WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3617 งานประมูลตระกูลโจว
เมืองวายุสวรรค์ นับเป็น ‘เมืองใหญ่’ สำหรับผู้คนในเมืองหลินซาน และมันก็มีพื้นที่รวมถึงประชากรมากมายมหาศาล สุดที่เมืองหลินซานจะเทียบได้…
เอาแค่ประตูเมืองชั้นนอกเพียงอย่างเดียว ก็ใหญ่โตกว่าประตูเมืองหลินซานถึง 5 เท่า สูงกว่ากันราวทารกน้อยยืนเทียบกับผู้ใหญ่โตเต็มวัย
อีกทั้งความเก่าแก่และกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากอิฐทุกก้อน ยังให้ความรู้สึกคลุมเครือราวผ่านพ้นกาลเวลามาเนิ่นนานจนจำไม่ได้…
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงเมืองวายุสวรรค์แล้ว เขาไม่ได้เลือกจะเข้าไปนั่งฟังเรื่องราวหาข่าวในเหลาอาหารเหมือนทุกที แต่เลือกจะไปหาโรงเตี๊ยมที่พักเป็นอันดับแรก
‘ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือหาทางปกปิดอายุกระดูกก่อน…’
ดังคำกล่าว ‘ต้นไม้มีวงปี คนมีอายุไขกระดูก’ ในระนาบเทพนั้น จะตรวจสอบว่าผู้คนอยู่มานานแค่ไหนแล้ว เพียงดูด้วยตาคงไม่อาจบอกได้ เพราะเพียงแค่อาศัยห้วงคิดเดียว จะคงควมอ่อนเยาว์ไว้ชั่วกาลก็เป็นเรื่องราวอันง่ายดายนัก
เป็นธรรมดาวว่ายังมีหลายคนที่ไม่ชอบมีรูปลักษณ์เป็นคนหนุ่มสาว ชมชอบเป็นวัยกลางคนหรือววัยชราก็มีให้เห็นถมเถ
รูปลักษณ์ผู้คนนั้นไม่อาจบอกถึงอายุได้ ทว่าอายุของไขกระดูกสามารถบอกอายุที่แท้จริงของผู้คนได้
ตัวอย่างเช่น สถานศึกษาหมอกเร้นลับที่ต้วนหลิงเทียนคิดจะเข้านั้น ก็จะจำแนกระดับของนักศึกษาตามอายุของไขกระดูก ก็จริงที่สำหรับต้วนหลิงเทียนแล้วมันไม่มีปัญหาอายุเกินอะไร เพราะเขายังอายุไม่ถึง 700 ปี…
อย่างไรก็ตามมีคำกล่าวไว้ว่า ‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น’ ต้วนหลิงเทียนไม่คิดจะให้อายุจริงของเขาถูกเปิดเผยที่นี่
เพราะหากมันถูกเปิดเผย เกรงว่าคงมีแต่ร้ายมากกว่าดี
ถึงตอนนั้นเกรงว่าชะตากรรมของเขาจะไม่ได้อยู่ในกำมือตัวเองอีกต่อไป กลับกลายเป็นขึ้นอยู่กับอารมณ์และความคิดของตัวตนที่แข็งแกร่งกว่าเขาทั้งหมด ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรกับเขา…
จะบีบก็ตาย…
จะคลายก็รอด…
ดังนั้นสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนคิดกระทำเป็นอันดับแรกตอนนี้ ก็คือการปกปิดอายุกระดูกของเขา
ตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในระนาบเทวโลก วารีเทพชำระโลกา ก็ได้กล่าวเตือนเขาไว้แล้วเช่นกัน ว่าหังจากมาถึงระนาบเทพแล้ว อย่าได้เปิดเผยอายุของไขกระดูกเขาง่ายๆ และให้ไปหาซื้อโอสถ ซ่อนกระดูก เพื่อใช้ปกปิดอายุของกระดูกเสีย
