WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3641 ถูเฟิง
ณ จวนตระกูลจ้ง
ถึงแม้ว่าค่ำคืนจะมาเยือนได้สักพักแล้ว หากแต่แสงไฟในห้องโถงใหญ่ของตระกูลจ้งก็ยังไม่ดับลง อีกทั้งเหล่าอาวุโสระดับสูงในตระกูลจ้ง ไม่เว้นนายท่าน 4 จ้งซื่อ กับนายท่าน 2 จ้งเอ้อ ของตระกูลจ้งก็มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ชื่อของเหล่าอาวุโสตระกูลจ้ง เป็นอะไรที่ผู้คนในเมืองวายุสวรรค์กล่าวขานถึงนานมากแล้ว ว่าช่างเรียกหาง่ายยิ่ง…
ผู้นำตระกูลจ้งคนปัจจุบัน ไม่เพีงแค่มีฐานะผู้นำตระกูลเท่านั้น ยังเป็นพี่ชายคนโตในบรรดาพี่ร้องสายเลือดหลักของตระกูลจ้ง และมีนามว่า ‘จ้งต้า’ ส่วนน้องชายคนที่สองที่เป็นน้องชายร่วมบิดามารดาเดียวกันแถมยังเป็นพ่อของ จ้งเค่อฉี เรียกว่า ‘จ้งเอ้อ’ น้องคนที่ 3 เรียกว่า ‘จ้งซัน’ น้องคนที่ 4 นามว่า ‘จ้งซื่อ’ นอกจากนั้นยังมีน้องสาวคนที่ 5 เรียกว่า ‘จ้งอู่!’ ทว่าน้องสาวคนที่ 5 เมื่อโตขึ้นก็เปลี่ยนชื่อ และบัดนี้ก็ได้แต่งงานกับผู้อาวุโสสายในคนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับ
ลำพังฐานะผู้อาวุโสสายในของนิกายหมอกเร้นลับของสามีนาง อาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรมากมาย ทำให้สถานะในนิกายไม่ได้สูงมากนัก แต่ปัญหาก็คืออีกฝ่ายกลับมีบิดาอันประเสริฐ วึ่งดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายหมอกเร้นลับ ยังเป็นตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพอันทรงพลัง
ด้วยเหตุนี้สำหรับตระกูลจ้งแล้ว น้องสาวคนที่ 5 นาม จ้งอู่ จึงถือเป็นไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลจ้ง
ถึงแม้จะมีคนตระกูลจ้งอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับมากมาย แต่สถานะของคนเหล่านั้นก็ไม่ได้สูงอะไร ยังด้อยกว่าฐานะของสามีจ้งอู่มาก ไม่ต้องกล่าวถึงอาวุโสสูงสุดนิกายหมอกเร้นลับที่เป็นจอมราชันเทพอันทรงพลังผู้นั้นด้วยซ้ำ
“ป่านนี้น้อง 5 เองก็คงจะได้ยินข่าวแล้วกระมัง…”
จ้งซัน กับจ้งซื่อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เรียงรายเป็นแถว หันไปมองถาม อาวุโสใหญ่ตระกูลจ้งด้วยสีหน้ามืดมน เสียงหนัก
อาวุโสใหญ่พยักหน้าเบาๆ
“ด้านพี่ใหญ่กับพี่รองที่ไปด้านนอกยังไม่กลับ ตอนนี้เองก็ทราบเรื่องราวแล้ว…ทั้ง 2 คนกำชับข้ามาว่า ให้พวกเราลองพายามดึงตัวต้วนหลิงเทียนคนนั้นสุดกำลังเท่าที่จะทำได้ แต่หากพวกเราไม่อาจทำให้มันกลายเป็นคนของพวกเราได้ ก็ให้ทำลายมันเสีย!”
