WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3666 “คู่มือศิษย์สายใน”
ตลอดทางที่ผ่านมา ถังอู๋เยียนคอยอธิบายเรื่องราวต่างๆให้ต้วนหลิงเทียนฟังไม่หน่าย
ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากแนะนำที่ทางและจุดที่ต้องระวังแล้ว นางก็ไม่ได้คุยเรื่องอื่นกับต้วนหลิงเทียนสักเท่าไหร่ ทำให้ต้วนหลิงเทียนเองก็ตระหนักได้ว่าถังอู๋เยียนไม่ได้สนใจอะไรเขามากมาย เพียงมาเสียเวลากับเขาเพราะคำสั่งของอาวุโสถังชุนเท่านั้น
จุดนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนโล่งใจนัก และเลือกจะนิ่งฟังเรื่องราวที่นางแนะนำอย่างสงบ
“แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องคิดมาก”
ถังอู๋เยียนคลี่ยยิ้มบางๆ แต่ไม่ได้เอื้อมมือไปรับลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียน ราวกับนางไม่คิดจะติดต่อสื่อสารกับต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป
“เจ้าเก็บไว้เถอะ…ใครจะไปรู้ สักวันเจ้าอาจจะมีเรื่องที่ต้องขอความช่วยเหลือจากข้าก็เป็นได้”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางกล่าว เขาไม่ชอบติดหนี้ใครแล้วไม่คิดชดใช้
ถึงแม้สำหรับถังอู๋เยียนแล้ว การพาเขาไปตระเวนตามที่สำคัญต่างๆและคอยแนะนำให้เขารู้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าหากเป็นคนทั่วไป อย่าหวังจะรบกวนนางให้พาไปตระเวนชมที่ทางและคอยแนะนำราวมัคคุเทศก์เช่นนี้
และระหว่างทาง เขายังสัมผัสได้ถึงความเย่อหยิ่งถือดีที่ฝังลึกอยู่ในกระดูกของนางชัดเจน
นับว่าเป็นสตรีที่เย่อหยิ่งที่สุดตลอด 2 ช่วงชีวิตที่เขาอยู่มาทีเดียว
เป็นธรรมดาว่าเขาเชื่อว่าถังอู๋เยียนเองก็รู้ ว่าเป็นอาวุโสถังชุนตั้งใจจะจับคู่เขาให้กับนาง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงแต่เขาจะไม่ร่วมมือ ด้านถังอู๋เยียนก็ไม่เอาด้วยเช่นกัน “ก็ได้”
สุดท้ายถังอู๋เยียนก็ได้แต่รับลูกแก้ววิญญาณของต้วนหลิงเทียนมา แต่ดูจากท่าทีของนางแล้วดูเหมือนจะจำใจอยู่บ้าง
เรื่องนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้แต่ลอบยิ้มเจื่อนๆในใจ หายากนักที่เขาจะมอบลูกแก้ววิญญาณให้ใครแบบนี้ แต่กลับถูกผู้อื่นปฏิเสธ?
“เช่นนั้นข้าไปก่อนแล้ว”
ก่อนจากไป ถังอู๋เยียนก็ไม่ลืมกล่าวทิ้งท้ายว่า “ในป้ายหยกความทรงจำที่เจ้าได้มาหลังจากลงทะเบียนนั่น ยังบันทึก ‘คู่มือศิษย์สายใน’ เอาไว้ เอาก็อ่านมันเสียด้วยจะได้รู้สิทธิ์และกฏต่างๆของนิกายจะได้ไม่ถูกใครเอาเปรียบ”
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ จากนั้นก็มองส่งถังอู๋เยียนที่เหินร่างจากไปจนลับตา ค่อยหันไปมองสำรวจเนินเขาต่างๆอันเป็นเขตที่พักฝึกฝนของศิษย์สายในนิกายหมอกเร้นลับ ไม่นานก็โรยตัวลงมาจากกลางหาว เลือกบ้านศิลาหังหนึ่งที่แลดูรกร้างเต็มไปด้วหยากไย่ เป็นสถานที่พักฝึกฝนของเขา
ซัววว!!
ครืนนน!!
