WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3585 ขออภัย ข้าก็มี
เมื่อเปลวเพลิงดังกล่าวเข้ามาใกล้ ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าจากในเปลวเพลิงดังกล่าว พลันกระแสพลังอันร้อนระอุขุมหนึ่งพวยพุ่งออกมา จากนั้นกระแสลังดังกล่าวก็แปรสภาพกลับกลายไปเป็นเชือกไฟ พุ่งไปมัดกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน เข้าร่วมการช่วงชิงทันที
เวลานี้กล่าวได้ว่าเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ธาตุได้มารวมกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นเทพเบญจธาตุๆใด ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นที่ 8 ทั้งสิ้น ใกล้เคียงกับการวิวัฒน์สู่ขั้นที่ 9 มาก!
ขั้นที่ 9 ของเทพเบญจธาตุ ก็ถือว่าเป็นขั้นสุดท้ายของเหล่าเทพเบญจธาตุ
หลังจากนั้น เหล่าเทพเบญจธาตุก็จะสามารถแยกวิญญาณออกมาจากสภาพเทพเบญจธาตุตั้งต้น กลายเป็นจิตวิญญาณเสรี หลุดพ้นจากร่างต้น สามารถควบสร้างร่างกายของตัวเอง ท่องไปในสวรรค์และโลกเยี่ยงสิ่งมีชีวิตหนึ่ง…
สำหรับเทพเบญจธาตุตั้งต้น พวกมันก็จะเริ่มกระจายไปในสวรรค์และโลก กลับกลายเป็นเทพเบญจธาตุขั้นแรกจำนวนมาก
“ไม่คิดเลย ว่าข้าจะมาถึงเป็นคนสุดท้าย”
คนสุดท้ายที่พึ่งมาถึง ร่างนั้นปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง ชุดคลุมของมันยังเป็นสีแดงเพลิงแถมปกปิดรูปร่างหน้าตามิดชิด ยากจะมองเห็นได้ว่ามันเป็นใคร
ต้วนหลิงเทียนย่อมม่องเจตนาของคนผู้นี้ออก อีกฝ่ายจงใจปกปิดรูปร่างหน้าตา! เกรงว่านอกสมรภูมิ 9 ยมโลกมันจะไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม…
สำหรับอีก 4 คนที่เหลือ ไฉนที่เปิดเผยรูปร่างหน้าตา อาจเป็นเพราะพวกมันเลือกจะปลอมแปลงรูปโฉมจากพลังของสมรภูมิ 9 ยมโลก หรือตัวตนที่แท้จริงของพวกมันไม่เป็นที่รู้จักในโลกภายนอก จึงไม่ต้องกลัวว่าใครจะจดจำได้
ในสมรภูมิ 9 ยมโลก พวกมันไม่กลัวใคร
อย่างไรก็ตามหากออกจากสมรภูมิ 9 ยมโลก พวกมันก็ไม่ใช่คู่มือของเหล่าตัวตนขอบเขตเทพ
เพราะความเย้ายวนใจของเทพเบญจธาตุมันมากเกินไป ต่อให้เป็นขอบเขตเทพก็ต้องหวั่นไหว ที่สำคัญเทพเบญจธาตุในร่างของพวกมันล้วนเป็นขั้นที่ 8 กันหมดแล้ว ใกล้เคียงกับขั้นที่ 9 อย่างยิ่งยวด
“อสูรเพลิง เจ้าไม่ได้ปรากฏตัวในสมรภูมิ 9 ยมโลกนานทีเดียว ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าวันนี้จะได้เจอเจ้าที่นี่…ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ทนความเย้ายวนใจของอุปกรณ์เทพขั้นสูงไม่ไหว”
สตรีในชุดสีเหลืองห่าน อันเป็นร่างต้นของวารีเทพชำระโลกา มองร่างชายในชุดคลุมสีแดงเพลิงที่พึ่งมาถึง เสียยงกล่าวฟังดูประหลาดใจอยู่บ้าง
“หานเซวียน…เจ้าเองก็อดใจไม่ไหวเหมือนกันหรือ?”