จ้งซันกล่าว
พอได้ยินคำพูดของจ้งซัน หลายคนก็อดชักสีหน้าแปลกใจขึ้นมาไม่ได้ พวกมันเองก็หลงคิดว่าจะเริ่มดำเนินการหาวิธีเล่นงานต้วนหลิงเทียนทันทีเสียอีก ไม่คิดเลยว่าผู้นำกับรองผู้นำจะเลือกให้โอกาสอีกฝ่ายก่อน
“ข้าเกรงว่ามันไม่มีทางเข้าร่วมกับพวกเรา และปล่อยให้พวกเราใช้ประโยชน์จากมันได้แน่…”
จ้งซื่อที่นั่งบนเก้าอี้ส่ายหัวไปมา “เค่อฉีได้รายงานลักษณะของศิษย์ใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับนามต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมาแล้ว แถมจากข้อมูลคนของพวกเราในสถานศึกษา…บ่งชี้ชัดว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นราวกับมีดวงตางอกเงยบนหัวก็ไม่ปาน”
“ที่สำคัญ ตระกูลราชาเทพอื่นๆที่สมควรได้รับทราบข่าวแล้วเหมือนกัน ไม่มีทางพลาดโอกาสดึงตัวมันไปเข้าร่วมแน่…กอปรกับเรื่องที่เจ้าหนูเค่อฉีไปข่มขู่มันเอาไว้ ทั้งหมดนี่ ข้าเกรงว่าคงไม่มีโอกาสให้ตระกูลจ้งของพวกเราได้ฉกฉวยแล้วเรื่องจะรับตัวมัน ข้าว่ายากยิ่งกว่าให้คนธรรมดาปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก”
จ้งซื่อกล่าวความเห็นออกมาเสียงเข้ม
จ้งซื่อ ก็คือนายท่าน 4 ตระกูลจ้ง ที่เคยประมูลแย่งโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งกับต้วนหลิงเทียนในงานประมูลตระกูลโจวเมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่สุดท้ายก็เป็นต้วนหลิงเทียนที่ได้โอสถเทพทั้ง 3 ไป ทำให้จ้งซื่อหมั่นไส้ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่มันเห็นถึงพลังอันแข็งแกร่งของอวี๋ชิวซวนที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน และจากท่าทีของนางที่มีต่อต้วนเฉียวอวี่ที่เรียกหาต้วนหลิงเทียนว่าพี่ชาย จ้งซื่อ ก็ไม่เหลือความกล้าคิดล้างแค้นอันใด
และเป็นธรรมดาว่าจนบัดนี้ จ้งซื่อ ก็ยังไม่รู้เลย ว่าคนที่แย่งประมูลโอสถเทพเจี๋ยอี๋ปิ่งกับมันในงานประมูตระกูลโจวเมื่อครึ่งเดือนก่อน ก็คือนักศึกษา 10 ดาวคนใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับนามว่า ต้วนหลิงเทียน!
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องลองพยายามดูก่อน…แต่หากเจ้าเด็กนั่นมันไม่รู้ว่าอะไรดีต่อตัว เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้แค่หาวิธีทำลายมันเสีย!”
จ้งซันกล่าวคำเสียงขรึม “ตามข่าที่ได้รับมา พรสวรรค์และความเข้าใจของต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมิใช่ชั่ว เป็นธรรมดาว่ามันต้องเข้าตา ‘มู่หรงสุยเฟิง’ คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับผู้นั้นแน่…ตอนนี้ข้าหวังก็แต่มู่หรงสุยเฟิงผู้นั้น ไม่มีความคิดรับเจ้านั่นเป็นศิษย์…หากมู่หรงสุยเฟิงรับเจ้าเด็กนั่นเป็นศิษย์ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าพวกเราจักมิอาจแตะต้องมันได้อีกต่อไป”
“จริง มู่หรงสุยเฟิงผู้นั้น มีผู้ใดไม่รู้ว่ามันตัวคุ้มคลั่งบ้าง..”