โอสถซ่อนกระดูก เป็นโอสถเทพขนานหนึ่ง และมีหลายระดับ…
และแต่ละระดับ เพียงทำให้อายุกระดูกผู้คนเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่อาจลดลงได้
‘โอสถซ่อนกระดูกไม่ใช่โอสถเทพที่ล้ำค่าอะไรมากมาย และยังด้อยกว่าโอสถอมตะบางประเภทด้วยซ้ำ…ไปหาซื้อโอสถซ่อนกระดูกก่อนดีกว่า’
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ออกจากโรงเตี๊ยมที่พักและเตร็ดเตร่ไปในเมืองวายุสวรรค์
ให้ความสนใจกับร้านขายโอสถเป็นอันดับแรก
หลังจากเดินเตร็ดเตร่ไปตลอดบ่าย ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าแทบทุกร้านมีโอสถซ่อนกระดูกขายอยู่ แต่มันมีถึงแค่ระดับ 3 เท่านั้น ไม่มีระดับที่สูงกว่านี้อีกแล้ว…
อย่างไรก็ตาม โอสถซ่อนกระดูกระดับ 3 ก็ตรงกับความต้องการของต้วนหลิงเทียนพอดี เพราะมันเพิ่มอายุให้เขาอย่างเหมาะสม
และโอสถซ่อนกระดูกระดับ 3 ก็เพิ่มอายุกระดูกให้เขา 2,000 ปี
ปัจจุบันอายุที่แท้จริงของต้วนหลิงเทียนนั้นมีเกือบ 700 ปีแล้ว เมื่อบวกเพิ่มไปอีก 2,000 ก็เท่ากับเขาจะมีอายุใกล้ 2,700 ปี…ด้วยวัยดังกล่าวเขาสามารถเลือกจะเข้าสู่ชั้นเรียน 9 ดาว หรือ 10 ดาวได้เท่านั้น
และถ้าหากอายุครบ 2,800 ปีบริบูรณ์ ยังไม่อาจผ่านการเกณฑ์ประเมินนักศึกษา 10 ดาว ก็จะถูกขับออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับทันที
‘ข้าสู่สถานศึกษาหมอกเร้นลับคราวนี้ ถึงแม้จะไม่อาจทำตัวเด่นได้…แต่ก็ไม่อาจทำให้แลดูอ่อนด้อย ไม่งั้นเรื่องจะออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับไปยังนิกายหมอกเร้นลับ จะใช้เวลานานเกินไป’
‘เช่นนั้นช่วงอายุ 2,700 ปีนับว่าเหมาะกับข้าที่สุด…ด้วยพลังของข้าตอนนี้ ก็ไม่ถึงกับเกินจริงอะไร’
ต้วนหลิงเทียนคิดไปในลักษณะดังกล่าว
ด้วยอายุเกือบ 2,700 ปี ถึงแม้จะแสดงพลังฝีมือออกมามากหน่อย จนเหนือกว่านักศึกษาคนอื่น แต่ก็ไม่ถือว่าเลิศล้ำกว่ากันมากนัก
ดังนั้นถึงแม้อาจจะดึงดูดความสนใจของผู้คนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างความอิจฉาริษยาใดๆมากเกินไป
‘แต่จะว่าไป โอสถซ่อนกระดูกนี่ก็แพงจริง…ระดับ 3 ที่เพิ่มอายุกระดูกได้ 2,000 ปี เม็ดนึงต้องใช้หินเทพ 200 ตำลึง…แถมแต่ละเม็ดก็มีผลแค่เดือนเดียวเท่านั้น’
ราคาของโอสถซ่อนกระดูก ทำให้ต้วนหลิงเทียนได้แค่ทอดถอนใจ
สุดท้ายผลมันก็คงอยู่แค่เดือนเดียว ไม่ได้อยู่ตลอด
แต่กระนั้นต้วนหลิงเทียนก็จำเป็นต้องซื้อ และเขาก็ไม่คิดจะเดินเข้าไปซื้อโต้งๆ แต่เลือกจะกลับมายังโรงเตี๊ยมที่พักก่อน จากนั้นก็ออกไปตอนฟ้ามืดอีกครั้ง ยังเดินไปยังสถานที่เปลี่ยวๆ และเปลี่ยนไปใส่ชุดคลุมสีดำสนิทปกปิดร่างกายมิดชิดก่อนค่อยไปซื้อ…