ร่างในชุดคลุมสีแดงอันปกคลุมไปด้วยเพลิงพลังค่อยๆปริปากกล่าวคำออกมา เสียงของมันแม้ไม่ได้ดังอะไรมากมาย แต่กลับกังวาลทั้งเต็มไปด้วยพลัง ฟังจากเสียงแล้วสมควรเป็นบุรุษผู้หนึ่ง
“ใครจะอดใจไหวเล่า ข้าเองก็พึ่งมาถึงก่อนเจ้าไม่นาน หยางเหมิง เหอชุนลี่ กับถานจิน มาถึงก่อนข้าเสียอีก”
สตรีที่ถูกเรียกหาว่าหานเซวียน หันไปมองอีก 3 คน พลางคลี่ยิ้มเฉยเมย
“ไม่คิดเลยว่าสหายเก่าจะมากันพร้อมหน้าพร้อมตา…”
ถานจิน หรือชายหนุ่มที่ครอบครองทองเทพสุดลี้ลับ คลี่ยิ้มบางๆ “จะว่าไป พวกเราเหมือนจะพึ่งมารวมตัวกันครบ 5 คนเป็นครั้งแรกกระมัง?”
“ไม่ผิด”
หยางเหมิงพยักหน้า ตอนนี้มันไม่คิดจะแข่งกับเหอชุนลี่อีกต่อไป เพราะไม่มีเหตุผล หากพวกมันทั้งคู่ยังแย่งกันต่อ ก็รังแต่จะทำให้อีก 3 คนกลายเป็นชาวประมงได้ประโยชน์เท่านั้น
“พวกเจ้าทุกคน ก็คงไม่มีใครอยากพลาดอุปกรณ์เทพขั้นสูงสินะ”
ตอนนี้เอง เหอชุนลี่ เริ่มกล่าวออกมาอีกครั้ง ยังหันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มแสยะ “อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าก่อนที่พวกเราจะมาตัดสินกันว่าใครจะได้ของไป ก็สมควรฆ่าเจ้าของเก่าอย่างจ้าววังน้อยก่อนมิใช่รึ?”
“ถึงตอนนั้นกระบี่เล่มมนั้นก็จะได้ไร้นาย…”
“หาไม่แล้วหากพวกเรามัวมาสู้แย่งชิงกันก่อน ไม่พ้นต้องเกิดการนองงเลือดแน่แท้ สุดท้ายกระบี่นั่นก็ไม่แน่ว่าจะได้ครอบครองรึเปล่า”
ด้วยคำพูดประโยคนี้ของเหอชุนลี่ ทำให้ต้วนหลิงเทียนตกเป็นเป้าของทุกคนทันที
“ข้าเห็นด้วย”
หยางเหมิงเป็นคนแรกที่เห็นด้วย สายตาที่ใช้มองต้วนหลิงเทียนยังเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ข้าก็เห็นด้วย”
ถานจินเองก็พยักหน้าเช่นกัน ชายหนุ่มคนนี้ใบหน้ามักเปื้อนยิ้มตลอด ทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่สายตาที่เยียบเย็นนั่นของมัน ก็มากพอให้ผู้ที่มองสบตาด้วยใจสั่นแล้ว
“ข้าไม่ค้าน”
หานเซวียนก็ตอบรับ
“เช่นนั้นพวกเราฆ่ามันก่อนเถอะ”
อสูรเพลิงที่พึ่งมาถึง พอกล่าวจบคำ ด้านหลังของมันก็บังเกิดความเปลี่ยยนแปลงบางอย่างคลื่นลมเริ่มปั่นป่วน มวลเมฆเริ่มกระจัดกระจาย ทันใดนั้นสัตว์อสูรตัวเขื่องก็ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าตัวแล้วตัวเล่า ไม่ทันไรก็กลายเป็นกองทัพทื่นเรียงตัวอย่างมีระเบียบ!
“ฮู่มมม!!”
“กรรร!!”
