WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3672 เชวียไห่ซาน
หลังจากจัดการศิษย์นิกายหมอกเร้นลับที่ถูกขังไว้ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงพลังดูดรั้งขุมหนึ่ง และเห็นได้ชัดว่ามันเป็นพลังจากอาคมเคลื่อนย้าที่จะพาเขาไปยังบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8
อย่างไรก็ตาม พอเขาลองแข็งขืนต้านทานก็พบว่าทำได้ไม่ยาก เช่นนั้นก็เลยเลือกจะฝึกฝนในขั้นที่ 7 ก่อน
หลังจากฝึกฝนเสร็จไม่นาน เมื่อพลังเทพในร่างของเขาก็เริ่มเข้าที่เข้าทางและเริ่มเสถียรบางส่วน กล่าวได้ว่าเขาควบรวมด่านพลังเทพขั้นสูงได้ส่วนหนึ่ง จึงเลิกต่อต้านและปล่อยให้พลังดูดรั้งดังกล่าวพาเขาออกจากที่นี่ทันที
พริบตาต่อมา ร่างต้วนหลิงเทียนก็มาปรากฏตัวเหนือทะเลสีเลือดแห่งหนึ่ง
ที่ไฉนกล่าวว่าทะเลสีเลือดนั้น เพราะสีน้ำทะเลมันแดงฉานปานโลหิต แถมยังได้กลิ่นโลหิตคาวคลุ้งอีกด้วย ทว่ากลับไม่มีแม้แต่เงาของผู้คน
อย่างไรก็ตามหลังต้วนหลิงเทียนแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบบริเวณโดยรอบอยู่ครู่หนึ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจสัมผัสอะไรได้นอกจากกำแพงมิติที่ล้อมกักไว้ทุกทาง
วูบ!
ทันใดนั้นร่างต้วนหลิงเทียนพลนเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปฉับไว ปรากฏตัวอีกครั้งก็มาโผล่บนฟ้าสูงที่สามารถมองเห็นขอบเขตทะเลโลหิตทั้งหมดชัดๆ
“พลังสายเลือดกลับสามารถสร้างภาพมายาได้สมจริงถึงขนาดนี้เชียว…ถึงขั้นทำให้สำนึกเทวะของข้ากับไม่อาจตรวจพบการคงอยู่ของเจ้าได้ด้วยซ้ำ น่าทึ่งจริงๆ…แต่จะอย่างไรก็ช่าง เจ้าคิดว่าหากอาศัยการซ่อนตัวแบบนี้ เจ้าจะลอบโจมตีข้าได้หรือ?”
ต้วนหลิงเทียนที่ลอยร่างเกือบชิดขอบกำแพงมิติด้านบน มองไปยังทะเลโลหิตเบื้องล่าง พลางถามด้วยน้ำเสียงเฉยเมย และแทบจะพร้อมๆกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามจบคำ ทะเลโลหิตเบื้องล่างก็คล้ายเดือดพล่าน น้ำสีแดงฉานเริ่มคุ้มคลั่งบังเกิดคลื่นยักษ์ปั่นป่วน จากนั้นไม่นานมันก็อันตรธานหายไปโดยสมบูรณ์ คงเหลือเพียงชายคนหนึ่ง
อีกฝ่ายมีลักษณะเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าฉายชัดถึงความเด็ดเดี่ยว หว่างคิ้วแผ่พุ่งความเย็นชา ดวงตาฉายแววแหลมคม ให้ความรู้สึกเหมือนมีสายฟ้าแลบลั่น “สายตาเจ้าไม่เลวเลยทีเดียว ถึงกับบอกได้ทันทีว่าทะเลโลหิตเมื่อครู่เป็นพลังสายเลือดของข้า”
หลังทะเลโลหิตถูกชายวัยกลางคนถอนรั้งพลังคืนกลับ มองไปก็เหลือแต่เพียงพื้นที่ราบลุ่มไร้สิ่งใด
“ในเมื่อข้าถูกส่งมาที่นี่ เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีผู้ใดเฝ้า…ในเมื่อสำนึกเทวะของข้าหาเจ้าไม่เจอ เช่นนั้นยากนักหรือที่ข้าจะคาดเดาไปทางนั้น?”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถาม
“เจ้านับว่าฉลาดจริงๆ ในอดีตมีศิษย์สายในไม่น้อยเลยที่ถูกสุ่มส่งมาที่นี่ อนิจจาพวกมันไม่ทันได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ถูกข้าลอบสังหารตายตก แม้แต่โอกาสจะใช้ป้ายบันไดสวรรค์ยังไม่มีด้วยซ้ำ”
ชาวัยกลางคนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “วันเวลาที่นี่ช่างน่าเบื่อยิ่ง…สิ่งที่ข้าคาดหวังมากที่สุดก็คือ การเข้ามาของศิษย์สายในอย่างพวกเจ้า พอให้ข้าได้ครึกครื้นรื่นเริงหน่อย”
“วันนี้เห็นแก่ความฉลาดเฉลียวของเจ้า ถึงข้าจะมีโอกาสฆ่าเจ้าได้ ข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า…”
ฟังจากคำพูดของชายวัยกลางคนผู้นี้ เห็นชัดว่ามันมั่นใจในตัวเองสูงมาก
“ฆ่าข้ารึ?”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆ “เช่นนั้นข้าคงต้องขอบคุณเจ้าแล้วกระมัง ที่ไม่คิดฆ่าข้า…”
“เจ้าหนู…ดูเหมือนเจ้าจะไม่สนใจคำพูดของข้าสินะ”
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเลือดยยิ้มเยาะ “อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เองว่าความสิ้นหวังเป็นอย่างไร…เพราะหากข้าเชวียไห่ซานบอกว่าในบรรดาศิษย์ที่ถูกขังอยู่ในขั้นที่ 8 ของบันไดสวรรค์ ข้ามีพลังเป็นอันดับ 2 เช่นนั้นก็คงไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นอันดับ 1!”
สิ้นคำกล่าว ชายวัยกลางคนในชุดสีเลือดก็ลงมือทันที
ทั่วร่างของมันปรากฏพลังเทพปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง จากนั้นก็ผสานรวมเข้ากับความลึกซึ้งของกฏที่เข้าใจ ก่อเกิดเป็นกลิ่นอายพลังชวนขนลุกประการหนึ่ง พอมันจี้นิ้วออกมาตามอำเภอใจ ความว่างเปล่าเบื้องหน้าที่ปลายนิ้วมันชี้ไปก็เริ่มหยุดนิ่ง ภาวะหยุดนิ่งดังกล่าวยังแผ่ขยายไล่มาเป็นทาง!
พริบตาความว่างเปล่ารอบกายต้วนหลิงเทียนก็เสมือนถูกผนึก!
และกลิ่นอายพลังดังกล่าว ก็ทำให้ใจต้วนหลิงเทียนเต้นรัวขึ้นมาโดยพลัน “กฏเวลา!”
เขาย่อมตระหนักได้ทันที
เทพขั้นสูงนาม เชวียไห่ซาน คนนี้ ดูเหมือนจะเคยเป็นศิษย์สายในขอบเขตเทพขั้นสูงอันทรงพลังคนหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับ เพราะมันเชี่ยวชาญกฏแห่งเวลา กฏที่นับว่าแปลกประหลาดที่สุด ในบรรดา 4 กฏสูงสุด!
สุดท้ายแล้วผู้ที่เชี่ยวชาญกฏแห่งเวลา ก็มีพลังควบคุมเวลาได้อย่างอัศจรรย์ ทำให้ผู้คนรับมือป้องกันได้ยาก
และแรกเห็นเชวียไห่ซานลงมือ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที ว่าอีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะเข้าใจกฏเวลา ยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งเวลาถึง 3 ประการแล้วด้วย!
‘ถึงแม้มันจะเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของกฏเวลาได้แค่ชุดเดียว…แต่ก็มากพอจะเป็นตัวตนที่ร้ายกาจเป็นอันดับต้นๆในบรรดาศิษย์ที่ถูกขังอยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 แล้ว’
ขณะที่ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ พลังเทพก็พรั่งพรูออกมาทั่วร่าง ยังผสานกับพลังธาตุมิติแต่แรก จากนั้นก็ใช้ออกด้วยการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการทันที!
ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่ใช่การผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของกฏมิติแค่ชุดเดียว แต่มันเป็นการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติถึง 2 ชุด!
พลังอำนาจของการผสานรวมความลึกซึ้งกฏมิติ 3 ประการถึง 2ชุดได้ก่อให้เกิดพายุมิติอันทรงพลังอำนาจขุมหนึ่งกวาดสะท้านออกไปยังพื้นที่โดยรอบในฉับพลัน ต่อต้านทำลายพลังอำนาจของกฏแห่งเวลาที่เชวียไห่ซานใช้ออกได้ชะงัด การผนึกห้วงเวลาไม่อาจลุกกล้ำกล้ำกรายเข้าใกล้ต้วนหลิงเทียนได้แม้แต่นิดเดียว!
กฏมิติเองก็เป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดดุจเดียวกับกฏเวลา ถึงแม้ในแง่ความลี้ลับแล้วกฏมิติจะสู้กฏเวลาไม่ได้ แต่พลังอำนาจก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันแต่อย่างใด ทันทีที่กฏมิติแผลงฤทธิ์ พื้นที่โดยรอบก็เสมือนถูกปิดกั้นลงโดยสมบูรณ์
เมื่อพื้นที่มิติถูกปิดกั้น พลังอำนาจของกฏแห่งเวลาที่เชวียไห่ซานใช้ออก ก็ไม่อาจรุกคืบแผ่ขยายเข้ามาได้อีก
วูบ!
สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งถือดีของเชวียไห่ซานเปลี่ยนไปทันใด “เจ้า…เจ้าเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการได้ถึง 2 ชุดแล้ว!?”
ทำไมเชวียไห่ซานถึงได้มั่นใจนักน่ะหรือ ว่าคงยากจะมีศิษย์ถูกขังคนไหนในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 สามารถเอาชนะมันได้?
เพราะเหล่าศิษย์ที่กระทำผิดจนถูกจับมาขังในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 นั้น ปกติแล้วด่านพลังจะบรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูง และเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการชุดเดียว…ถึงแม้เชวียไห่ซานก็จะเป็นเช่นนั้น ทว่ากฏที่มันเข้าใจคือกฏเวลา!
กฏเวลานั้นเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุด และยังเป็นกฏสูงสุดอันดับแรกในบรรดา 4 กฏสูงสุดอีกด้วย
มันจึงมั่นใจที่จะประกาศออกมาได้เต็มปาก ว่ามันคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ที่ถูกขังไว้ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8!
แต่ตอนนี้ คู่ต่อสู้ที่มันกำลังเผชิญหน้า ไม่เพียงแต่จะเข้าใจกฏมิติ ซึ่งเป็น 1 ใน 4 กฏสูงสุดเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายยังเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการของกฏมิติถึง 2 ชุด…สิ่งนี้ทำให้มันบังเกิดความสิ้นหวังทันที
ตัวตนเช่นนี้ ไม่ใช่อะไรที่มันจะต่อกรด้วยได้
“เจ้ายังคิดจะสู้ต่อหรือไม่เล่า?” ในขณะที่กล่าวถาม ต้วนหลิงเทียนยังควบคุมให้พายยุมิติเริ่มกวาดสะท้านออกไปช้าๆ ป่นปี้ทำลายพลังของกฏเวลาที่เชวียไห่ซานได้อย่างง่ายดายปานย่ำเหยียบใบไม้แห้งกรอบ ไม่อาจต่อต้านได้เลย
“หึ!”
เชวียไห่ซานพ่นลมสบทเยียบเย็นออกมาคำหนึ่ง สีหน้ายังเย็นชาปานมีชั้นน้ำแข็งเคลือบไว้ ต่อมาในมือมันก็ปรากฏธงเล็กๆผุดจากความว่างเปล่า ตัวธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เต็มไปด้วยลวดลายอักขระซับซ้อน และพอมันปรากฏออกมา เชวียไห่ซานก็ถ่ายพลังเทพลงไปทันที
ทันใดนั้นเองพลังของเชวียไห่ซานก็เพิ่มพูนขึ้นในฉับพลัน ไม่เพียงห้วงเวลาผนึกแข็งจะเริ่มต้านทานการบุกรุกของพายุมิติอันน่าพรั่นพรึงได้ ยังเริ่มส่อแววจะตีโต้ได้ด้วย!
