WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3655 ผู้มาเยือนจากนิกายหมอกเร้นลับ
ทำคะแนนในการทดสอบนักศึกษา 10 ดาวได้มากกว่า 120,000 แต้ม!
พอข่าวดังกล่าวเริ่มแพร่ออกไปในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็เสมือนจุดชนวนความโกลาหให้ปะทุออกมาทันที
“มารดาเราช่วย! ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเป็นสัตว์ประหลาดจากที่ไหนกันแน่? ในประวัติศาสตร์สถานศึกษาหมอกเร้นลับเรา นักศึกษาที่เคยได้คะแนนสูงสุดในประวัติศาสตร์มิใช่ว่าก็แค่เฉียด 30,000 แต้มหรือไร…แต่พี่แกล่อไป 120,000 กว่าแต้มเนี่ยนะ!?”
“ใช่ บ้าไปแล้ว คะแนนพี่ท่านไม่น่าจะใช่อะไรที่ผู้คนทำได้!”
…
ไม่เพียงแต่นักศึกษา 10 ดาวเท่านั้นที่ตกใจกับคะแนนทดสอบของต้วนหลิงเทียน แม้แต่นักศึกษาชั้นอื่นๆในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ ก็ตกตะลึงกับคะแนนของต้วนหลิงเทียนเช่นกัน เพราะตัวเลขดังกล่าวมันน่ากลัวเกินไป!
แน่นอนว่ายังมีบางคนที่ยังใจเย็นอยู่ได้
และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นเหล่าอาจารย์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับ “การที่ต้วนหลิงเทียนได้รับคะแนนทดสอบสูงเป็นประวัติการณ์เช่นนี้ สมควรเป็นเพราะระดับสัตว์อสูรที่ทางนิกายจัดมา…สัตว์อสูรที่ทางนิกายจัดมานั้นอิงตามระดับพลังฝีมือของนักศึกษาในปีก่อนๆ ทำให้ตัวที่ทรงพลังที่สุดก็แค่อ่อนด้อนกว่าหงจวินและคนอื่นๆทั้ง 5 เล็กน้อย…แต่เมื่อเจอต้วนหลิงเทียน พวกมันก็ไม่นับเป็นตัวอะไรทันที”
“มิผิด ในอดีตยามต้วนหลิงเทียนประมือกับหงจวิน ทั้งๆที่ใช้มือเปล่า แต่กระบวนท่าของมันก็บีบคั้นให้หงจวินจำต้องใช้อุปกรณ์เทพ กระนั้นยังทำได้แค่ฝืนต้านรับอย่างเต็มกลืน…กล่าวได้ว่าหากต้วนหลิงเทียนใช้อุปกรณ์เทพในการทดสอบล่ะก็ คงไม่มีสัตว์อสูรตัวใดต้านรับได้แม้แต่ท่าเดียว กระทั่งแค่การลงมือส่งๆของมัน เหล่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่ทดสอบก็คงตกตายในพริบตา”
“การทดสอบนักศึกษา 10 ดาวคราวนี้ ต้วนหลิงเทียนที่เข้าร่วม ไม่พ้นการจัดการสัตว์อสูรเหล่านั้นต้องเป็นลักษณะบดขยี้อย่างไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน…เช่นนั้นคะแนนจะระเบิดตัวเลขดังกล่าวออกมาก็ไม่แปลก”
“จะอย่างไรก็ช่างเถอะ คะแนนทดสอบ 120,000 แต้มนี่ มันยังมากเกินไปอยู่ดี!”
