WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3651 คะแนนทดสอบ 20,000 แต้มนั้น
สำหรับการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวของสถานศึกษาหมอกเร้นลับแล้ว มันเป็นดั่งขีดจำกัดอย่างหนึ่ง ในอดีตนักศึกษา 10 ดาวที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 5 คนของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็เคยข้ามผ่านมันไปได้แล้ว แต่ก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นนานๆครั้งเท่านั้น
และหากคิดจะข้ามผ่านขีดจำกัดดังกล่าว มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังฝีมืออย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องพึ่งพาโชคอีกด้วย
หากโชคดีก็สามารถข้ามขีดจำกัด 20,000 แต้มได้ แต่ถ้าหากโชคร้ายไม่เจอสัตว์อสูรมากพอก็คงยากจะข้ามผ่าน
ในการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวครั้งล่าสุดไม่มีผู้ใดข้ามขีดจำกัดคะแนนทดสอบดังกล่าวได้แม้แต่คนเดียว และคะแนนทดสอบสูงสุดก็แค่ 19,000 แต้มเท่านั้น ผู้ที่ได้ก็คว้าอันดับ 1 ในการทดสอบไปครอง “เกิน 20,000 แต้ม…หากเป็นการทดสอบครั้งก่อน เกรงว่าเจ้าคงได้ที่หนึ่งแน่แล้ว”
หลังได้ยินความสำเร็จของโหวชิ่งหนิง ติงเหยียนก็ได้แต่กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
“ก็อย่างที่เจ้าพูด…หากเป็นครั้งก่อน”
ได้ยินคำพูดของติงเหยียน โหวชิ่งหนิงก็คลี่ยิ้มเจื่อนๆออกมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อนพลางกล่าว “หลังจากอาจารย์อวี๋เห็นคะแนนทดสอบในป้ายเก็บคะแนนของเจ้าก็ถึงกับเสียอาการอย่างหาดูได้ยาก…เกรงว่าคะแนนทดสอบของเจ้าคงมากถึงขั้นอาจารย์อวี๋เองก็คิดไม่ถึงเป็นแน่”
“และหากกระทั่งอาจารย์อวี๋ยังคิดไม่ถึง…ข้าเชื่อว่ามันต้องมากกว่า 20,000 แต้มไปไกลเลยกระมัง?”
“ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ…ว่าคะแนนที่ว่าจะมากขนาดไหน” ขณะกล่าวนั้น แม้โหวชิ่งหนิงจะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ดูจากสายตาที่มองต้วนหลิงเทียนไม่วางตาราวกับจะบอกใบ้ให้ตอบ เห็นได้ชัดว่าอยากรู้ไม่น้อยว่าต้วนหลิงเทียนเก็บคะแนนได้กี่แต้มกันแน่
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนยังทำเป็นหูทวนลม
เห็นดังนั้น โหวชิ่งหนิงก็ทำอะไรไม่ได้
ด้านติงเหยียนพอได้ยินคำพูดเลียบๆเคียงๆของโหวชิ่งหนิง มันก็อดหันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนไม่ได้ ในแววตาฉายชัดถึงความคาดหวังระคนอยากรู้นัก
ในปัจจุบันก็ไม่ได้มีแค่พวกมันสองคนเท่านั้นที่อยากรู้ คนอื่นๆเองก็มองมาทางต้วนหลิงเทียนด้วยความอยากรู้เช่นกัน
และไม่ใช่แค่นักศึกษา กระทั่งอาจารย์ทั้ง 3 รวมถึงจู้ชุนก็อยากรู้ไม่ต่าง
ยังมีนักศึกษาบางคนหันไปทายคะแนนกับเพื่อน “เฮ่ พวกเจ้าว่าต้วนหลิงเทียนจะทำคะแนนทดสอบได้กี่แต้มกัน…ถึงขั้นทำให้อาจารย์อวี๋เสียอาการขนาดนี้?”
“ข้าจำได้ว่าเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนหงจวินทำคะแนนทดสอบได้ 24,000 กว่าแต้ม อาจารย์อวี๋ยังไม่ได้เสียอาการเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
“เจ้าจะบอกว่า…ต้วนหลิงเทียนอาจทำคะแนนได้เกิน 30,000 แต้มเช่นนั้นหรือ?”