“เจ้าคิดว่า…เจ้ามีอุปกรณ์เทพขั้นกลางคนเดียว?”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกเหนือคาดอยู่บ้างที่เห็นเชวียไห่ซานนำอุปกรณ์เทพระดับกลางออกมาใช้ ทว่าในเมื่อมันเป็นแค่อุปกรณ์เทพขั้นกลางที่ไร้จิตวิญญาณ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้หวั่นเกรงแต่อย่างใด เพียงสะบัดมือเรียกกระบี่เทพขั้นกลางออกมาถือไว้เล่มหนึ่ง…
วู้มมม!!
พลังเทพของต้วนหลิงเทียนถ่ายทอดลงตัวกระบี่เร็วรี่ จากนั้นก็ตวัดกระบี่ออกไปส่งๆ
ทว่าพริบตาต่อมา พายุมิติคล้ายได้รับพลังอำนาจหนุนเสริมจากทวยเทพ พวกมันควบรวมก่อเกิดเป็นกระบี่มิติสีเทาไร้สภาพเล่มเขื่อง จากนั้นก็พุ่งทะลวงฝ่าห้วงเวลาผนึกแข็งที่พึ่งทวีพลังอำนาจขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย พริบตาก็ฝ่าไปถึงเบื้องหน้าเชวียไห่ซานแล้ว!
เห็นดังนั้นเชวียไห่ซานก็กัดฟันแน่น มันเร่งเร้าพลังชั่วชีวิตออกมาเพื่อรวมรั้งพลังต้านทานสุดกำลัง ชุดคลุมเริ่มโบกสะบัดวุ่นวาย อนิจจายิ่งมาสองตายิ่งฉายชัดถึงความสิ้นหวัง เมื่อกระบี่มิติสีเทาไร้สภาพเข้ามาใกล้ ชุดเสื้อผ้าทั้งเนื้อตัวมันก็ประหนึ่งเถ้าธุลีต้องลม สลายไปในอากาศด้วยความเร็วชวนสยอง!
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะหยุดมือเอาไว้ได้ทันท่วงที แต่กระบี่มิติสีเทาไร้สภาพเล่มเขื่องนั่นก็อยู่ใกล้เชวียไห่ซานมากเกินไป แค่รัศมีพลังที่แผ่ออกมารอบกระบี่ก็ทำให้มันแทบจะสลายเป็นผงอยู่รอมร่อ…!
ฟิ้วววว!!
ด้านเชวียไห่ซานที่เกร็งพลังชั่วชีวิตต้านทาน อยู่ๆก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นหอบหนึ่งตีปะทะเข้าร่าง ชวนให้ผิวกายที่ป่นสลายไปแล้วบางส่วนรู้สึกปวดแสบ ทว่าความปวดแสบนี้กลับทำให้มันมีความสุขนัก! เพราะมันคิดว่ามันต้องตายแล้วแน่แท้ แต่ไม่คิดเลยจริงๆว่ามันจะได้รับโอกาสที่สอง!!
“ขอบคุณศิษย์น้องที่เมตตา!”
เชวียไห่ซานเร่งประสานมือโค้งคารวะ กล่าวคำขอบคุณต้วนหลิงเทียนเร็วไว “ศิษย์พี่ เชวียไห่ซาน คนนี้ จะจดจำความเมตตาของศิษย์น้องไว้ในใจไม่รู้ลืม มิทราบศิษย์น้องเรียกว่าอะไร?”
“ต้วนหลิงเทียน”
ที่ต้วนหลิงเทียนไม่ฆ่าเชวียไห่ซานทิ้ง เนื่องเพราะก่อนหน้าที่จะประมือกัน อีกฝ่ายบอกไว้ว่าวันนี้ถึงจะฆ่าเขาได้แต่ก็จะไม่ฆ่า เช่นนั้นเขาก็เลยเลือกจะไว้ชีวิตอีกฝ่าย
“ต้วนหลิงเทียน…ชื่อดี!”