…
หลังจากที่ทราบสาเหตุ อาจารย์ของเหล่าสถานศึกษาหมอกเร้นลับก็พอเข้าใจได้
ด้านนักศึกษาที่อยู่ใกล้ๆตอนที่อาจารย์เหล่านี้คุยกัน ก็เริ่มเข้าใจได้ จากนั้นความตื่นเต้นก็ลดทอนลง และเริ่มกล่าวบอกให้สหายล่วงรู้เหตุผลด้วยทันที แต่กระนั้น ในสายตาของพวกมัน ต้วนหลิงเทียนก็เป็นตัวตนที่อยู่เหนือขึ้นไปถึงขั้นที่พวกมันทำได้แค่แหงนมอง ความแตกต่างระหว่างผู้คนมันมหาศาลเกินไป…อายุไม่ทันถึง 2,800 ปีทีแต่กลับมีพลังระดับนี้แล้ว เรียกว่าในประวัติศาสตร์ของสถานศึกษาหมอกเร้นลับไม่เคยปรากฏตัวตนที่โดดเด่นขนาดนี้มาก่อนเลย กระทั่งตัวตนที่พอจะเทียบเคียงได้ก็ไม่มี
“ศิษย์พี่ต้วนถึงกับเขียนหน้าประวัติศาสตร์อันสำคัขึ้นใหม่ในสถานศึกษาหมอกเร้นลับเรา…ข้าไม่รู้จริงๆว่าคะแนทดสอบที่สูงเป็นประวัติการณ์ครั้งนี้ ต่อไปยังจะมีผู้ใดสามารถทำลาสถิติได้หรือเปล่า…”
“บางที คงไม่มีผู้ใดสามารถทำได้แล้ว”
…
ไม่ว่าภายในสถานศึกษาหมอกเร้นลับจะกล่าวขานถึงเรื่องนี้กันมากแค่ไหน ด้านต้วนหลิงเทียนเจ้าของคะแนนก็ไม่ได้รับทราบอะไรด้วยเลย ตอนนี้เขาอุทิศตัวให้กับการบ่มเพาะพลังอย่างแข็งขัน พลังเทพในร่างเริ่มสั่งสมเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็ว ใกล้จะทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงอยู่รอมร่อ
แต่วันนี้ ต้วนหลิงเทียนที่จมจ่อมในภวังค์บ่มเพาะ กลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
ผู้ที่ปลุกเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น ซูเฟิงหยาง
“อาจารย์ซู”
ต้วนหลิงเทียนังคงชมชอบอาจารย์ซูเฟิงหยางผู้นี้ไม่น้อย เพราะอีกฝ่ายจัดการเรื่องราวให้เขาอย่างดี เมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ๆก็มาแบบนี้ จึงอดถามไปด้วยความสงสัยไม่ได้ “หรือตอนนี้จะผ่านไปครบเดือนแล้วตั้งแต่หลังวันสิ้นสุดการทดสอบ?”
“ฮะๆ มิผิดพึ่งจะผ่านไปครบเดือนพอดี”
ซูเฟิงหยางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เมื่อเดือนก่อน ท่านคณบดีคงแจ้งให้เจ้าทราบแล้วกระมัง เจ้าคงยังไม่ได้ลืมใช่หรือไม่? คนจากนิกายหมอกเร้นลับมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”
“อย่างไรก็ตาม อาจารย์ลุงของข้าลากผู้อื่นไปร่ำสุราคุยกันทั้งคืน เมื่อวานก็เลยไม่ได้มารบกวนเจ้า”
ซูเฟิงหยางกล่าวถึงจุดนี้ น้ำเสียงของมันก็เผยความจนใจอยู่บ้าง “คนที่มาก็คือผู้อาวุโสสายในเช่นกัน แต่ในแง่ของลำดับอาวุโสแล้ว ข้ายังต้องเรียกหาผู้อื่นว่าอาจารย์ลุงเช่นกัน…ผู้มากับอาจารย์ลุงข้านับว่าสนิทกันตั้งแต่ยังเยาว์ เรียกว่าเติบโตมาด้วยกันก็ไม่เกินเลย ภายหลังก็เข้าสู่นิกายหมอกเร้นลับพร้อมๆกัน จากนั้นก็ไต่เต้าขึ้นไปเป็นชนชั้นอาวุโสเหมือนๆกัน”
ต้วนหลิงเทียนย่อมรู้ว่า อาจารย์ลุงที่ซูเฟิงหยางพูดถึงก็คืออวิ๋นฮุ่ย อาจารย์ที่ดูแลการประเมินทดสอบนักศึกษา 10 ดาวเข้าใหม่
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลยว่าชายชราที่แลดูจริงจังคนนั้น จะมีด้านนี้ด้วย