“ในอดีตตอนที่ลูกศิษย์ของมันคนหนึ่งถูกกองกำลังอันธพาลระดับราชาเทพเข่นฆ่า มันถึงกับยอมเสียเวลาเป็นร้อยๆปี เพือ่ไล่ฆ่าผู้คนในกองกำลังอันธพาลระดับราชาเทพนั่นจนหมด อีกทั้งเพื่อตัดรากถอนโคนมันยังฆ่าทุกคนที่อันธพาลพวกนั้นรู้จักไม่มีเหลือ…กับคนเช่นนี้ หากไม่จำเป็นพวกเราอย่าได้ไปล่วงเกินยั่วยุมันประเสริฐกว่า”
…
คำพูดของจ้งซันก็ทำให้สีหน้าท่าทีของระดับสูงตระกูลจ้งเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
“เจ้า 3 เรื่องที่เจ้าว่ามาข้าเกรงว่าจักไม่มีทางเป็นไปได้”
ทว่าทันใดนั้นเอง จ้งซื่อพลันส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวสืบต่อว่า “เท่าที่ข้ารู้มามู่หรงสุยเฟิงผู้นั้น หลังจากที่ลูกศิษย์ของมันถูกฆ่าตาย มันก็ได้ลั่นวาจาไว้ว่าจักมิรับผู้ใดเป็นศิษย์อีก…แถมเรื่องนี้ข้ายังได้ทราบมาจากคนในนิกายหมอกเร้นลับที่อยู่ในเหตุการณ์ เช่นนั้นต้องไม่แปลกปลอมเป็นแน่”
“อืม เรื่องนี้ข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน”
อาวุโสใหญ่พยักหน้า “เห็นว่าเพราะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้ ผู้แซ่มู่หรงนั่นถึงเลือกออกจากนิกายมายังเมืองวายุสวรรค์ของพวกเราและรับตำแหน่งคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ…ที่มันออกจากนิกายหมอกเร้นลับ เพราะมันอยากเปลี่ยนที่ทางด้วยมิอาจทนอยู่เห็นสถานที่ๆมันเคยอยู่กับศิษย์ที่ตาย สุดท้ายที่นิกายกฌมีความทรงจำของมันกับศิษย์มากมาย มันย่อมไม่อยากทนปวดใจซ้ำๆ”
“โดยปกติแล้ว มู่หรงสุยเฟิงนั่นไม่น่าจะผิดคำพูดได้…ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับศิษย์เพียงคนเดียวที่ล่วงลับของมัน ข้าเชื่อว่ามันพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น”
หลังจากที่จ้งซื่อกับอาวุโสใหญ่ค่อยๆเผยข้อมูลของหมู่หรงสุยเฟิงออกมาทีละเรื่องๆ ทุกคนก็พยักหน้ารับรู้ “ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
ในเมืองวายุสวรรค์ หรือแม้แต่ภายในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเอง ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้พวกมันหวาดกลัว พอดีคณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิงก็เป็นหนึ่งในนั้น…อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่อีกฝ่ายไม่รับต้วนหลิงเทียนเป็นศิษย์ แม้พวกมันจะฆ่าต้วนหลิงเทียนทิ้ง ขอเพียงไม่ให้เหลือหลักฐานและร่องรอยให้สืบสาวอันใด มู่หรงสุยเฟิงก็ไม่อาจทำอะไรพวกมันได้…
และต่อให้มีหลักฐานว่าเป็นฝีมือพวกมัน อย่างดีพวกมันก็ผลักไสพวกเดนตายของตระกูลออกไปรับโทษเป็นตัวตายตัวแทน
ในเวลาเดียวกัน
ตระกูลระดับราชาเทพอีกหลายตระกูลในเมืองวายุสวรรค์ ไม่เว้นตระกูลโจวก็กำลังประชุมหารือเช่นกัน และหัวข้อในการหารือของพวกมันก็วนเวียนอยู่แต่ นักศึกษา 10 ดาวคนใหม่ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ต้วนหลิงเทียน
“พยายามซื้อใจต้วนหลิงเทียนผู้นั้นและให้มันเข้าร่วมกับตระกูลเราให้ได้…อัจฉริยะเช่นมัน วันหน้าเมื่อเข้านิกายหมอกเร้นลับไป ก็ต้องประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แน่…”
“ขอเพียงมันเต็มใจเข้าร่วมตระกูลของพวกเรา…มิว่ามันต้องการอันใด ให้มันพูด!”
…
ดูเหมือนว่าตระกูลราชาเทพทั้งหลาย ล้วนมุ่งมั่นจะซื้อใจต้วนหลิงเทียนให้ได้
และเหตุไฉนที่พวกมันถึงได้กระตือรือร้นกันนัก ก็เพราะพรสวรรค์กับความเข้าใจที่ต้วนหลิงเทียนเผยออกมา…กับรุ่นเยาว์ที่ยังมีอายุไม่ถึง 2,800 ปี แต่สามารถเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 1 ใน 4 กฏสูงสุดได้ถึง 3 ประการแล้ว ยังมีด่านพลังฝึกปรือเทพขั้นกลางนั่นอีก แม้จะเป็นในนิกยหมอกเร้นลับเอง ก็ถือว่าเป็นชนชั้นสุดยอดอัจฉริยะแล้ว
ต่อให้เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่นิกายหมอกเร้นลับ อย่างดีความสำเร็จในวัยเดียวกันก็แค่พอๆกับต้วนหลิงเทียน ไม่ได้เหนือกว่า
และอัจฉริยะผู้นั้นก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นว่าที่ประมุขคนต่อไปของนิกายหมอกเร้นลับ!