“อาจเป็นได้…สุดท้ายพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนก็เป็นอะไรที่พวกเรายอมรับแล้วว่าแข็งแกร่งที่สุด แม้แต่หงจวินที่ใช้อุปกรณ์เทพแล้ว ยังทำได้แค่ต้านทานรับกระบวนท่าต้วนหลิงเทียนที่ไม่ได้ใช้ศาสตราใดๆได้อย่างเต็มกลืนเท่านั้น”
…
ในขณะที่เหินร่างติดตามอวี๋เชียนซาน นักศึกษาก็กล่าวคาดเดากันไปเรื่อบ ไม่ทันไรก็กลับมาถึงสถานศึกษาหมอกเร้นลับแล้ว
“พรุ่งนี้เช้า คะแนนการทดสอบก็จะถูกติดป้ายประกาศแล้ว…ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะได้รู้กันเสียทีว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนได้คะแนนทดสอบกี่แต้มกันแน่!”
“ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอชมคะแนนพรุ่งนี้ยิ่ง”
“เฮ่อ มารดามันไฉนถึงน่าลุ้นนักนะ”
“ว่าแต่ ทำไมไม่มีใครไปถามต้วนหลิงเทียนดูเลยเล่า?”
“เจ้าก็ไปสิ…หากผู้อื่นบอกเจ้า ข้ายอมเป็นข้ารับใช้เจ้าวันนึงเลย มิเห็นหรือไรกระทั่งติงเหยียนกับโหวชิ่งหนิงยังไม่รู้? เห็นได้ชัดว่าอาจารย์อวี๋กับต้วนหลิงเทียนตั้งใจให้ผู้อื่นลุ้นเอา”
“เช่นนั้นกลับบ้านไปนอนรอเถอะ”
…
หลังจากที่มาถึงโถง 10 ดาวแล้ว นักศึกษาทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับที่พัก ต้วนหลิงเทียนเองก็คิดจะกลับไปยังที่พักของตัวเองเช่นกัน
“ต้วนหลิงเทียน” อย่างไรก็ตามในขณะที่ต้วนหลิงเทียน โหวชิ่งหนิง และติงเหยียนกำลังจะกลับที่พักนั้น อวี๋เชียนซานก็กล่าวรั้งต้วนหลิงเทียนเอาไว้ “เจ้ามากับข้า…ท่านคณบดีต้องการพบเจ้า”
ได้ยินคำเรียกหาของอวี๋เชียนซาน ต้วนหลิงเทียนก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เดินตามอวี๋เชียนซานไป
ด้านโหวชิ่งหนิงกับติงเหยียน ก็ทำได้แค่แยกย้ายกันกลับที่พักของตัวเองไปก่อน
“เหอะๆ ข้าคิดจะตะล่อมถามต้วนหลิงเทียนอีกครั้งขณะกลับสักหน่อย ว่าที่แท้ได้คะแนนทดสอบเท่าไหร่กันแน่…ไม่คิดเลยว่าท่านคณบดีจะเรียกต้วนหลิงเทียนเข้าพบ”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนแยกตัว ติดตามอวี๋เชียนซานไป โหวชิ่งหนิงก็กล่าวพึมพำออกมาพร้อมรอยยิ้มแหยๆ
ติงเหยียนเพียงเงียบไม่พูดอะไร
… ต้วนหลิงเทียนติดตามอวี๋เชียนซานผ่านเขตหอพักระดับสูงของนักศึกษา จนมาถึงพื้นที่ใจกลางอันมีหมอกหนาปกคลุม และพอผ่านม่านหมอกเข้ามา เขาก็พบเจอโลกอันสงบร่มรื่นเต็มไปด้วยแมกไม้บุปผานานาพรรณ ยังมีวิหกตัวเล็กๆโผบินเป็นฝูง ขับขานเสียงแจ้วเสนาะหู
สถานที่แห่งนี้แม้มองจากภายนอกดูแล้วไม่น่ามีอาณาบริเวณใหญ่โตอะไร ไม่คิดมันกลับเป็นสถานที่ประหนึ่งถ้ำสวรรค์ ที่มีโลกอันสงบรมรื่นดำรงอยู่ และมองไปก็พบอาคารปลูกสร้างเรียงรายเป็นสัดส่วนสบายตา เมื่อมองผ่านม่านหมอกออกไป ก็เห็นหอพักนักศึกษาตั้งรายล้อมประหนึ่งดาวล้อมเดือน
“ทางนี้”
ภายใต้การนำของอวี๋เชียนซาน ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็มาถึง เจดีย์หลังหนึ่ง
เจดีย์หลังนี้ตั้งอยู่ในจวนหลังใหญ่หลังหนึ่ง กล่าวให้ถูกคือมันตั้งอยู่ในสวนหลังจวน พื้นที่บริเวณนี้ร่มรื่นนัก มีไม้ใหญ่ปลูกเรียงรายเป็นแนว กระทั่งลำต้นยังสูงตระหง่านปานจะทิ่มแทงทะลุฟ้า ต้วนหลิงเทียนที่มองชมด้วยความสนใจ ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นต้นไม้อะไร