…
เหล่าสัตว์อสูรเมื่อปรากฏตัวออกมาแล้ว พวกมันก็พากันกู่ร้องคำรามออกมาเสียงดังสนั่นฟ้าสะเทือนดิน ทั่วร่างยังปรากฏเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาอย่างร้อนแรง มองปราดเดียวก็รู้ว่าพวกมันล้วนเป็นสัตว์อสูรธาตุไฟ
“เจ้าบ้านั่นยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน…จะไปไหนก็พกกองทัพสัตว์อสูรไปด้วยตลอด”
หยางเหมิงส่ายหน้าไปมาพลางกล่าว
“ฮ่าๆๆ”
ถานจินเองก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “หยางเหมิง สัตว์อสูรพวกนั้นไม่ใช่แค่ไม้ประดับ…หรือเจ้าลืมไปแล้ว ว่าครั้งก่อนที่เจ้าสู้กับอสูรเพลิง ก็เพราะกองทัพสัตว์อสูรเหล่านี้ถึงทำให้เจ้าต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพราะโดนพวกมันต่างค่ายกลเล่นงานเอาจนการป้องกันของเจ้าแตกกระเจิง?”
“เฮอะ!”
ได้ยินดังนั้น หยางเหมิงก็พ่นคำสบถออกมาเสียงเย็น “ไม่ใช่เพราะข้าอยากรับทราบพลังงอำนาจของค่ายกลสัตว์อสูรนั่นรึไง หากไม่ใช่เพราะข้าอากลองดู อาศัยเดียรัจฉานเชื่องช้าเหล่านั้น พวกมันจะมีปัญญาเล่นงานข้าโดนรึไง?”
“อ้อ จะอย่างไรทัพสัตว์อสูรพวกนี้ก็ไม่ธรรมดาอยู่ดี หรือเจ้าไม่ยอมรับ?”..
ถานจินคลี่ยิ้ม
ในเวลานี้
กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้ถูกเหล่าเทพเบญจธาตุทั้ง 5 สะกดจนไม่อาจกระดิกตัวไปไหนได้ เรียกว่าไม่อาจป้องกันตัวเองได้เลย นับประสาอะไรกับช่วยเหลือต้วนหลิงเทียน
ด้านต้วนหลิงเทียน ก็ถูกเหล่าอดฝีมือที่ครอบครองเทพเบญจธาตุปิดล้อม
นอกจากนั้น กองทัพสัตว์อสูรที่เรียงแถวกลางอากาศ แต่ละตัวก็มองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตากระหายเลือด ราวกับได้เลือกต้วนหลิงเทียนเป็นเหยื่อเรียบร้อย ขอเพียงได้รับคำสั่งจากอสูรเพลิง พวกมันก็พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนทันที
“ต้วนหลิงเทียน รุ่นเยาว์อัจฉริยะ อายยุไม่ถึง 700 ปี…ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางแห่งจี้เมี่ยเทียน…ไม่คิดเลยว่าจะบรรลุถึงเทพสงคราม 9 ดาราได้แล้ว ตัวตนเช่นนี้ไม่น่าจะเคปรากฏมาก่อนในระนาบเทวโลกใดๆกระมัง?”
หยางเหมิงมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ
“ไม่ปรากฏในระนาบเทวโลกใดๆ ในสมรภูมิ 9 ยมโลกก็มิมี…กล่าวได้ว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จเช่นต้วนหลิงเทียน ในอดีตไม่ปรากฏ ในอนาคตไม่พบเจอ”
ถานจินพยักหน้าเห็นด้วย
“บรรลุระดับเทพสงคราม 9 ดารา ทั้งๆที่อายุไม่ถึง 700 ปี…หากมิใช่ผิดที่ครอบครองหยก ข้าเองก็หักใจเข่นฆ่าอัจฉริยะมิลงจริงๆ”
เหอชุนลี่กล่าว
“มันได้ตายด้วยน้ำมือของพวกเรา 5 คน ก็นับว่ามันไม่เสียชาติเกิดแล้ว”
หานเซวียนพูด
“หึ!”
อสูรเพลิงพ่นลมสบถเสียงเย็น เพลิงพลังทั่วร่างพลันลุกโชนขึ้น “อัจฉริยะแล้วอย่างไร วันนี้สุดท้ายมันก็ต้องตายด้วยมือพวกเรา!”
“แค่ไม่ทราบ…ว่าหากสัตว์อสูรของข้าได้กินอัจฉริยะเช่นมันไป จะพัฒนาสายเลือดได้หรือไม่…ช่างน่าตื่นเต้นยิ่ง!”