ในขณะที่ทั้งเมืองวายุสวรรค์กำลังสะท้านสะเทือนเพราะข่าวของต้วนหลิงเทียน ด้านสถานศึกษาหมอกเร้นลับหลังคึกคักฮือฮากันพักหนึ่ง ก็ค่อยๆหวนคืนสู่ความสงบ
อย่างไรก็ตาม ในศาลาหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ใจกลางสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ปรากฏร่างนั่งอยู่บนหลังคาศาลา ในมือถือไว้ด้วยสุราไหหนึ่ง ยังยกซดอย่างองอาจ ปล่อยให้สุราไหลย้อยลงมาที่มุมปาก ราวกับไม่รู้จักเสียดาย
เป็นชายวัยกลางคนในอาภรณ์ขาวแลดูสง่างาม ใบหน้าหล่อเหลา เพียงแต่เส้นผมที่ยาวของมันถูกปล่อยให้กระเซอะกระเซิง จึงแลดูมอซออยู่บ้าง
มันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิง
“เฉียนเอ้อ…วันนี้สถานศึกษาหมอกเร้นลับปรากฏนักศึกษาเข้าใหม่คนหนึ่ง และทั้งๆที่เป็นวันแรกของมัน แต่มันกลับก่อวีรกรรมจนผู้คนทั้งหมดยอมรับ กลายเป็นนักศึกษาอันดับ 1 ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับไปแล้ว…มันยังนับว่าเก่งกาจยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก”
“หากวันนี้เจ้ายังอยู่…อาจารย์ของเจ้าผู้นี้มิพ้นต้องรับมันเป็นศิษย์แน่ ให้มันเป็นศิษย์น้องของเจ้า…”
“แต่พอเจ้าจากไปแล้ว อาจารย์ได้ลั่นวาจาไว้ว่าจักมิรับผู้ใดเป็นศิษย์อีก…เช่นนั้น ให้อาวุโสอวิ๋นฮุ่ยเกลี้ยกล่อมอาจารย์เช่นไร อาจารย์ก็มิคิดรับมันเป็นศิษย์…”
“อัจฉริยะเช่นมัน…รอให้มันไปนิกายหมอกเร้นลับ แล้วให้เหล่าผู้เฒ่าพวกนั้นแก่งแย่งกันเถอะ”
“บางทีอาจไม่ต้องรอจนมันเข้านิกายด้วยซ้ำ…อีกไม่นานพอผู้เฒ่าเหล่านั้นทราบข่าว มิพ้นต้องชิงส่งคนมาทาบทามรับมันเป็นศิษย์ล่วงหน้าแน่…”
…
เบื้องหลังสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็คือนิกายหมอกเร้นลับ
มู่หรงสุยเฟิงที่ดำรงตำแหน่งคณบดีของสถานศึกษา ก็เป็นผู้ที่คอยรับผิดชอบและดูแลสถานศึกษาหมอกเร้นลับแห่งนี้แต่เพียงผู้เดียว
ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับได้ตรากฏไว้ว่า
นักศึกษาทุกคนในสถานศึกษา ไม่ว่าจะเก่งกาจแค่ไหน ก็ต้องมีอายุอย่างน้อย 3,000 ปีเสียก่อน ถึงจะเข้าไปเป็นศิษย์นิกายหมอกเร้นลับได้
และในระหว่างที่ยังอายุไม่ถึง ไม่ว่าผู้ใดในนิกายหมอกเร้นลับจะต้องตาพึงใจหมายรับนักศึกษาเป็นศิษย์ ก็ไม่อาจมาด้วยตนเองได้ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้กระทบต่อการฝึกฝนบ่มเพาะของนักศึกษา
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีกฏดังกล่าวตราไว้ แต่ไม่วายที่มีบางคนหาช่องทางฉกฉวยโอกาสจนได้
อย่างเช่นการส่งคนอื่นไปในนามของตัวเองเพื่อชักชวนและทาบทามักศึกษาที่หมายตาไว้ก่อน
และในประวัติศาสตร์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็มีเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งแล้ว
“ปึง! ปึง!”