สิ่งนี้ทำเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยอะไรให้สืบสาว
สุดท้ายแล้วทีนี่ก็คือระนาบเทพที่เขาไม่คุ้นเคย ทำอะไรก็ต้องระวังไว้ก่อน
ต้วนหลิงเทียนไม่อยากพลาดท่าตกตายเอากลางทาง…
เค่อเอ๋อ ภรรยาเขายังรอให้เขาไปช่วยอยู่…
ในระนาบเทพแห่งนี้ ตัวตนขอบเขตเทพมีมากมายเหลือเกิน ถึงแม้เขาเองก็จะบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว แต่ก็เป็นแค่เทพขั้นต่ำเท่านั้น กล่าวได้ว่าพึ่งจะมาถึงจุดเริ่มต้นเส้นทางของเหล่าเทพบนระนาบเทพเท่านั้น…
ก็เหมือนกับพึ่งก้าวออกมาจากสระก่อเซียนอมตะในระนาบเทวโลก
ก็เหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในช่วง ขัดเกลาร่างกาย ในระนาบโลกะ
ยังเหลือหนทางให้ก้าวเดินอีกยาวไกล…
ในระนาบเทพแห่งนี้ มีมากมายที่เข่นฆ่าเขาได้แค่ปลายนิ้ว หากไม่ระวังตัวทุกย่างก้าว เผลอๆจวบจนตายยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ..
หลังจากปกปิดตัวตนไปซื้อโอสถซ่อนกระดูกมาแล้ว ต้วนหลิงเทียนที่เฝ้ารอวันรับสมัครนักศึกษาประจำปีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็ตระเวนไปรอบๆเมืองวายุสวรรค์ เพื่อดูว่ามีอะไรที่เขาซื้อได้หรือไม่…
ถึงตอนนี้เขาจะไม่แลกผลึกอมตะขั้นสูงที่เขามี แต่เขาก็มีหินเทพเก็บไว้ 90,000 ตำลึง มากพอให้จับจ่าใช้สอยไปสักพัก
กล่าวได้ว่าขอเพียงไม่จับจ่ายมือเติบจนเกินไป ก็มากพอให้เขาบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้แน่ๆ
‘อุปกรณ์เทพอะไรข้าไม่จำเป็นต้องซื้อ…ที่น่าสนใจก็มีลูกแก้วเงาลอยของยอดฝีมือที่ใช้กฏมิติ ถึงแม้จะมีผลึกสำนึกของผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่แล้วทำให้การทำความเข้าใจฏมิติของข้าไม่มีปัญหาอะไร แต่จุดหมายปลายทางใด ก็ใช่วว่าจะมีหนทางสายเดียว…’
‘บางที แม้จะเป็นการใช้กฏมิติของผู้ที่อ่อนด้อยกว่า ก็อาจทำให้ข้าได้ข้อมูลเชิงลึกอะไร เหมือนมองภาพมุมต่าง…ความก้าวหน้าในกฏมิติก็ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา’
ต้วนหลิงเทียนค้นพบเรื่องนี้ตั้งแต่อยู่ในระนาบเทวโลก
ที่เห็นได้ชัดๆก็คือตอนที่เขาไปใช้ผาบรรพกาลที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน บันทึกฉากเรื่องราวของผู้ใช้กฏมิติที่นั่นช่วยเขาได้ไม่น้อย
‘นอกจากลูกแก้วเงาลอย ก็มีพวกโอสถเทพกับผลไม้เทพที่ช่วยส่งเสริมการบ่มเพาะ…จริงสิยังมีจานค่ายกลต่างๆอีกด้วย สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อกรบ่มเพาะไม่น้อย’