พออสูรเพลิงกล่าวถึงจุดนี้ เปลวเพลิงทั่วร่างเหล่าสัตว์อสูรก็ลุกโชนขึ้นมาเช่นกัน
สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงอย่างต้วนหลิงเทียน เขายังคงลอยร่างกลางหาวด้วยสีหน้าสงบ ไม่ได้เผยทีท่าระแวดระวังเหมือนตอนไล่ล่าหยางเหมิงแม้แต่นิดเดียว กระทั่งมุมปากยังเริ่มคลี่ยิ้มออกมา สองตายังเป็นประกายขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดขณะกวาดมองคนทั้ง 5
“ถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังยิ้มอยู่ได้?”
หยางเหมิงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของต้วนหลิงเทียน มันอดหัวเราะพลางกล่าวประชดออกมาไม่ได้ “ต้วนหลิงเทียน เจ้าคงไม่ได้กลัวจนโง่งมแล้วกระมัง?”
“ในที่สุด…พวกเจ้าก็มากันได้เสียที”
อย่างไรก็ตาม เผชิญหน้ากับการหัวเราะประชดของหยางเหมิง ต้วนหลิงเทียนก็ส่ายหน้าพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแฝงยินดี
และคำพูดของเขา ก็นำพาความตกตะลึงมาสู่หยางเหมิงกับคนอื่นๆ
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ยิ้มกล่าวสืบต่อ “ก่อนที่จะเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลก ข้าก็เคยได้ยินมาว่า…ในสมรภูมิ 9 ยมโลกมีเทพสงคราม 9 ดาราที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ 5 คน และแต่ละคนไม่ว่าใครก็ครอบครองเทพเบญจธาตุขั้นสูง”
“ทั้ง 5 คนนั่น ทำให้เหล่าผู้ถือครองเทพเบญจธาตุคนอื่นๆในสมรภูมิ 9 ยมโลก ไม่กล้าเปิดเผยหรือใช้เทพเบญจธาตุออกมาส่งเดช…”
“เว้นเสียแต่ทุกคนจะยืนยันได้แล้ว ว่าคนที่มีเทพเบญจธาตุๆเดียวกันในบรรดาคนทั้ง 5 บรรลุถึงขอบเขตเทพ หาไม่แล้ว ก็ไม่มีใครกล้าใช้เทพเบญจธาตุออกมาต่อหน้าคนอื่น”
“ทั้ง 5 คนที่ว่าคงเป็นพวกเจ้ากระทัง และพวกเจ้าเองก็สมควรเก็บตัวกันมานานแล้ว…”
“หากข้าเดาไม่ผิด พลังฝีมือของพวกเจ้าเองก็คงก้าวหน้ากันสุดที่เทพสงคราม 9 ดาราคนไหนจะต่อกรด้วยได้ แม้จะไม่ใช่เทพเบญจธาตุก็ตามที…ข้าพูดถูกหรือไม่?”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถามออกมา สีหน้าคนทั้ง 5 ก็เริ่มเปลี่ยนไปทันที
อสูรเพลิง กล่าวถามออกมาตรงๆ “ในเมื่อเจ้าเองก็น่าจะรู้ว่าพวกเราทั้ง 5 เป็นเทพสงคราม 9 ดาราที่แข็งแกร่งที่สุดในสมรภูมิ 9 ยมโลก ไฉนเจ้ายังไม่รีบปาดคอตัวเองให้ตายเสียเล่า? หากเจ้ารอให้พวกเรา 5 คนลงมือเอง เกรงว่ากระทั่งงตายเจ้ายังไร้ศพไว้กลบฝัง เพราะถึงตอนนั้นข้าเกรงว่าสัตว์อสูรของข้าคงกินเจ้าไม่เหลือแม้แต่กระดูก”
“อ้อ…ข้าจะรอดู”
ต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
และในขณะที่หยางเหมิงรวมถึงคนอื่นๆเริ่มขมวดคิ้ว ด้วยยไม่เข้าใจว่าไฉนถึงตอนนี้แล้วต้วนหลิงเทียนยังยิ้มออก ร่างต้วนหลิงเทียนก็กระโจนขึ้นฟ้าสูง ก่อนจะกางแขนทั้ง 2 ข้างออก จากนั้นก็ปรากฏเงาร่างต้นไม้มหึมาซ้อนทับร่างเขา