…
ต้วนหลิงเทียนเพียงโบกมือส่งๆ พลังเทพของเขาก็พัดกวาดไปทั่วบ้านศิลา จัดการฝุ่นและหยากไย่ทั้งหมด จนบ้านศิลาสะอาดเอี่ยมอ่องในพริบตา
หลังจากทำความสะอาดบ้านศิลาหลังนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เดินเข้าไปด้านใน จากนั้นก็สะบัดมือเรียกวัตถุคล้ายจานสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งออกมา มันเป็นสิ่งของที่เขาได้รับหลังผ่านขั้นตอนลงทะเบียนเป็นศิษย์สายในเช่นกัน จานค่ายกล!
ศิษย์สายในทุกคนจะได้รับจานค่ายกลเช่นนี้ และมันมีไว้เพื่อจัดตั้งในสถานที่พักบ่มเพาะ ซึ่งไม่เพียงแต่จะป้องกันผู้อื่นไม่ให้มารบกวนการบ่มเพาะฝึกฝน แต่ยังเพื่อปกป้องตัวเองอีกด้วย
เพราะมีแต่ตัวตนที่ด่านพลังอยู่เหนือขอบเขตราชาเทพเท่านั้น ถึงจะมีพลังมากพอทำลายม่านพลังจากค่ายกลได้
และถึงแม้จะสมารถทำลายค่ายกลได้จริง ตัวจานค่ายกลก็จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังผู้อาวุโสที่รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของเหล่าศิษย์สายในทันที บอกให้รู้ว่ามีค่ายกลของศิษย์คนหนึ่งถูกทำลายแล้ว ยังแจ้งตำแหน่งที่ถูกทำลายเพื่อให้เร่งรุดมาช่วยเหลือได้ทันท่วงที
“คู่มือศิษย์สายใน…”
หลังจากไปนั่งลงบนเตียงไม้ในบ้านศิลา ต้วนหลิงเทียนก็หยิบป้ายหยกเก็บความทรงจำที่เขาได้รับแจกออกมา หลังแผ่สำนึกเทวะผสานลงไปในตัวป้าย เขาก็ได้รับชุดข้อมูลจำนวนมากทันที พริบตาในใจเขาก็เต็มไปด้วยข้อความและเนื้อหาสำคัญๆมากมาย เขาเองก็ค่อยๆอ่านข้อมูลและเนื้อหาสำคัญอย่างตั้งวใจ
คู่มือศิษย์สายใน นั้นคอยแนะนำเรื่องราวพื้นฐานทั้งหมด เช่นกฏของนิกายหมอกเร้นลับ ยังมีกฏสำหรับศิษย์สายใน ว่าถ้าหากละเมิดกฏแล้วจะต้องได้รับโทษอย่างไร ทั้งหมดบอกไว้โดยละเอียด
เรียกว่านี่เป็นเหมือนหนังสือที่รวมตัวบทกฏหมายทุกมาตราในโลกเก่าของต้วนหลิงเทียน
เพียงแค่กฏที่เขาได้รับทราบครั้งนี้มันมีไว้ใช้ในนิกายหมอกเร้นลับ และจำกัดเฉพาะผู้อยู่ในนิกายหมอกเร้นลับเท่านั้น ไม่ว่าจะอาวุโสหรือศิษย์ก็ต้องกระทำตามกฏดังกล่าว
มีชุดข้อมูลจำนวนมากในป้ายหยกความทรงจำ โดยเฉพาะกฏเกณฑ์ข้อบังคับในคู่มือศิษย์สายใน ทำให้ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาอ่านทำความเข้าใจมันพอสมควร และหลังจากอ่านจบเขาก็มีความเข้าใจในนิกายหมอกเร้นลับเพิ่มขึ้น ‘นิกายหมอกเร้นลับแม้จะเป็นแค่ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ แต่ก็ร่ำรวยไม่น้อยเลยทีเดียว…ศิษย์สายในทุกคนยังจะได้รับแจกหินเทพ 10 ตำลึงทุกเดือน แถมไม่มีการตัดยอดอีกด้วย’
‘กล่าวได้ว่า ถึงเดือนนี้จะลืมไปรับหินเทพ แต่มันก็จะทบไปในเดือนหน้าที่แจก…และจำนวนเดือนที่ทบยังไม่จำกัด ต่อให้ปิดด่านเป็นปี แต่หินเทพที่ได้รับก็ไม่ลดลง’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอยู่บ้าง
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีหินเทพในครอบครองหลาแสนตำลึง แต่เขาก็ไม่คิดดูเบาหินเทพแค่ 10-20 ตำลึงที่จะแจกฟรีทุกเดือน เพราะเมื่อลองคิดถึงจำนวนศิษย์สายในของนิกายหมอกเร้นลับแล้ว จำนวนหินเทพที่นิกายต้องแจกจ่ายมันก็มากจนทำให้หนังศีรษะเขารู้สึกด้านชาอยู่บ้าง
กล่าวได้ว่าแต่ละเดือน นิกายหมอกเร้นลับต้องแจกหินเทพให้ศิษย์สายในอย่างเดียวนับหมื่นๆตำลึงแล้ว
นี่แค่เดือนเดียวเท่านั้น!
