WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3591 มาถึงระนาบสมรภูมิ!
ไม่เพียงแต่เขาจะบอกบิดามารดาเช่นนี้เท่านั้น กับลี่เฟยและลูกทั้ง 2 ต้วนหลิงเทียนเองก็บอกแค่ว่าเขาจะเดินทางไปถึงระนาบเทพผ่านสมรภูมิ 9 ยมโลกได้ทันที…
ทั้งหมดเพื่อไม่ให้ทุกคนต้องเป็นห่วง
หากทุกคนรู้ว่าการจะขึ้นไปยังระนาบเทพของเขา จำต้องไปโผล่ที่ระนาบสมรภูมิที่มีอันตรายอย่างยิ่งยวดก่อนล่ะก็ ทุกคนไม่พ้นต้องห้ามปรามหยุดเขาแน่นอน
แต่ตอนนี้ไม่ว่าทุกคนจะห้ามยังไง เขาก็จะไป
เช่นนั้นเขาก็ทำได้แค่ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ จะได้ไม่ทำให้ทุกคนต้องพลอยวิตกกังวล
“300 ปีหลังจากนี้ พวกท่านอยู่บ่มเพาะพลังที่นี่เถอะ…ข้าได้จัดตั้งค่ายกลกักเก็บพลังวิญญาณฟ้าดินเอาไว้ทั้งเกาะแล้ว หากไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยๆพลังวิญญาณฟ้าดินก็มีมากพอให้บ่มเพาะพลังไปได้อย่างน้อย 500 ปี”
ต้วนหลิงเทียนก็คำนึงถึงเรื่องที่พลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบโลกะมันเบาบางเกินไป จนครอบครัวเขาโดยเฉพาะลูกทั้ง 2 อาจไม่เต็มใจเสียเวลาวัยเยาว์อย่างเปล่าประโยชน์อยู่ที่นี่
เช่นนั้นก่อนออกเดินทางเขา ด้วยความช่วยเหลือจากวารีเทพชำระโลกา เขาจึงจัดตั้งค่ากลผนึกพลังวิญญาณฟ้าดินครอบคลุมทั้งเกาะเอาไว้ และถ่ายพลังวิญญาณฟ้าดินเสี้ยวหนึ่งจากโลกใบเล็กของเขาออกมา
เพียงพริบตาทั่วทั้งเกาะก็เต็มไปด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพอันมหาศาล พวกมันหนาแน่นบริบูรณ์จนแทบจะกลั่นตัวเป็นของเหลวแล้ว…
“เสี่ยวเฟยเอ๋อ รอข้ากลับมา…”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะไป เขาเพียยงร่ำลาลี่เฟยภรรยาเขาคนเดียวเท่านั้น ไม่ได้ไปลาใครอีก เพราะบรรยากาศจากลามันเศร้าโศกเสมอ เขาไม่อยากเห็นทุกคนต้องเศร้า
เขาเลือกจะจากไปเงียบๆ และให้ลี่เฟยบอกทุกคนหลังจากเขาไปแล้ว 2-3 วัน
…
“พี่สุ่ย ในระนาบสมรภูมิต้องระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?”