ต้วนหลิงเทียนนั้น หลังจากคว้า 1 ใน 5 บ้านลานที่อยู่ในเขตหอกพักชั้นสูงมาจากจ้งเค่อฉีได้ เขาก็ปิดด่านบ่มเพาะตัดขาดจากโลกภายนอกไปเลย ไม่เข้าไปฟังอาจารย์สอนเรื่องราวต่างๆ ไม่ติดต่อหาผู้ใด และไม่มีผู้ใดมาหาจนเมื่อเวลาผ่านไปนานพอสมควร วันหนึ่งก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นราวกลองศึก ปลุกสติเขาที่จมจ่อมอยู่ในภวังค์บ่มเพาะให้ตื่นขึ้น
แน่นอนว่าเมื่อตื่นขึ้นมา หว่างคิ้วก็ขดย่นเป็นปม แลดูไม่สบอารมณ์อย่างแรง
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครหากถูกรบกวนตอนปิดด่านบบ่มเพาะ ก็หัวเสียกันทั้งสิ้น
‘ใครมันมากวนข้ากัน…เท่าที่ข้าจำได้ ดูเหมือนนี่จะยังถึงเวลาทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่ใช่หรือไร?’
สถานศึกษาหมอกเร้นลับนั้น นอกจากจะจัดเตรียมอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้างต่างมาชี้แนะนักศึกษาแล้ว ก็จะทำการจัดการทดสอบขึ้นทุกๆช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อวัดระดับความสามารถของนักศึกษาทุกชั้นในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ และการทดสอบดังกล่าวก็มักจะเป็นการแข่งขันฆ่าสัตว์อสูร ซึ่งที่ทางสำหรับการล่าก็จะเป็นพื้นที่ป่าหุบเขานอกเมืองวายุสวรรค์
เท่าที่ต้วนหลิงเทียนทราบมา เหมือนสถานศึกษาหมอกเร้นลับจะพึ่งทำการทดสอบไปไม่นาน และเหลือระยะเวลาพอสมควรถึงจะมีการทดสอบเกิดขึ้นอีกครั้ง
“แอ๊ด–”
พอต้วนหลิงเทียนเปิดประตูบ้านออกมา เขาก็พบเห็นร่าง 2 ร่างเหินอยู่กลางหาวบริเวณน่านฟ้าหน้าประตูบ้านลานของเขา และทั้งคู่ก็กำลังมองจ้องเขาอยู่
ผู้ที่เหินร่างนำหน้าเป็นชายในชุดคลุมสีน้ำเงินโดยสวมเสื้อตัวในสีน้ำตาล ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของมันบัดนี้หว่างคิ้วกลับขมวดย่นยู่ อายุอานามแลแล้วราวๆ 30 กว่าปี เมื่อมันเห็นเขาเดินออกจากบ้านเข้ามาในลาม ก็เอ่ยถามทันที “เจ้าคือ ต้วนหลิงเทียนกระมัง?”
น้ำเสียงเอ่ยถามของชายหนุ่มคลุมน้ำเงินผู้นี้ ฟังดูไม่แยแสอีกทั้งยังแฝงความปรามาสอยู่บ้าง
“มีธุระอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายชุดคลุมน้ำเงินผ่านๆ เอ่ยถามออกไปด้วนน้ำเสียงเฉยเมยแฝงรำคาญ
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินก็เหลือบมองสำรวจต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย ค่อยเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงไร้แยแสเหมือนก่อน “ข้าคือศิษย์นิกายหมอกเร้นลับ ถูเฟิง อาจารย์ของข้า ผู้อาวุโส 2 แห่งนิกายหมอกเร้นลับคิดรับเจ้าเป็นศิษย์…เจ้ามีอายุถึงกำหนดเข้านิกายเมื่อไหร่ ก็จงใช้ลูกแก้ววิญญาณลูกนี้ติดต่อข้ามาเสีย จากนั้นข้าจะไปรับเจ้าและพาไปพบอาจารย์”
พอถูเฟิงกล่าวจบ มันก็โยนลูกแก้ววิญญาณให้ต้วนหลิงเทียนลูกหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อลูกแก้ววิญญาณดังกล่าวลอยเข้ามาใกล้ต้วนหลิงเทียน ก็ถูกพลังไร้สภาพของต้วนหลิงเทียนผลักกลับ “ไม่จำเป็น…ถึงแม้ว่าข้าจะไปยังนิกายหมอกเร้นลับ แต่ข้าต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดคำนับผู้ใดเป็นอาจารย์”
“อย่างไรเสีย ฝากเจ้าไปขอบคุณอาวุโส 2 ผู้เป็นอาจารย์เจ้าด้วย ว่าข้าต้วนหลิงเทียนขอขอบคุณในความกรุณาครั้งนี้”