ยิ่งไปกว่านั้นนิกายหมอกเร้นลับก็ไม่ได้มีแต่ศิษย์สายใน ไหนจะศิษย์หลัก ศิษย์สายนอก อาวุโสสายใน อาวุโสหลัก อาวุโสสูงสุด…ฯลฯ ทั้งหมดได้รับแจกหินเทพจากนิกายทั้งสิ้น
‘จะอย่างไรก็แล้วแต่ นับว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะที่นี่เหนือกว่าสถานศึกษาหมอกเร้นลับมากจริงๆ…แถมทุกๆ 6 เดือน ศิษย์สายในก็จะมีการ ‘แข่งขันไต่บันไดสวรรค์’ ซึ่งมุ่งเป้าไปที่เหล่าศิษย์สายในระดับเทพและราชาเทพโดยเฉพาะ’
‘ผู้ที่ได้อันดับสูงๆ ก็จะได้รับรางวัลอย่างงาม’
‘นอกจากนั้น ของรางวัลที่ได้รับมาไม่เพียงแต่จะนำไปใช้งานได้จริง หากมีบางสิ่งที่เคยใช้แล้วจะไม่ได้รับผลกระทบอีก ก็สามารถขอเปลี่ยนของรางวัลที่มีระดับเท่าๆกันได้…’ หลังรับทราบเรื่องการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ที่จะจัดขึ้นทุกๆครึ่งปีของนิกายหมอกเร้นลับแล้ว สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
‘ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีกว่าจะถึงการทดสอบประเมินศิษย์หลัก…ก่อนจะถึงการทดสอบประเมินดังกล่าว ข้าน่าจะได้เข้าร่วมการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ที่ว่าก่อน’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ลุกออกจากเตียงไม้ และเดินออกจากบ้านหินทันที
หลังออกมาแล้ว พอเห็นร่างหนึ่งที่พึ่งออกจากบ้านไมไกลๆ ต้วนหลิงเทียนก็เคลื่อนมิติ วูบร่างไปผุดโผล่เบื้องหน้าอีกฝ่าย และทักอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มทันที
“เจ้า…มีอะไรหรือ?”
อีกฝ่ายผงะไปเล็กน้อย ค่อยมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาระแวดระวัง
“สวัสดีศิษย์พี่”
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้ดีว่าอยู่ๆมาโผล่ขวางทางผู้อื่นแบบนี้มันเสียมารยาท เขาก็เลยคลี่ยิ้มทักออกไปด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “พอดีข้ามีอะไรจะถามศิษย์พี่เล็กน้อย…ไม่ทราบว่าการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ครั้งต่อไป จะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่หรือ?”
“การแข่งขันไต่บันได้สวรรค์เหรอ?”
ชายที่ต้วนหลิงเทียนมาหยุดขวางทางเอาไว้ มีลักษณะเป็นชายหนุ่มที่มีหน้าตาดีไม่เบา รูปร่างก็แลดูสมส่วน และพอมันได้ยินคำถามของต้วนหลิงเทียน หว่างคิ้วก็ขดย่นเป็นปมทันที “เจ้า…คงเป็นศิษย์สายในคนใหม่กระมัง?”