เมื่อมาถึงระนาบเทพแล้ว จานค่ายกลทั้งหลายที่ต้วนหลิงเทียนเคยใช้ในระนาบเทวโลก มันก็ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่มันแตกต่างจากพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทวโลก ไม่ว่าจะความหนาแน่น คุณภาพ ก็ทรงพลังน่าเกรงขามกว่ากันมาก…
อย่างจานค่ายกลรวมวิญญาณที่เขาเคยใช้ในระนาบเทวโลก หากมาเปิดใช้ที่นี่ มันก็จะพังเพราะพลังวิญญาณฟ้าดินของที่นี่ทันที
‘ยังมีเวลาอีก 2 เดือน ก่อนที่สถานศึกษาหมอกเร้นรับจะเปิดรับสมัครศิษย์…’
ในช่วง 2 เดือนแห่งการรอคอย ต้วนหลิงเทียนก็ได้ตระเวนซื้อหาโอสถเทพและผลไม้เทพที่เขาใช้ได้หมดสิ้น จะร้านโอสถเล็กหรือใหญ่เขาก็เข้าถามไม่เว้น และก็หาซื้อได้แค่โอสถเทพเท่านั้น…
สำหรับผลไม้เทพ เขาไม่เจอร้านไหนขายเลย
ผลไม้เทพนั้น แน่นอนว่าให้ผลดีกว่าโอสถเทพ
“ไม่มีโอสถเทพที่ดีกว่านี้แล้วหรือ?”
ในร้านโอสถแห่งหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ถามเถ้าแก่ร้านด้วยความผิดหวัง
ได้ยินคำถามดังกล่าว เถ้าแก่ร้านก็คลี่ยิ้มแห้งๆ “ท่านลูกค้า โอสถเทพที่ดีกว่านี้ ก็ถูกตระกูลราชาเทพทั้งหลายกว้านซื้อไปหมดแล้ว…ช่วงนี้ของทุกปี ท่านเองก็น่าจะรู้ว่าเป็นช่วงที่ผู้คนต้องการเม็ดยาดีๆมากที่สุด”
“ผลไม้เทพที่ท่านต้องการก็เช่นกัน”
“ในเมืองวายุสวรรค์เรา กว่าครึ่งของโอสถเทพและผลไม้เทพดีๆ ก็ตกไปอยู่ในมือของตระกูลราชาเทพและตระกูลย่อยไม่เว้นขุมกำลังรองลงมา…และอีกครึ่งก็ตกไปอยู่ในมือของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ”
“อย่างแรกนั้นท่านอาจไปพอขอซื้อต่อได้หากจ่ายราคาสูงมากพอ…แต่อย่างหลัง เกรงว่าจะมีสาสัมพันธ์กับคนระดับสูงในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ หาไม่แล้วคงยากจะขอซื้อต่อได้”
เถ้าแก่ร้านโอสถ ก็อธิบายให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างอดทน
“หากสู้ราคาสูงหน่อย ก็ขอซื้อต่อได้รึ?”
ต้วนหลิงเทียนผงะไปเล็กน้อย
“มิผิด”
เถ้าแก่ร้านพยักหน้า “พวกตระกูลกับขุมกำลังระดับราชาเทพ ล้วนมีร้านโอสถของตัวเอง…บางครั้งเพื่อดึงดูดลูกค้ามันก็จะนำออกมาขาย ไม่ก็จัดประมูลอะไร…และช่วงนี้ของทุกปีโรงประมูลของแต่ละตระกูลก็นับว่าจะคึกคักที่สุด”
“และขึ้นชื่อว่าโรงประมูล หากคิดจะดึงดูดผู้คน ก็ต้องมีของดีมาออกประมูล”
หลังได้ยินคำพูดของเถ้าแก่ร้าน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้า เขาเองก็เข้าใจการกระทำของขุมกำลังระดับราชาเทพเหล่านี้
“แล้วช่วงนี้เล่า มีงานประมูลที่ไหนรึเปล่า?”