ขณะเดินทางออกจากระนาบโลกียะและย้อนกลับไปยังระนาบเทวโลก ก่อนจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลก ต้วนหลิงเทียนก็ถามวารีเทพชำระโลกาออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ต้องระวังทุกสิ่งอย่าง”
วารีเทพชำระโลกาเอ่ยออกเสียงหนัก “หลังจากเข้าสู่ระนาบสมรภูมิแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องให้ความสำคัญที่สุดคือหาทางออกจากที่นั่นให้จงได้…หากเจ้าโชคดีก็อาจไปปรากฏตัวไม่ไกลจากตำแหน่งที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายมากนัก และสถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้าย ถือเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในระนาบสมรภูมิ”
“หากเจ้าโชคร้าย ไปปรากฏตัวห่างไกลจุดเคลื่อนย้าย เจ้าก็ต้องลำบากหาสถานที่ตั้งมันด้วยตัวเอง..และอาศัยพลังของเจ้าตอนนี้ หากตกเป็นเป้าของใคร เจ้าก็ต้องตายสถานเดียว”
“แต่เป็นธรรมดาว่า เมื่อเจ้าไปปรากฏตัวที่นั่น ผู้ที่ยังมีสภาวะจิตปกติ คงไม่มีใครคิดดตัวลงมาฆ่าเจ้า เพราะการฆ่าเจ้าก็ไม่ได้ทำให้พวกมันได้แต้มรบใดๆทั้งสิ้น…เพราะเจ้ามิได้เข้าสู่ระนาบสมรมภูมิตามวิธีปกติ เสมือนคนที่พลัดหลงเข้าสู่ระนาบสมรภูมิเท่านั้น”
“อย่างไรก็ตามยังมีโอกาสที่เจ้าจะพบเจอคนที่กระหายเลือด นิยมเข่นฆ่าเป็นนิจ…คนพวกนี้อาจลงมือกับเจ้า”
“นอกจากนั้นก็มีคนที่พลังฝีมืออ่อนด้อย และหวังเสี่ยงโชคในระนาบสมรภูมิ…คนพวกนี้จะระวังตัวตลอดเวลา ทำให้เกิดความตึงเครียด สภาวะจิตย่อมไม่ปกติ พอมันเห็นเจ้าที่ไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตเทพ มันก็อาจจะระบายความเครียดโดยการเข่นฆ่าเจ้า โดยไม่สนใจเรื่องแต้มรบใดๆ…”
“กล่าวได้ว่า เมื่อเจ้าขึ้นไปถึงงระนาบสมรภูมิ 4 ทิศ 8 ทางล้วนเต็มไปด้วยอันตราย…หากพบเจอผู้ใด เจ้าก็พยายามประจบประแจงมันเสีย ขอให้มันพาเจ้าไปส่งยังจุดเคลื่อนย้ายได้ยิ่งดี ถึงต้องนอบน้อมถ่อมตัวก็ไม่เป็นไร”
“เจ้าเองก็สมควรรู้ดีว่ามีเพียยยงมีชีววิตถึงจะมีหวัง…การยอมก้มหัวสักครั้งเพื่อรักษาชีวิต และสร้างโอกาสเพื่ออนาคต ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
เสียงกล่าวประโยคท้ายของวารีเทพชำระโลกาฟังดูจริงจังไม่น้อย กระทั่งงยังวิตกกังวลเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะในระนาบเทวโลกต้วนหลิงเทียนเรียกว่ามาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนอมตะแล้ว หากใช้ท่าทางไม่แยแสหรือมั่นใจตามปกติในระนาบสมรภูมิ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาแน่นอน
“และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…ตอนเจ้าอยู่ในระนาบสมรภูมิ เจ้าต้องไม่เปิดเผยพวกเราหรือกระบี่เทพขั้นสูงสุดในมือเจ้าเด็ดขาด”
“หากถูกเปิดเผย เจ้ามีแต่ตายสถานเดียว!”
ยิ่งพูดน้ำเสียงวารีเทพชำระโลกาก็ยิ่งเคร่งขรึม
“เข้าใจแล้วพี่สาวสุ่ย”
ต้วนหลิงเทียนขานรับ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง
จุดนี้ไม่ต้องให้วารเทพชำระโลกากล่าวเตือน เขาก็รู้ดี