และเจดีย์หลังจวนดังกล่าว ความสูงของมันก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าต้นไม้เลย กระทั่งหลังเหินร่างติดตามอวี๋เชียนซานขึ้นมายยังยอดเจดีย์ที่มีลักษณะเป็นศาลา 8 เหลี่ยมเปิดโล่ง ต้วนหลิงเทียนจึงพบว่าความสูงของเจดีย์หลังนี้ที่แท้สูงกว่าต้นไม้ทั้งหลายเสียอีก ทั้งศาลาพุ่งทะลุเมฆขึ้นมาเรียบร้อย ทำให้บรรยากาศในศาลาเต็มไปด้วยม่านเมฆ เย็นสบายนัก
“ท่านคณบดี ข้าพาต้วนหลิงเทียนมาแล้ว”
เมื่ออวี๋เชียนซานพาต้วนหลิงเทียนมาหยุดลงกลางหาวเหนือศาลาบนยอดเจดีย์ มันก็กล่าวคำกับศาลาเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงสุภาพ
ต้วนหลิงเทียนที่มองเข้าไปในศาลา ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย เพราะเขาเห็นก็แต่ศาลาโล่งๆไร้ผู้คน
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาคิดว่าไหนล่ะผู้คน ความว่างเปล่าในศาลาก็เริ่มกระเพื่อม จากนั้นก็ปรากฏร่างหนึ่งก้าวเดินออกมา
เป็นชายวัยกลางคนอันมีลักษณะท่วงท่าสง่างาม มาในชุดคลุมสีขาวราวหิมะ ใบหน้าแลดูหล่อเหลาเอาการ เส้นดำขลับยาวสลวยทอดไปด้านหลังปานม่านน้ำตก คนยืนตระหง่านสองมือไพร่หลังปานนักปราชญ์ทรงภูมิ
“เจ้าลงไปก่อน”
ชายวัยกลางคนที่แลดูภูมิฐานสง่างามคนนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมู่หรงสุยเฟิง คณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ และยังดำรงตำแหน่งรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ! สิ้นคำกล่าวของมัน อวี๋เชียนซานก็ป้องมือประสานไปเบื้องหน้าพลางโค้งเบาๆคราหนึ่ง ก่อนจะดิ่งร่างจากไป…
เรียกว่าในศาลากับนอกศาลามองแล้วก็หลงเหลือต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงสุยเฟิงแค่ 2คนเท่านั้น
“เจ้าเข้ามานั่งก่อน”
มู่หรงสุยเฟิงมองต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างกลางหาวอยู่ไม่ไกลพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม และหลังจากต้วนหลิงเทียนเข้ามาในศาลาแล้ว เพียงโบกมือเบาๆคราหนึ่ง ก็ปรากฏเหยือกสุราพร้อมด้วยจอกเปล่า 2 จอกผุดจากความว่างตั้งอยยู่บนโต๊ะ
“คณบดี”
หลังต้วนหลิงเทียนป้องมือกล่าวคำทักทายมู่หรุงสุยเฟิงจบ เขาก็นั่งลงบนโต๊ะในศาลาอย่างไม่เกรงใจ
พอเห็นท่าทางสบายๆของต้วนหลิงเทียน มู่หรงสุยเฟิงก็คลี่ยิ้มพึงใจออกมายังแลดูสดใสกว่าก่อนหน้านัก “ต้วนหลิงเทียน เจ้านับว่าถูกจริตข้าจริงๆ…กับคนอื่นอย่าว่าแต่นักศึกษาเลย กระทั่งอาจารย์ของสถานศึกษา ทั้งๆที่ข้าบอกให้นั่งลงแล้วแท้ๆ แต่พวกมันก็เอาแต่พิรี้พิไรเกรงใจกล่าววาจาเวิ่นเว้อไม่เข้าเรื่อง…” “เจ้าที่สบายๆไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิมน่ารำคาญ นับว่าดียิ่ง”
มู่หรงสุยเฟิงกล่าวออกจากใจ หาได้เสแสร้งแกล้งประชดแต่อย่างใด
“บ้านเกิดข้ามีคำกล่าวที่ว่า ‘เคารพมิสู้เชื่อฟัง’ เจ้าบ้านเช่นท่านว่าอย่างไร แขกเช่นข้าก็เอาตามนั้น”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
โดยปกติแล้วสถานะของเขาในสถานศึกษาหมอกเร้นลับแห่งนี้ก็เป็นแค่นักศึกษาเท่านั้น ไหนเลยจะมีโอกาสได้นั่งลงอย่างเท่าเทียมกับชนชั้นคณบดี…อย่างไรก็ตามในเมื่ออีกฝ่ายบอกให้เขานั่งลง เขายังจะอิดออดทำอะไร? ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เขาไม่ได้คิดว่า…มู่หรงสุเฟิงที่เป็นเพียงรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับจะสูงส่งกว่าเขา!