ต้วนหลิงเทียนถามเจ้าของร้าน
“อีกครึ่งเดือนตระกูลโจวจะจัดงานประมูล…หากท่านลูกค้าสนใจลองแวะไปดูได้”
เถ้าแก่ร้านหัวเราะ
“จะเข้าร่วมงานประมูลที่ว่า มันมีข้อกำหนดอะไรหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนถามอีกครั้ง
“ไม่มีข้อกำหนดใด เพียงจ่ายหินเทพเพื่อเข้าไปเท่านั้น…ที่นั่งในโถงรวมจ่ายหินเทพ 10 ก้อน สำหรับห้องประมูลชั้นบน แต่ละห้องต้องใช้หินเทพ 1,000 ก้อน”
พอเถ้าแก่ร้านกล่าวถึงจุดนี้ มันก็ส่ายหัวไปมา “กล่าวไป ทุกครั้งที่ตระกูลต่างๆจัดประมูล เอาแค่ค่าเข้างานประมูลของพวกมัน ก็รวยแล้ว…”
เรื่องที่เถ้าแก่ร้านพูดต้วนหลิงเทียนไหนเข้าใจดี
อีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ ตระกูลโจวจะจัดประมูล
ส่วนการเปิดรับสมัครศิษย์ของสถานศึกษา จะเริ่มในอีก 1 เดือน
‘หลังจากนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปไหนอีก…บ่มเพาะพลังรองานประมูลนั่น จากนั้นไม่ทันไรสถานศึกษาก็จะเปิดรับสมัครศิษย์…’
หลังกลับมาถึงโรงเตี้ยมที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็คิดจะออกไปอีก 2 ครั้ง ครั้งแรกก็ไปร่วมงานประมูลตระกูลโจวที่จะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ ส่วนอีกครั้งก็ไปสมัครสถานศึกษาหมอกเร้นลับ
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากผ่านการคัดเลือกและเข้าสู่สถานศึกษาหมอกเร้นลับได้แล้ว เขาก็ต้องพักอยู่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ เพราะที่นั่นมีข้อกำหนดไว้ว่านักศึกษาจำต้องพักในนั้น แต่ละเดือนก็อนุญาตให้ออกมาข้างนอกได้ 3 วัน
‘ครึ่งเดือนต่อไปจาก ด้วยโอสถเทพที่ข้าซื้อมา ก็น่าจะปรับด่านพลังเทพขั้นต่ำได้เสถียรมากยิ่งขึ้น…’
ถึงแม้ผลของโอสถเทพที่ซื้อมาจะไม่ได้ดีเท่าผลไม้เทพ แต่อาศัยปริมาณเข้าว่าก็พอได้อยู่ ดังนั้นต้วนหลิงเทียนมั่นใจว่าหลังจากนี้ครึ่งเดือน เขาสมควรควบรวมด่านพลังเทพขั้นต่ำได้สมบูรณ์
ถึงตอนนั้นเขาก็เริ่มสั่งสมพลังเพื่อมุ่งสู่ขอบเขตเทพขั้นกลางได้
แน่นอนว่าแค่เริ่มต้นมุ่งสู่ขอบเขตเทพขั้นกลางเท่านั้น
พอถึงตอนนั้น ก็ยังอีกไกลกว่าเขาจะบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นกลาง
…
คลื่นลมในเมืองวายุสวรรค์ช่วงนี้นับว่าสงบ
และไม่มีใครรู้เลยว่าในเมืองวายุสวรรค์ของพวกมันตอนนี้ มีอัจฉริยะดั่งสัตว์ประหลาดคนหนึ่งมาถึงตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ยังเป็นอัจฉริยะที่ต่อให้เป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในคฤหาสน์ตงหลิงก็ยังอยากแย่งตัว!