“หลังจากอาจารย์ลุงข้าลากผู้อื่นไปร่ำสุราคุยกันเมื่อวาน…ท่านอาจารย์ลุงก็บอกต่ออาจารย์ลุงที่พึ่งมาถึงเรื่องเจ้าไม่น้อย ต่อไปวันหน้าหากมีอะไรในนิกายหมอกเร้นลับที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือ ก็สามารถบอกต่ออาจารย์ลุงที่พึ่งมาได้”
ขณะที่ซูเฟิงหยางพาต้วนหลิงเทียนไป มันก็ไม่ลืมเล่าให้ฟังระหว่างทาง
“แต่ก่อนที่ข้าจะพาเจ้าไปพบอาจารย์ลุงท่านนั้น เจ้าแวะไปหาท่านคณบดีก่อนเถอะ”
หลังออกจากเขตหอพักนักศึกษา 10 ดาวและผ่านม่านหมอกสีขาวจากค่ายกล ซูเฟิงหยางก็พาต้วนหลิงเทียนไปยังสถานที่พักของคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับ และในที่สุดก็ได้พบกับมู่หรงสุยเฟิงอีกครั้ง “ท่านคณบดี”
มู่หรงสุยเฟิงพอเห็นต้วนหลิงเทียนมาแว ก็คลี่ยิ้มสดใส “ต้วนหลิงเทียน หลังจากเจ้าไปถึงนิกายหมอกเร้นลับแล้ว ก็คงต้องรอสักพักก่อนที่การทดสอบประเมินศิษย์หลักของนิกายจักเริ่มขึ้น…ก่อนหน้าที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น เจ้าก็พยายามทะลวงด่านพลังให้ถึงขอบเขตเทพขั้นสูงเถอะ ถึงตอนนั้นโอกาสที่เจ้าจะผ่านการทดสอบย่อมมีมากขึ้นเป็นธรรมดา”
แม้ว่าการทดสอบประเมินศิษย์หลักนั้น การทดสอบของเทพขั้นกลางอาจจะดูง่ากว่าการทดสอบสำหรับเทพขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม มันไม่ได้ง่ายกว่ามากมายอะไร
เช่นนั้นการเป็นเทพขั้นสูงย่อมได้เปรียบกว่า
“หากเจ้าสามารถผ่านการทดสอบประเมินศิษย์หลัก จนสามารถเป็นศิษย์หลักได้…ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้า”
มู่หรงสุยเฟิงกล่าวสืบต่อ
พอมู่หรงสุยเฟิงกล่าวจบคำ ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พูดอะไร ซูเฟิงหยางที่อยู่ข้างๆก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที จากนั้นก็หันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความอิจฉา “ต้วนหลิงเทียนเจ้าต้องพยายามให้มาก…ไม่มีของขวัญชิ้นใดจากท่านคณบดีที่มิได้เป็นสิ่งของล้ำค่า”
ต้วนหลิงเทียนเองก็มองมู่หรงสุยเฟิยด้วยตาเป็นประกาย พลางถามว่า “ท่านคณบดี ของขวัญท่านคืออะไรหรือ หากเป็นสูตรบ่มสุราเฉวียนเนี่ยงย่อมดียิ่ง!”
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ของขวัญที่มู่หรงสุยเฟิงกล่าวมีแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้นที่อาจทำให้เขาสนใจ
เว้นเสียแต่จะเป็นโอสถเทพ สมุนไพรเทพ หรือผลไม้เทพที่ช่วยสงเสริมการบ่มเพาะแล้ว เขาก็ไม่สนใจอะไรอื่นนอกจากสูตรบ่มสุราเฉวียนเนี่ยงที่เขาชมชอบรสชาตินั่น
นอกเหนือจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เทพหรือเคล็ดวิชาบ่มเพาะอื่นใด ก็ไม่ได้ทำให้เขาสนใจแม้แต่นิดเดียว เพราะอุปกรณ์เทพที่ดีที่สุดที่มู่หรงสุเฟิงจะควักออกมามอบให้เขาได้ เกรงว่าไม่มีทางเทียบกับกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเขาที่เป็นอุปกรณ์เทพขั้นสูงสุดได้เลย…สำหรับเคล็ดวิชาบ่มเพาะ เขาเองก็ใช้เคล็ดวิชาที่ได้รับสืบทอดมาจากผู้แข็งแกร่งที่สุดในการฝึกปรืออยู่แล้ว
ขอเพียงสักยภาพและพรสวรรค์เขาสูงมากพอ และมีเวลาให้ฝึกฝน วันหนึ่งเขาต้องบรรลุถึงขอบเขตอริยะเทพได้แน่นอน!
“สูตรบ่มสุราเฉวียนเนี่ยง?”