เป้าหมายของเขาก็คือไปช่วยเค่อเอ๋อในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ
ถึงแม้คณบดีสถานศึกษาทั้งยังเป็นรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับอย่างมู่หรงสุยเฟิงอาจจะเป็นตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพ แต่เขาเชื่อว่าวันหน้าต้องก้าวข้ามอีกฝ่ายได้แน่นอน
แต่เป็นธรรมดาว่าเพื่อไม่เป็นการข้ามหน้าข้ามตาอีกฝ่าย เขาจึงไม่เคลื่อนไหวทำอะไร ไม่ได้เข้ามานั่งลงตามอำเภอใจ เพียงรอให้อีกฝ่ายกล่าวเชิญก่อนเท่านั้น…สุดท้ายแล้วระดับพลังของเขาในปัจจุบันก็ต่ำกว่าอีกฝ่ายมาก หากถือดีไม่เห็นหัวผู้อื่นจนทำให้ผู้อื่นมีโทสะขึ้นมาก็ย่ำแย่แล้ว
“กล่าวได้ดี!”
รอยยิ้มบนใบหน้ามู่หรงสุยเฟิงยิ่งมายิ่งฉีกกว้าง มันเอื้อมมือไปจับเหยือกสุราก่อนจะรินสุราลงจอกของต้วนหลิงเทียนก่อน จากนั้นค่อยรินให้ตัวเอง “มาเถอะ ลองสุรา ‘เฉวียนเนี่ยง’ ที่ข้าบ่มเองดู”
เฉวียนเนี่ยง ชื่อสุราที่มู่หรงสุยเฟิงทำเองนั้น มาจากชื่อของศิษย์ของมันที่ตกตายไปตั้งแต่ยังเยาว์ แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนไม่รู้เรื่องนี้
“เฉวียนเนี่ยง?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกวว่าชื่อสุรามันแปลกพิกล แต่จังหวะนี้เพียงกลิ่นสุราที่โชยขึ้นมาจากจอก เขาก็สัมผัสได้ว่าพลังเทพในร่างเขาเริ่มพุ่งพล่านขึ้นมาเล็กน้อย
แม้พลังในร่างจะพุ่งพล่านขึ้นมาเพียงเล็กน้อย แต่เขาก็สัมผัสได้ชัดเจน
‘สุรานี้ไม่ธรรมดา’
ในใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความคิดดังกล่าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ลองดู”
มู่หรงสุยเฟิงยิ้มกล่าว “สำหรับขอบเขตเทพแล้ว การดื่มสุราที่ข้าทำเองครั้งแรก นับว่ามีประโยชน์กับพลังฝึกปรือไม่น้อย…บางทีเจ้าหลังเจ้าดื่มเฉวียนเนี่ยงวันนี้ พอใช้ว่านเทพลายมังกรที่ข้าจะมอบให้วันพรุ่ง ไม่แน่เจ้าอาจทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้ในเวลาอันสั้น” คำพูดดังกล่าวของมู่หรงสุยเฟิง ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่อาจทนรอได้ไหวสืบไป ยกจอกสุราขึ้นมากระดกรวดเดียวหมดจอกทันที!