เป็นร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว
ต่อมา เมื่อร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวค่อยๆควบแน่นมีสภาพ จนไม่ต่างอะไรกับต้นไม้ของจริง ห้วงอากาศก็เริ่มกระเพื่อม ดั่งหนึ่งหินร่วงหล่นสระก่อเกิดพันระลอก อยู่ดีๆทั่วค่ายพันธมิตรฟ่านเทียนก็ปรากฏพลังลี้ลับปะทุขึ้นมา
พลังลี้ลับดังกล่าวเสมือนเริ่มก่อตัวเป็นโดมรูปครึ่งทรงกลมคว่ำปกคลุมไปทั่วค่ายพันธมิตรฟ่านเทียน และคำแหน่งใจกลาง หรือจุดที่ต้วนหลิงเทียนอยู่ ก็เริ่มบังเกิดวังวนพลังหนึ่งหมุนคว้างเร็วรี่
จังหวะนี้หยางเหมิงกับคนอื่นๆได้แต่ขมวดคิ้วย่นยู่ พวกมันล้วนสัมผัสได้ถึงพลังลี้ลับดังกล่าว แต่กลับไม่รู้สึกว่าพลังที่ว่าจะทำอันตรายอะไรพวกมันเลย ไม่ว่าจะร่างกาย วิญญาณ หรือแม้แต่พลังของพวกมัน
“ค่ายกลรึ? ว่าแต่เป็นค่ายกลอันใดกัน?”
ทั้งหมดเริ่มตระหนักได้ทันที ว่านี่สมควรเป็นค่ายกลอะไรบางอย่าง ถึงแม้พวกมันจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ แต่พวกมันเชื่อว่าต้วนหลิงเทียนไม่น่าจะทำอะไรไร้ประโยชน์แน่นอน และยิ่งไม่พบความผิดปกติใดๆพวกมันก็ยิ่งบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“พวกเจ้าดูนั่น เทพเบญจธาตุของพวกเรา!”
ทันใดนั้นเหอชุนลี่พลันโพล่งขึ้นมาเสียงดัง พอทุกคนหันไปมองตามสายตานาง ก็พบว่าเหล่าเบญจธาตุที่เดิมทียื้อยุดกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น แต่ละคนล้วนบินไปหาต้วนหลิงเทียนอย่างไม่ทราบสาเหตุ
จากนั้นพวกมันก็แปรเปลี่ยนกลับไปอยู่ในรูปลักษณ์ดวงแสงพลัง ลอยวนเวียนอยู่รอบๆต้นไม้เทพสนหลิว ราวกับผู้พิทักษ์ ดวงแสงยังหมุนวนด้วยความเร็วรอบทัดเทียมกับวังวนพลังแปลกประหลาด จนมองไปคล้ายมีริ้บบิ้น 5 สีม้วนพันรอบต้นไมเทพสนหลิว!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
สีหน้าหยางเหมิงเปลี่ยนไปใหญ่หลวง “ข้า…ข้ามิอาจติดต่อกับปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินได้!”
“ข้าก็ไม่อาจติดต่อวารีเทพชำระโลกาได้เช่นกัน!”
สีหน้าหานเซวียนเปลี่ยนไปใหญ่หลวง
อีก 3 คนที่เหลือก็พากันหน้าเปลี่ยนสีเป็นแถบ เพราะพวกมันเองก็ประสบเหตุการณ์เดียวกัน ไม่อาจติดต่อพูดคุยกับเทพเบญจธาตุของตัวเองได้เลย
“นี่มันค่ายกลบัดซบอันใดกัน?!”
ในขณะที่สีหน้าของทั้ง 5 เริ่มเปลี่ยนไปไม่สู้ดี ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวกลางหาว ก็ปรากฏร่างต้วนหลิงเทียนก้าวเดินออกมา จากนั้นเพียงโบกมือเบาๆ กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่เป็นอิสระแล้วก็พุ่งบินกลับมาเข้ามือเขาทันที กลิ่นอายพลังทั่วร่างเขาทวีความรุนแรงขึ้นในฉับพลัน
“เทพเบญจธาตุหรือ?”
ในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็กวาดตามองทั้ง 5 ที่กำลังแตกตื่น รอยยิ้มบางๆที่มุมปากยิ่งมาก็ยิ่งยกสูงขึ้น “ขออภัย ข้าเองก็มีเหมือนกัน…”