด พลันปรากฏรอยยิ้มบางๆคลี่กางขึ้น กล่าวว่า “สำหรับเรื่องความร่วมมือที่รองผู้นำเถี่ยกล่าว พันธมิตรขุนเขาของพวกเรามิมีใดขัดข้อง”
พอหยวนฝูกล่าวจบคำ เถี่ยหมิงก็นั่งลง “พูดออกมาแต่แรกก็จบ จักลีลาวางท่าอันใดให้มาก ว่างจัดหรือ?”
หยวนฝูไม่สนใจวาจาเสียดสีของเถี่ยหมิง เพียงมองซีเหมินเจียงเฉินพลางกล่าวสืบต่อว่า “ผู้นำซีเหมินในเมื่อท่านเป็นฝ่ายมาขอความร่วมมือกับพวกเราถึงที่นี่…เช่นนั้นท่านเองก็สมควรมีแผนอันใดในใจแล้วกระมัง ไม่ทราบท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไปเล่า?”
ได้ยินคำถามของหยวนฝู สองตาซีเหมินเจียงเฉินก็ฉายประกายเยียบเย็นวูบวาบ “กองกำลังพันธมิตรของพวกเรา จักชิงบุกจู่โจมกองกำลังพันธมิตรอุดรลี้ลับก่อนโดยที่ไม่ให้พวกมันทันได้ตั้งตัว!”
“ยิ่งลงมือเร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี!”
…
ณ ภาคกลางของสมรภูมิ 9 ยมโลก สถานที่ตั้งค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน
“ข้ามาหาจี้หยิ่ง”
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เหินร่างผู้คนนับโหลมาแต่ไกล พอลุถึงน่านฟ้าเหนือประตูหน้าค่ายที่พักของพันธมิตรฟ่านเทียน ก็มองกล่าวกับหน่วยลาดตระเวนของพันธมิตรฟ่านเทียนเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“จี้หยิ่ง?”
คนของพันธมิตรฟ่านเทียนหลายคนที่เร่งรุดออกมาระวังป้องกันผู้มาเยือนอึ้งไปสักพัก ก่อนจะมีบางคนโพล่งขึ้นมาว่า “จี้หยิ่ง ชื่อนี้เหมือนจะเป็นชื่อของ…ท่านผู้นำ!”
“มิทราบคุณชายท่านเป็นผู้ใด?”
เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายเจาะจงมาหาผู้นำของพวกมัน ก็เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา เช่นนั้นคนของพันธมิตรฟ่านเทียนก็ไม่กล้าละเลย เอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“หมี่ซวน”
ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มคนเอ่ยออกอีกครั้ง น้ำเสียงยังคงความเฉยเมยไม่แปรเปลี่ยน
และมันก็คือหมี่ซวนที่พึ่งย้อนกลับเข้ามายังสมรภูมิ 9 ยมโลกนั่นเอง
กล่าวให้ชัดก็คือ หมี่ซวน ที่ได้ช่วงชิงร่างของถังซานเป่า และครอบครองร่างกายรวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างของถังซานเป่าไปแล้ว
“ที่แท้เป็นใต้เท้าหมี่ซวน!”
พอได้ยินคำแนะนำตัวของหมี่ซวน สองตาพันธมิตรฟ่านเทียนหลายคนก็สว่างจ้าขึ้นมาทันที เร่งประสานมือโค้งคารวะหมี่ซวนด้วยท่าทีเคารพ “ท่านผู้นำได้กำชับข้าเอาไว้แล้ว ว่าหากใต้เท้าหมี่ซวนมาถึงเมื่อใด ให้ข้าพาใต้เท้าไปพบท่านผู้นำทันที…เชิญใต้เท้าหมี่ซวน”
ก่อนที่หมี่ซวนจะเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกครั้งนี้ หวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ก็ได้ติดต่อไปยังจี้โยวจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียนเรียบร้อย ให้จี้โยวบอกจี้หยิ่งว่า จะมีคนวิหารเฟิงฮ่าวของพวกมันไปเยือนถึงค่ายพันธมิตรฟ่านเทียนในสมรภูมิ 9 ยมโลก เพื่อร่วมมือกันตามล่าตัวต้วนหลิงเทียน
จี้โยวเองก็ได้ส่งคนเข้ามายังสมรภูมิ 9 ยมโลก และแจ้งเรื่องราวให้จี้หยิ่งทราบแต่แรก
หลังจากจี้หยิ่งรับทราบเรื่องราว มันก็ได้จัดหน่วยลาดตระเวนเพื่อรอรับแขกของวิหารเฟิงฮ่าวโดยเฉพาะ ยังแจ้งไว้ชัดเจนว่าอีกไม่นานจะมีคนชื่อ หมี่ซวน มาเยือน…
ทำให้หน่วยลาดตระเวนทราบ ว่าผู้มาก็คือแขกสำคัญของผู้นำ!