ระหว่างทางเขาก็ได้รู้จากวารีเทพชำระโลกาว่าระนาบสมรภูมินั้น เป็นดั่งสนามรบเพื่อให้เหล่าเทพเข้ามาเข่นฆ่ากัน เพื่อสะสมแต้มรบ
เมื่อสะสมแต้มรบได้ถึงระดับหนึ่งก็สามารถใช้แต้มรบดังกล่าวเปิดแดนลับที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดสร้างไว้ หรือแม้แต่นำไปแลกเปลี่ยนกับของรางวัลที่ผู้แข็งแกร่งที่สุดทิ้งไว้
กล่าวได้ว่า ในระนาบสมรภูมิ มีโชคและวาสนารวมถึงโอกาสเปลี่ยนชะตามากมาย
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ทุกครั้งที่ระนาบสมรภูมิเปิดออก เหล่าเทพที่มั่นใจในพลังฝีมือของตัวเองก็ดี เหล่าเทพที่หวังเสี่ยงโชคก็ดี ก็หลั่งไหลเข้ามาเพื่อแสวงหาโอกาส หมายยกระดับพัฒนาตัวเองโดยใช้แต้มรบ กระทั่งยังมีมากมายที่เข้ามาเพื่อขัดเกลาพลังฝีมือและหาประสบการณ์
สรุปได้ว่า ในระนาบสมรภูมิ การเข่นฆ่ามันเข้มข้นกว่าสมรภูมิ 9 ยมโลกและสมรภูมิอเวจีมาก
“เริ่มกันเลยเถอะ”
หลังกลับมาถึงสมรภูมิ 9 ยมโลก ต้วนหลิงเทียนก็หาสถานที่เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง จากนั้นวารีเทพชำระโลการวมถึงเทพเบญจธาตุอีก 4 ธาตุที่เหลือก็ออกมาจากร่างต้วนหลิงเทียน เตรียมจะใช้เทพเบญจธาตุทั้ง 5 ที่ยังเหลือพลังไม่กี่ส่วนเป็นแกนกลางค่ายกล เพื่อจัดตั้งค่ายกลที่จะฉีกเปิดห้วงมิติของสมรภูมิ 9 ยมโลก และนำต้วนหลิงเทียนไปสู่ระนาบสมรภูมิ
ต้องทราบด้วยว่าห้วงมิติและความเสถียรของพื้นที่ในสมรภูมิ 9 ยมโลกนั้น มันมีมากกว่าในระนาบเทวโลกเสียอีก จากที่ตัวตนระดับเทพหรือแม้แต่ราชาเทพจะฉีกห้วงมิติได้ด้วยซ้ำ
และไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ตัวตนระดับนั้นไม่อาจเข้ามาได้ ต่อให้จะมีตัวตนเหนือกว่าราชาเทพเข้ามาได้ ก็ไม่มีใครคิดจะทำอะไรแบบนั้นแน่นอน..
เพราะหากพลัดหลงเข้าไปในห้วงมิติที่ฉีกเปิดออกในสมรภูมิ 9 ยมโลก ชีวิตก็จะตกอยู่ในความเสี่ยงทันที
สุดท้ายแล้วสมรภูมิ 9 ยมโลก ก็เป็นผลพวงจากการสร้างระนาบสมรภูมิของผู้แข็งแกร่งที่สุด…แม้จะถือได้ว่าเป็นระนาบสมรภูมิย่อมๆ แต่จะสมรภูมิ 9 ยมโลกก็ดี สมรภูมิอเวจีก็ดี ล้วนถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของผู้แข็งแกร่งที่สุด กฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้ก็ทรงพลังยากฝ่าฝืน…
ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพ หากดันทุรังเข้ามาในสมรภูมิ 9 ยมโลกหรือสมรภูมิอเวจีก็มีแต่ตายกับตาย
ตัวตนระดับอริยะเทพอาจไม่ตาย แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจอู่ในสมรภูมิ 9 ยมโลกหรือสมรภูมิอเวจีได้นาน
ด้วยเหตุนี้ถึงแม้ตัวตนที่อยู่เหนือขอบเขตราชาเทพ จะสามารถฉีกเปิดห้วงมิติภายยในสมรภูมิ 9 ยมโลกหรือสมมรภูมิอเวจี เพื่อเปิดช่องทางไปยังระนาบสมรภูมิได้ ก็ไม่มีใครบ้าพอจะกระทำ…เพราะหากทำก็ไม่ต่างอะไรกับโยนตัวเองไปติดพันความตาย!
ยิ่งระดับพลังบ่มเพาะสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องผ่านพ้นความลำบากมามากขึ้นเท่านั้น
ตัวตนเช่นนี้ยังมีใครไม่รักถนอมชีวิตตัวเอง
วู้ม!
วู้ม!