มู่หรงสุยเฟิงพอได้ยินก็ถึงกับอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัวไปมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้านี่ช่างมักน้อยเสียจริง! สูตรเฉวียนเนี่ยงที่เจ้าว่า หากเจ้าสนใจ ข้าเอาให้เจ้าตอนนี้เลยก็ได้”
พอกล่าวจบคำ มู่หรงสุยเฟิงก็สะบัดมือเรียกป้ายหยกแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นก็นำแผ่นหยกออกมาอีกแผ่น หลังใช้พลังเทพคัดลอกข้อมูลจากป้ายหยกอันแรกลงป้ายหยกอันที่สองแล้วเสร็จ มันก็โยนป้ายหกอันที่สองให้ต้วนหลิงเทียน “นั่นคือสูตรบ่มสุราเฉวียนเนี่ยง..ส่วนที่ข้าสัญญาไว้ว่าจะมอบของขวัญให้เจ้านั้น มันไม่เกี่ยวกับสูตรนี่ ตราบใดที่เจ้าผ่านการทดสอบกลายเป็นศิษย์หลัก ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้าอีกชิ้น” “เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณท่านคณบดีล่วงหน้าแล้ว”
สองตาต้วนหลิงเทียนลุกวาวขึ้นมาทันทีเมื่อได้รับป้ายหยกบันทึกสูตรบ่มสุราเฉวียนเนี่ยง และหลังจากได้ยินคำพูดประโยคหลังของมู่หรงสุยเฟิง เขาก็เร่งกล่าวขอบคุณออกมาด้วยความซึ้งใจ
เขาย่อมไม่อาจบอกมู่หรงสุยเฟิงได้ ว่านอกจากทรัพยากรที่จะส่งเสริมการบ่มเพาะของเขาแล้ว เขาไม่สนใจอุปกรณ์เทพหรือเคล็ดวิชาใดๆ…เพราะถ้าพูดออกไปยังต่างอะไรจากประกาศว่า ‘บ้านหลังนี้ไม่มีเงิน 300 ตำลึง’ ไม่ใช่ทุกคนต้องรู้กันหมดหรือว่าเขามีอุปกรณ์เทพกับเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่ดีกว่า
(บ้านหลังนี้ไม่มีเงิน 300 ตำลึง = มาจากตัวโง่งมกลัวโจรมาปล้นเงิน 300 ตำลึงที่มี จึงชิงติดป้ายบอกไว้หน้าป้านก่อน ว่าบ้านนี้ไม่มีเงิน 300 ตำลึง เพื่อกันโจรปล้น)
“หลังจากเข้าสู่นิกายแล้ว ข้าเองก็คงช่วยเหลืออะไรเจ้าไม่ได้มากนัก ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง…ภายในสถานศึกษาหมอกเร้นลับกระมั่งเมืองวายุสวรรค์แห่งนี้ ข้าอาจปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้ แต่ในนิกายข้าเองก็แค่รองประมุขคนหนึ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงรองประมุขคนอื่น กระทั่งเหล่าผู้พิทักษ์ทั้งหลายก็มีฐานะไม่ด้อยไปกว่าข้า”
“และยังมีผู้พิทักษ์หลายคน ที่รับหน้าที่เป็นคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาอื่นในเมืองต่างๆ เหมือนเมืองวายุสวรรค์”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะจากไป มู่หรงสุยเฟิงยังกำชับเขาอีกว่า “เข้านิกายไปแล้ว เจ้าพึงทราบไว้ ว่าไม่เพียงแต่ศิษย์สายในเท่านั้น จะอาวุโสสายในที่เคยเป็นศิษย์หลักก็ดี รวมถึงศิษย์หลักเองก็ดี ทั้งหมดล้วนมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก กลุ่มใครกลุ่มมัน…และในเมื่อเจ้าออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับไป เจ้าก็เสมือนตีตราคนจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับสาขาเมืองวายุสวรรค์เอาไว้”
“เว้นเสียแต่เจ้าจะเข้าร่วมกับอาวุโสสายในหรือรองประมุขจากแวดวงอื่น หาไม่แล้วเจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนเรื่องที่เจ้ามาจากเมืองวายุสวรรค์ได้…”
มู่หรงสุยเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เช่นนั้นหากคนที่เจ้ามีเรื่องด้วยมาจากเมืองวายุสวรรค์ ข้าสามารถช่วยไกล่เกลี่ยได้…แต่ถ้าเจ้ามีความขัดแย้งจากคนกลุ่มอื่นที่ไม่ได้มาจากแวดวงคนเมืองวายุสวรรค์ ข้าเกรงว่าข้าคงทำอะไรไม่ได้มาก”