ต้องทราบด้วยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการปฏิบัติดังกล่าว
“อืม”
ขณะที่หมี่ซวนเหินร่างติดตามคนของพันธมิตรฟ่านเทียนเข้าสู่ค่าย คนนับโหลที่ติดตามหมี่ซวนมา ก็เหินร่างตามไปติดๆ
และในบรรดาคนนับโหลที่ว่า ครึ่งหนึ่งก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราจากวิหารเฟิงฮ่าวสาขาย่อย ส่วนอีกครึ่งก็เป็นเทพสงคราม 8 ดาราของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก
งานของพวกมันมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทำตามคำสั่งหมี่ซวน ช่วยพันธมิตรฟ่านเทียนตามล่าหาตัวต้วนหลิงเทียน และจับเป็นต้วนหลิงเทียนกลับวิหารเฟิงฮ่าว!
“ท่านคือหมี่ซวนจากวิหารเฟิงฮ่าว? ท่านผู้นำของข้ารอท่านอยู่นานแล้ว”
จี้หยิ่ง ผู้นำพันธมิตรฟ่านเทียน สั่งให้คนมารอรับหมี่ซวนนอกหุบเขาอันเงียบสงบแห่งหนึ่งในเขตค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน ส่วนคนนับโหลที่ติดตามหมี่ซวน ก็ถูกคนของจี้หยิ่งสกัดไว้ด้านนอก “ท่านผู้นำของพวกเรามีเรื่องจะหารือกับใต้เท้าหมี่ซวนเป็นการส่วนตัว ไม่สะดวกให้ผู้ใดอยู่ด้วย”
เหนือหุบเขาอันกว้างใหญ่ ร่างจี้หยิ่งก็เหินลอยอยู่ตรงนั้น คนตัวตรงปานหอก ไร้ซึ่งพลังผันผวนรอบกาย
ด้านหมี่ซวนก็เหินร่างมาหยุดลอยอยู่เบื้องหน้าจี้หยิ่ง
“หมี่ซวน?”
จี้หยิ่งเอ่ยถาม
“อืม”
แม้จะเผชิญหน้ากับจี้หยิ่ง หมี่ซวนก็ยังมีท่าทีไร้แยแส เพราะต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นเทพสงคราม 9 ดารา แต่ในสายตามันก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้
เพราะหากมันไม่ผนึกพลังวิญญาณของตัวเอง มันก็เป็นถึงราชาเทพขั้นกลาง!
ในสายตาของตัวตนระดับราชาเทพ กระทั่งตัวตนขอบเขตเทพยังไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้ นับประสาอะไรกับเซียนอมตะคนหนึ่งที่ยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพเช่นนี้…
“ฟังจากที่อาจารย์ข้าบอกมา…เจ้าเป็นเทพสงคราม 9 ดารา?”
จี้หยิ่งถาม
“ทำนองนั้น”
หมี่ซวนเอ่ยตอบเสียงเฉย
“ตกลงอย่างไรกันแน่?”
จี้หยิ่งพอได้ฟังก็ขมวดคิ้วย่นยู่ “เรื่องเช่นนี้ใช้คำ ‘ทำนองนั้น’ ได้หรือ…หากเจ้าไม่ใช่เทพสงคราม 9 ดารา ก็ไร้คุณสมบัติจะมาร่วมมือกับข้าจี้หยิ่ง! คนวิหารเฟิงฮ่าวชอบพูดจาเหลวไหลตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
กล่าวจบ ใบหน้าจี้หยิ่งก็เริ่มอึมครึม
“ข้าไม่มีคุณสมบัติร่วมมือกับเจ้า?”
หมี่ซวนแสยะยิ้มเย้ยหยัน “ไอ้หนู ปากเจ้าจักรับประทานอันใดก็ได้ แต่ไม่อาจกล่าวอะไรก็ได้…เจ้าเชื่อหรือไม่ ข้าสามารถสั่งสอนเจ้าแทนจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน ให้เจ้าสำเหนียกว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด?”
หมี่ซวนนั้นตลอดเวลาก็วางตัวเสมอหวู่หงชิงจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์จี้ฟ่านเทียน จี้โยว มาเอง เมื่อพบมันก็ต้องก้มหัวราวพบเจอเจ้าชีวิต!
แต่คนเบื้องหน้าเป็นแค่ศิษย์คนหนึ่งของจี้โยว…
ตอนนี้อีกฝ่ายกลับบอกว่ามันนไม่มีคุณสมบัติจะร่วมมือด้วย?
“คิดจักสั่งสอนข้า ก็ต้องดูว่าเจ้ามีปัญญาสามารถหรือไม่!”
ได้ยินคำพูดวางตัวเหนือกว่าของหมี่ซวน จี้หยิ่งก็อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันก็คลี่กางขึ้น สองตาเริ่มฉายแววเยียบเย็นเอาเรื่อง
พอเสียงของจี้หยิ่งดังจบคำ ทันใดนั้นบรรยากาศเหนือหุบเขาก็กลายเป็นตึงเครียดคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นดินปืนทันที!