…
ภายใต้การให้สัญญาณของต้วนหลิงเทียน เหล่าเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ก็ได้กระตุ้นค่ายกลทันที เผาผลาญพลังที่เหลือของเทพเบญจธาตุอีก 5 ธาตุ ให้พวกมันกลายเป็นขุมพลังขัลเคลื่อนค่ายกล
หลังจากนั้นพลังอันน่าสะพรึงกลัว แผ่กลิ่นอายลี้ลับยากหยั่งถึง ก็พวพุ่งขึ้นมาจากวงเวทย์อาคม ก่อนจะไปม้วนวนกลางอากาศ และยิ่งมาความเร็วรอบในการม้วนวนของวังวนพลังลี้ลับดังกล่าวก็ยิ่งสูงขึ้น ห้วงมิติก็เริ่มสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ ราวพร้อมจะฉีกเปิดได้ทุกเมื่อ
“การเผาผลาญเทพเบญจธาตุที่เหลือ แม้จะสามารถฉีกเปิดห้วงมิติได้ แต่มันก็คงอยู่ไม่นาน…เจ้ามีเวลาแค่ 2-3 ลมหายใจเท่านั้นที่จะเข้าไป จับตาดูให้ดี…เมื่อห้วงมิติฉีกเปิดเมื่อใดให้รีบเข้าไปทันที!”
“หากเจ้าพลาด ก็ไม่เหลือโอกาสอีกแล้ว”
หลังจากวารีเทพชำระโลกากล่าวกำชับต้วนหลิงเทียนเป็นครั้งสุดท้าย นางกับเทพเบญจธาตุที่เหลืออีก 4 ธาตุ ก้อนกลับเข้าไปในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนทันที
และภายในโลกใบเล็กของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่นอกเหนือไปจากพฤกษาเทพกำเนิดชีพกับเทพเบญจธาตุทั้ง 5
แม้แต่มังกรดุร้ายทั้ง 2 ในอดีต ต้วนหลิงเทียนก็ได้มอบอิสระภาพให้แก่พวกมันตั้งแต่หลังจบศึกอัจฉริยะสวรรค์
ได้ยินคำกำชับของวารีเทพชำระโลกา เมื่อต้วนหลิงเทียนปิดโลกใบเล็กภายในกายแล้ว เขาก็เร่งเร้าพลังเตรียมพร้อม จับตามองใจกลางวังวนพลังลี้ลับอย่างไม่ให้คลาดสายตา และเขาก็สัมผัสได้ว่ายิ่งมากลิ่นอายพลังก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกขณะ
กล่าวได้ว่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันน่ากลัวที่กำลังจะฉีกเปิดได้กระทั่งห้วงมิติ แม้ต้วนหลิงเทียนจะเตรียมใจไว้แต่แรก แต่ก็อดหวาดกลัวไม่ได้
เหล่าเทพเบญญจธาตุทั้ง 5 ที่เหลือเอง พลังของพวกมันก็ถูกเผาผลาญไปจ่ายพลังให้ค่ายกลอย่างรวดเร็ว จนกำลังจะสลายหายไปได้ทุกขณะ
ไม่ทราบหากไปจับเทพเบญจธาตุที่มีสภาพสมบูรณ์พร้อมมาอีกสักชุด จะสามารถฉีกเปิดห้วงมิติในสมรภูมิ 9 ยมโลกได้ตมใจชอบหรือไม่?
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดอะไรไปเรื่อย ในที่สุดเขาก็พบว่าวังวนพลังลี้ลับมันได้หมุนคว้างด้วยความเร็วอัศจรรย์ จนทำให้ห้วงมิติบังเกิดการปริแตก จากนั้นก็เสมือนบังงเกิดหลุมดำที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 อุบัติขึ้นในฉับพลัน และหลังจากหลุมดำปรากฏขึ้น ก็เสมือนมันกำลังหดตัวลงทุกขณะ
ต้วนหลิงเทียนยังพบว่า พลังลี้ลับที่ฉีกเปิดห้วงมิติเองก็กำลังลดลงเรื่อยๆ
“ตอนนี้ล่ะ!”