คำพูดของมู่หรงสุยเฟิง เห็นชัดว่าตั้งใจเตือนต้วนหลิงเทียน
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ถึงแม้เขาไม่รู้ว่า น้ำ ในนิกายหมอกเร้นลับจะลึกแค่ไหน แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก
สำหรับเขาแล้ว เพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด
เขาไม่คิดจะเริ่มสร้างปัญหาหรือความขัดแย้งกับผู้ใด
แต่ถ้ามีใครมาหาเรื่องเขา เขาเองก็ไม่คิดกลัว
“ไปเถอะ อย่าได้ให้อาวุโสถังชุนรอนาน”
เมื่อเรื่องที่ควรกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน ก็ได้บอกกล่าวออกไปหมดสิ้นแล้ว มู่หรงสุยเฟิง ก็บอกให้ต้วนหลิงเทียนไปหาอาวุโสนาม ถังชุน ได้ และนั่นก็คืออาวุโสสายในของนิกายหมอกเร้นลับที่เดินทางมารับตัวเขา
หลังบอกลามู่หรงสุยเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็ไปหาอาวุโสถังชุนดังกล่าวภายใต้การนำของซูเฟิงหยางต่อ
ถังชุนก็ยังคงอาศัยอยู่ที่บ้านของอวิ๋นฮุ่ย
“อาจารย์อวิ๋น”
เมื่อต้วนหลิงเทียนพบเห็นอวิ๋นฮุ่ยอีกครั้ง เขาก็ป้องมือประสานเป็นการคารวะทักทาย จากนั้นก็หันไปมองถังชุนพลางประสานมือคารวะทักทายอีกฝ่าย “รุ่นหลัง ต้วนหลิงเทียน คารวะอาวุโสถังชุน”
ถังชุนเป็นชายชราที่ร่างกายสูงใหญ่แลดูแข็งแรงดี เรือนผมสีเทาซีดทอดยาวไปด้านหลัง แลดูมอซอเล็กน้อย แต่ด้วยลักษณะท่วงท่าของอีกฝ่ายที่องอาจผ่าเผย คงไม่ได้แลดูมอซอแต่อย่างใด และในปัจจุบันมันก็กำลังมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยตาเป็นประกาย ยังพยักหน้าขึ้นลงมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เจ้าหนูนี่ช่างหล่อเหลาเสียจริง โครงร่างก็ยอดเยี่ยม…เจ้าต้วนหลิงเทียนกระมัง อวิ๋นฮุ่ยกล่าวถึงเจ้าให้ข้าฟังแล้ว ข้าจักดูแลเจ้าอย่างดี หลังไปถึงนิกายหมอกเร้นลับแล้ว หากมีสิ่งใดขาดเหลือก็สามารถมาหาข้าได้ หากข้าเองก็ไม่อาจจัดการเรื่องราวได้ ข้าก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อช่วยเหลือเจ้า…หากกระทั่งข้าทำเต็มที่แล้วยังช่วยไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องพึ่งตัวเองสถานเดียว”
พอถังชุนเปิดปากกล่าวคำ น้ำเสียงของมันก็โผงผางเปิดเผยจริงใจ ทำให้ต้วนหลิงเทียนยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจอีกฝ่าย เห็นได้ว่าอีกฝ่ายก็เป็นคนเปิดเผยองอาจคนหนึ่ง โดยปกติแล้วคนประเภทนี่อมคู่ควรให้ผูกมิตรด้วย เพราะทำอะไรก็มักเปิดเผยจริงใจ ไม่ชอบทำอะไรที่มีลับลมคมในหรือใช้เล่ห์เหลี่ยม
“เช่นนั้นข้าต้องขอขอบคุณอาวุโสถังล่วงหน้า”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ
ถังชุนหันไปมองอวิ๋นฮุ่ยด้วยรอยยิ้ม ทั้งกล่าวข่มขู่อย่างสนุกสนานว่า “ครั้งหน้าข้าจะทำให้เจ้าเมาจนกองกับพื้นเหมือนสุนัขตายให้ได้…แต่วันนี้ข้าคงต้องพาเจ้าหนูต้วนหลิงเทียนกลับนิกายก่อน เจ้าก็เตรียมสุราทั้งล้างคอรอความพ่ายแพ้ให้ดี”
“เฮอะ กอลิลล่าเฒ่าเจ้าอย่าดีแต่ปากเล่า! ว่างเมื่อไหร่เจ้าก็มาเถอะ ข้าอยู่ในเมืองวายุสวรรค์นี้ไม่ไปไหนอยู่แล้ว”
อวิ๋นฮุ่ยไหนเลยจะยอมโดนขู่ขวัญง่ายๆ กล่าวคำท้าทายสวนไปอย่างไม่กลัว
ต้วนหลิงเทียนมองชายชรา 2 คนที่สนิทสนมกันดีด้วยความอิจฉาอยู่บ้าง ความคิดเขายังอดโลดแล่นย้อนทวนไปยังวันวานไม่ได้ นึกถึงสหายเก่ามากมายเหล่านั้นที่เคยอยู่ด้วยกันในอดีต แต่บัดนี้กลับไม่ได้พบเจอกันเนิ่นนานมากแล้ว…
บ้างก็ตกตายจากไป…