เรียกว่าไม่ทันได้ละเลียดลิ้มรสด้วยซ้ำ ก็กลืนลงคอไปแล้ว
ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกว่าลำคอของเขาร้อนผ่าว และไม่นานนักความร้อนก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่าง และยิ่งมาก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวมีพลังลี้ลับบางอย่างกำลังแผลงฤทธิ์ไปทั่วร่าง
จนกระทั่งเขาฉุกคิดได้ และเริ่มโคจรพลังตามเคล็ด 9 มังกรจักรพรรดิสงคราม พลังลี้ลับดังกล่าวก็ถูกชักนำให้โคจรหมุนเวียนตามเคล็ดวิชา หลังถูกกลั่นเกลาจนกลายเป็นพลังเทพและรวมเข้ากับพลังเทพดั้งเดิมในร่าง เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าระดับพลังบ่มเพาะในร่างมันกระเตื้องขึ้นอย่างมาก…ความเปลี่ยนแปลงในฉับพลันดังกล่าวทำให้สองตาของเขาลุกวาวทันที!
จากนั้นพอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาก็มองจ้องเหยือกสุราบนโต๊ะตาเป็นมัน
ตอนนี้เองมู่หรงสุยเฟิงก็คลี่ยิ้ม ก่อนจะยกจอกสุราของตัวขึ้นมาละเลียดจิบบางๆอึกหนึ่ง ก่อนจะวางจอกลงและเลือกจะรินสุราให้เขาอีกจอกท่ามกลางสายตาอันเร่าร้อน “เฉวียนเนี่ยงของข้า ไหนเลยมีไว้ให้เจ้ากระดกรวดเดียวหมดจอกอย่างเสียเปล่าเช่นนั้นเล่า…ค่อยๆจิบเถอะ จักได้สัมผัสถึงรสชาติที่แท้จริงของมัน”
“อีกทั้งหลังเจ้าดื่มไป 3 จอกแล้ว มันก็จักไม่ส่งผลต่อพลังฝึกปรือในร่างเจ้ามากมายอะไร ยังกล่าวได้ว่าน้อยนิดยิ่ง…เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆลิ้มรสมันเถอะ”
การกระดกรวดเดียวหมดจอกของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ สำหรับมู่หรงสุยเฟิงแล้วนับว่าปวดใจไม่น้อย เพราะนี่ไม่ต่างอะไรกับเสียสุราดีไปเปล่าๆปลี้ๆ หากเป็นนักศึกษา 10 ดาวคนอื่นทำเสียของเช่นนี้มันไม่มีทางให้ดื่มอีกแน่นอน
พอได้ยินดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มโง่งม ก่อนที่จะยกสุราจอกที่ 2 ขึ้นมาจิบบางๆ
เพียงหนึ่งจิบ สองตาเขาก็เป็นประกายวับวาวปานจะยิงพุ่งลำแสงความร้อนออกมา
“สุราดี!”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ใช่ผีสุราที่นิยมการดื่มเป็นอาจิน แต่เขาก็รู้เรื่องสุราไม่น้อย ได้ดื่มสุราเลิศล้ำมาก็มากไม่ว่วาจะชาติที่แล้วบนโลกหรือหลังได้มีชีวิตอีกครั้ง
สุรา เฉวียนเนี่ยง เบื้องหน้า หากไม่นับสรรพคุณเอาแค่รสชาติอย่างเดียว ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสุราที่ดีที่สุดที่เขาเคยดื่มมาตลอดชั่วชีวิตเลย
ที่สำคัญก็คือ เฉวียนเนี่ยง มีรสชาติอันพิเศษบางประการที่เป็นเอกลักษณ์นัก ต่างจากสุราที่เคยดื่มมาก่อนลิบลับ วึ่งไม่มีความพิเศษดังกล่าว
เพราะเหตุนี้เอง เฉวียนเนี่ยง จึงทำให้เขาประทับใจเป็นอย่างมาก
“ท่านคณบดี ให้กล่าวว่านี่เป็นสุราที่ดีที่สุดที่ข้าเคยดื่มก็ไม่เกินเลย…ท่านบ่มเองจริงหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามมู่หรงสุยเฟิงตาเป็นประกาย และในประกายตาดังกล่าวยังแฝงความปรารถนาประการหนึ่ง
ราวกับแลเห็นถึงความปรารถนาของต้วนหลิงเทียน มู่หรงสุยเฟิงจึงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม “ถึงแม้การบ่มสุราเฉวียนเนี่ยงจะไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ส่วนผสมบางอย่างก็หาได้ยากยิ่ง…ตลอดช่วงร้อยปีที่ผ่าน ข้าเพียงบ่มได้แค่ 3 เหยือกเท่านั้น ดื่มเองเหยือกหนึ่ง มอบให้ท่านประมุขเหยือกหนึ่ง เหลือเพียงเหยือกนี้เป็นเหยือกสุดท้ายแล้ว…”