ต้วนหลิงเทียนที่เตรียมตัวมานาน พอเห็นหลุมดำปรากฏตัว ร่างเขาก็พุ่งทะยานมุดหายเข้าไปในหุมดำดังกล่าวฉับไว
และไม่ถึงสองลมหายใจหลังจากหลุมดำปรากฏขึ้น มันก็ปิดตัวลง คล้ายมีผู้ใดนำเข็มมาเย็บปิดห้วงมิติ สุดท้ายมันก็หวนคืนสู่สภาพปกติในเวลาอันสั้น
และบริเวณสถานที่ตั้งค่ายกลที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่เมื่อครู่ เหล่าเทพเบญจธาตุทั้ง 5 ของพวกหยางเหมิงบริเวณตาค่ายกล ก็ถูกสืบพลังจนหมด พวกมันสลายหายไปในความว่างเปล่าราววกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
และตอนนี้ต้วนหลิงเทียนก็กำลังเดินทางผ่านคววามมืดมิดหลังจากมุดเข้ามาในหลุมดำ
ทันทีที่เข้ามาในหลุมดำ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลัง 5 ธาตุที่ปกคลุมไปทั่วร่างกายเขา ไม่เพียงปกป้องเขายังพาเขาข้ามผ่านห้วงมิติผันผวน จากนั้นก็พวกมันก็ทำการฉีกเปิดช่องว่างที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่าครึ่งหมี่เล็กน้อย จากนั้นก็พาเขามุดผ่านช่องว่างดังกล่าวทันที
ฟุ่บ!
พริบตาต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเขาได้มาถึงสถานที่แห่งใหม่แล้ว ด้านหลังเขาก็ปรากฏช่องว่างมิติเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งหมี่ครึ่งที่กำลังหดเล็กลงด้วยความเร็ว
เช่นเคย…หลังจากเขามาถึงที่นี่ไม่ถึง 2 ลมหายใจ ช่องว่างมิติด้านหลังก็ปิดตัวลงทันที
“ที่นี่น่ะเหรอ…ระนาบสมรภูมิที่เกิดจากการโคจรมาปะทะกันของระนาบเทพคู่ขนาน…”
ต้วนหลิงเทียนที่กวาดตามองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกายโดยละเอียด ก็พบว่ามันเป็นสถานที่อันรกร้างว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ ยังมองเห็นหลุมบ่อจากการปะทะของพลังมากมาย โครงกระดูกเกลื่อนพื้นไปทั่ว
นอกจากนั้นพื้นดินที่เขายืนอยู่ ก็เต็มไปด้วยคราบสีดำแห้งกรัง
เห็นชัดว่าเป็นคราบเลือดที่แห้งแล้ว
จากนั้นสักพัก ก็มีไอพลังประหลาดก่อลักษณ์คล้ายอีกาเหินผ่าน พาลให้บรรยากาศอันเงียบงันกลายเป็นน่าขนลุกทันที
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์และร้ายกาจไม่น้อยในระนาบเทวโลก แต่เมื่อมาถึงระนาบสมรภูมิเขาก็ไม่กล้าประมาทและผ่อนคลายความระวังแม้แต่น้อย ท่าทียังแลดูเคร่งขรึมตึงเครียดนัก
เขารู้ดีว่าที่นี่ไม่ใช่ระนาบเทวโลก และไม่ใช่สมรภูมิ 9 ยมโลก
จากที่วารีเทพชำระโลกาเล่ามาให้เขาฟัง ระนาบสมรภูมินั้น อย่างน้อยๆผู้ที่คิดเข้ามาเสี่ยงภัยแสวงโชค ก็ต้องเป็นตัวตนที่อยู่เหนือขอบเขตราชาเทพ และไม่มีราชาเทพคนไหนหาญกล้าเข้ามาที่นี่ เพราะไม่ต่างอะไรจากหาที่ตาย
ในระนาบสมรภูมิ กล่าวได้ว่าตัวตนที่อ่อนด้อยที่สุด อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นตัวตนระดับจอมราชันเทพ!
จอมราชันเทพ เป็นตัวตนที่อยู่เหนือขอบเขตราชาเทพ เป็นตัวตนที่ทรงพลังระดับกลางๆในระนาบเทพทั้งมวล
‘ตอนนี้ภารกิจเร่งด้วนและสำคัญที่สุดก็คือหาจุดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้าย เพื่อออกจากระนาบสมรภูมิให้ได้…’
‘พี่สาวสุ่ยบอกวว่า ในระนาบสมรภูมิ มีค่ายที่พักอันเป็นจุดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ว่ากระจายอยู่มากมาย…’
‘และการคงอยู่ของค่ายดังกล่าว ก็ไม่ต่างอะไรจากสถานที่ปลอดภัยสำหรับเหล่าเทพที่เข้ามายังระนาบสมรภูมิ ในเขตค่ายที่ว่าไม่มีใครสามารถโคจรเร่งเร้าพลังเทพหรือใช้พลังวิญญาณได้…’