ในสายตาของชาหนุ่มคนนี้ แม้มันจะไม่กล้าบอกว่ารู้จักศิษย์สายในทุกคน แต่เรื่องเคยเห็นหน้าหรือไม่ มันเชื่อว่าเคยเห็นศิษย์สายในมาทุกคนแล้ว
อย่างไรก็ตาม ชาหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้านั้น มันมองอย่างไรก็ไม่คุ้นตาเลย
เป็นธรรมดาว่าจุดนี้ยังไม่ทำให้มันมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์สายในคนใหม่…ที่มันเชื่อว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นศิษย์สายในคนใหม่ เพราะคำถามเรื่องการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ต่างหาก
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“การแข่งขันไต่บันไดสวรรค์จะเริ่มขึ้นในอีก 4 เดือนหลังจากนี้”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ “เรื่องทีเจ้าอยากรู้ข้าก็บอกแล้ว ตอนนี้เจ้าหลีกทางให้ข้าได้รึยัง?”
“ขออภัยที่รบกวนศิษย์พี่”
สุดท้ายก็เป็นเขาไปขวางทางผู้อื่นเขา ต้วนหลิงเทียน่อมกล่าวขอคำโทษไปไม่ได้ถือสาอะไรท่าทีรำคาญของอีกฝ่าย ในใจเพียงคิดถึงเรื่องการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ที่จะเกิดขึ้นในอีก 4 เดือนหลังจากนี้
‘ยังมีเวลาเหลืออีก 4 เดือน…เช่นนั้นในช่วง 4 เดือนนี้ก็พยายามทะลวงให้ถึงขอบเขตเทพขั้นสูงก่อนแล้วกัน’ ‘หากทะลวงด่านพลังไปถึงเทพขั้นสูงได้…ต่อให้จะคว้าอันดับ 1 ในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ ก็คงไม่เด่นเกินไปกระมัง?’
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมั่นใจมากว่าสามารถใช้ด่านพลังเทพขั้นกลางในปัจจุบันคว้าอันดับ 1 ในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์มาครองได้แน่นอน แต่นั่นก็จะเป็นอะไรที่ทำให้เขาโดดเด่นจนเกินไป ถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าอาจทำให้ระดับประมุขนิกายหมอกเร้นลับตกใจก็เป็นได้
ในทางกลับกัน เขาก็จะกลายเป็นเป้าอิจฉาริษยาจากคนอื่นๆ ยังอาจทำให้หลายคนสงสัยต้นตอความสามารถ กลายเป็นสร้างปัญหาอย่างไม่จำเป็นขึ้นมา
เผลอๆอาจมีคนคิดฆ่าเขาด้วยซ้ำ
สุดท้ายแล้วแม้นิกายหมอกเร้นลับจะร่ำรวย แต่ทรัพยากรระดับสูงๆบางอย่างก็มีขีดจำกัด เมื่อเขาไปแย่งชิงทรัพยากรส่วนนั้นมา บางคนต้องไม่พอใจแน่นอน
กับศิษย์สายในนิกายหมอกเร้นลับนั้นเขาไม่กลัวใคร
แต่หากเป็นอาวุโสที่อยู่เบื้องหลังมันเล่า?
แม้ในที่แจ้งอาวุโสเหล่านั้นจะไม่ลงมือกับเขา แต่ในที่ลับล่ะ?
‘หากเป็นไปได้…ข้าเองก็ต้องหาผู้สนับสนุนในนิกายหมอกเร้นลับเช่นกัน แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ไปกราบใครเป็นอาจารย์ เพราะข้ามีอาจารย์อยู่แล้ว กระทั่งจะให้กราบอาจารย์ปลอมๆก็ผิดต่อมโนธรรมในใจ’
พอคิดถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็อดปวดหัวไม่ได้
‘ช่างมันเถอะ…ค่อยๆก้าวไปทีละก้าวแล้วกัน’
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็กลับไปบ่มเพาะพลังในบ้านศิลา…จนกระทั่งมีคนมากวนเขา
“หืม?”