เชวียไห่ซานพยักหน้า “วันหน้าเมื่อข้าออกไปได้เมื่อใด บุญคุณไว้ชีวิตครั้งนี้ ข้าจักหาทางตอบแทนศิษย์น้องแน่”
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เก็บเอาคำพูดของเชวียไห่ซานมาใส่ใจแม้แต่นิดเดียว
ในความคิดเขา ศิษย์สายในที่ถูกจับมาขังไว้ในบันไดสวรรค์เช่นนี้ สมควรทำความผิดร้ายแรงบางอย่างมา และโทษจำคุกคงนานไม่ใช่น้อย ถึงจะมีวันที่หมดโทษ แต่ก็คงอีกนาน…
และในเมื่ออีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งอ่อนด้อยกว่าเขามาก ในปัจจุบันก็คงไม่มีอะไรที่จะตอบแทนเขาได้แล้ว
ต่อไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ศิษย์น้อง ต่อไปเมื่อเจ้าขึ้นไปยังขั้นที่ 9 ของบันไดสวรรค์ หากเจ้าพบว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย อย่าได้รอช้าลังเลเด็ดขาด รีบใช้ป้ายบันไดสวรรค์เสีย…เพราะต่อให้เจ้าแค่ขึ้นไปเหยียบขั้นที่ 9 เพียงเสี้ยวพริบตา เจ้าก็ต้องได้รับอันดับ 1 ในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ของขอบเขตเทพแน่นอน”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะจากไป เชวียไห่ซานก็กล่าวเตือนเสียงหนัก
“ศิษย์ที่ถูกขังในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9…สมควรเป็นราชาเทพกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“มากกว่า 9 ส่วนล้วนเป็นราชาเทพ”
เชวียไห่ซานพยักหน้า “มีเพียงไม่กี่คนที่ยังรั้งอยู่ในขอบเขตเทพขั้นสูง อย่างไรก็ตามคนพวกนี้จักเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการถึง 2 ชุด…สำหรับศิษย์น้องหากเจอคนพวกนี้ย่อมมีโอกาสผ่านบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ได้จริงๆ เพราะด้วยกฏมิติที่ศิษย์น้องเข้าใจ คงไม่ยากที่จะเอาชนะพวกมัน”
“พอไปถึงขั้นที่ 9 ขอศิษย์น้องอย่าได้วู่วามลงมือ รอดูสถานการณ์ให้แน่ชัดก่อนค่อยตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรเถอะ”
เชวียไห่ซวนกล่าวแนะนำ
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
“วันหน้าหากข้าออกไปได้เมื่อใด ข้าจักไปเลี้ยงสุราศิษย์น้องสักครา!”
เชวียไห่ซานกล่าวลาต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็เปิดใช้ค่ายกล ส่งต้วนหลิงเทียนออกจากบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 ไปยังขั้นที่ 9 ทันที
และหลังจากที่ร่างต้วนหลิงเทียนหายลับไปจากสายตา เชวียไห่ซานก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาดังเฮือก “ไม่คิดเลยว่าในนิกายจะปรากฏศิษย์ที่มีระดับพลังบ่มเพาะเพียงเทพขั้นสูง แต่กลับเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการได้ถึง 2 ชุดอีกคน…”
“นอกจากนั้นกฏที่มันเข้าใจยังเป็นกฏมิติอีก”
แม้แต่ในอดีต ก่อนที่เชวียไห่ซานจะถูกคุมขัง ตัวตนเช่นนี้ก็หาได้ยากนัก
ในรุ่นของมัน มีแค่น้องชายของมัน เชวียไห่ชวน คนเดียวเท่านั้นที่บรรลุความสำเร็จดังกล่าว
“ผ่านไปก็หมื่นกว่าปีแล้ว ไม่ทราบน้องเล็กเป็นอย่างไรบ้าง…ด้วยพรสวรรค์กับความเข้าใจของมัน หากไม่ใช่ราชาเทพขั้นสูง ก็สมควรบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้วกระมัง?”
เชวียไห่ซานกล่าวพึมพำกับตัว
ในเวลาเดียวกัน
นอกบันไดสวรรค์ ผู้คนก็ท่วมท้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกยากจะกล่าว
“สวรรค์! ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น…มันถึงกับขึ้นไปขั้นที่ 9 ได้จริงๆ!!”
“เอ่อ…ข้าตาฝาดไปรึเปล่า?”
…