ถึงแม้ผู้มาเยือนจะไม่ได้จู่โจมม่านพลังป้องกันจากค่ายกล แต่อีกฝ่ายก็เลือกจะส่งเสียงผ่านพลังเข้ามาก่อกวนเขาจนทำให้เขาตื่นจากภวังค์บ่มเพาะ สุดท้ายเขาก็ได้แต่ออกจากบ้านศิลามาอย่างไม่สบอารมณ์
ด้านนอกบ้านศิลามีร่าง 2 ร่างยืนเคียงกัน หนึ่งชายวัยกลางคนและหนึ่งชายหนุ่ม
ชายวัยกลางคนที่ว่ามาในชุดคลุมสีฟ้าอมเขียวหน้าตาค่อนข้างดี แต่หว่างคิ้วกลับแลดูหมองคล้ำ ชวนให้มันแลดูมืดมนอย่างไรไม่ทราบ
ส่วนชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินข้างกายนั้น แม้รูปร่างหน้าตาจะธรรมดาๆ มองผ่านๆอาจแลดูไม่ใช่คนสำคัญอะไร แต่สองตามันกลับทอประกายแจ่มใสราวคบเพลิง
“พวกเจ้ามากวนข้าทำอะไร?”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้วกล่าวถาม 2 คนีท่มาก่อกวนเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เฮ่ย เจ้าพึ่งมาใหม่เรอะ?”
ชายวัยกลางคนมองถามต้วนหลิงเทียนด้วยท่าทางอวดเบ่ง
“แล้วไง?” ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม
“เพ่ยไอ้หนู บ้านศิลาหลังนี้เป็นบ้านที่ศิษย์พี่ข้าใช้พักฝึกฝน อีกไม่นานศิษย์พี่ข้าก็จะกลับมาแล้ว…ข้าไม่สนว่าเจ้าจะรู้หรือไม่รู้ ตอนนี้เจ้ารีบย้ายออกไปเสีย!”
ชายวัยกลางคนกล่าวด้วน้ำเสียงไม่ต่างจากการสั่ง
“อ้อ สถานที่พักฝึกฝนของศิษย์พี่เจ้า?”
หากพึ่งมาถึงนิกายและยังไม่ได้อ่าน ‘คู่มือศิษย์สายใน’ ต้วนหลิงเทียนอาจรู้สึกผิดและย้ายออกจากบ้านศิลาหลังนี้ไปทันที แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะจากไปแต่อย่างใด
เพราะในคู่มือศิษย์สายในนั้น ระบุไว้ชัดเจน…
ในเขตที่พักของศิษย์สายในนั้น หากเป็นบ้านที่เต็มไปด้วยหยากไย่และไรฝุ่น ศิษย์สายในทุกคนสามารถเข้าครอบครองได้ทันที
“ก็ใช่ไง!”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นความอดทน “นี่เป็นบ้านศิลาที่ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าสร้างเองกับมือ เจ้าที่พึ่งมาใหม่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ทางที่ดีเจ้ารีบๆย้ายออกไปเสีย”
“ทำไมเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปยังชายวัยกลางคน พลางถามอีกครั้ง
ในเมื่ออีกฝ่ายเองก็เป็นศิษย์สายในของนิกายหมอกเร้นลับด้วย เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทราบกฏสำหรับศิษย์สายในของนิกายหมอกเร้นลับ แต่ตอนนี้ในเมื่ออีกฝ่ายไม่สนกฏ เช่นนั้นเขาจึงต้องคิดให้ละเอียด
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งๆที่เขาพึ่งจะมาอยู่ไม่นาน แต่ก็โดนอีกฝ่ายมาจับผิดเสียแล้ว
ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องราวไม่น่าง่ายดายเช่นนั้น และสมควรมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่าง
“อะไร? เจ้าไม่คิดย้ายออกงั้นเรอะ?”
ใบหน้าชายวัยกลางคนเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชา สองตายังเผยประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง “เจ้ามันก็แค่เทพขั้นกลางตัวกระจ้อยคนหนึ่ง หรือคิดจะแข็งข้อกับเทพขั้นสูงเช่นข้า?”
บัดนี้ชายวัยกลางคนที่หว่างคิ้วแลดูหมองคล้ำที่ยืนอยู่ข้างชายหนุ่ม เริ่มมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าท่าทีเอาเรื่อง มุมปากยังยกยิ้มประชดประชันหยันหยามขึ้นมา
“จะสู้?”
ต้วนหลิงเทียนยังคงมองถามชายวัยกลางคนด้วยสีหน้าท่าทางเอาเรื่องไม่ต่างกับมัน “เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”