WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3676 ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว
ตอนที่ 3676 : ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว
ก่อนจะมายืนบนสังเวียนของแท่นยอดยุทธ์ ฉีอวี่ไม่ได้ใช้สำนึกเทวะตรวจสอบด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียนเลย เพราะมันเชื่อไปตามจิตใต้สำนึก ว่าต่อให้ต้วนหลิงเทียนอยากทะลวงขั้นพลัง ก็คงไม่อาจจะทะลวงขั้นพลังได้ระหว่างเดินทางมายังนิกายหมอกเร้นลับ
จนกระทั่งมายืนบนสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์ พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังใจเย็นแปลกๆ ฉีอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะลองแผ่สำนึกเทวะไปตรวจสอบด่านพลังของต้วนหลิงเทียนดู
พอพบว่าด่านพลังฝึกปรือของต้วนหลิงเทียน ที่แท้บรรลุถึงขอบเขตเทพขั้นสูงแล้วจริงๆ ใจมันก็เต้นระส่ำไปไม่เป็นจังหวะทันที ความรู้สึกยังเสมือนพลิกคว่ำร้อยแปดสิบองศา
ต้วนหลิงเทียนทะลวงขั้นพลังแล้วกับยังไม่นั้น เป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันราวฟ้าดิน!
หากบอกวว่าตอนที่ต้วนหลิงเทียนยังไม่ทะลวงผ่าน มันไม่เกรงกลัวเลยล่ะก็…
มาตอนนี้หลังต้วนหลิงเทียนทะลวงขั้นพลังแล้ว มันไม่เหลือความมั่นใจอีกต่อไป!
ถึงมันจะเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏ 3 ประการเช่นกัน แต่กฏที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจกลับเป็นกฏมิติ 1 ใน 4 กฏสูงสุด! ส่วนกฏที่มันเชี่ยวชาญเป็นแค่ 1 ใน 5 กฏทั่วไปอย่างกฏแห่งลมเท่านั้น!!
“ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทะลวงถึงเทพขั้นสูงได้แล้ว…”
ท่ามกลางสายตาผู้คน ฉีอวี่ที่มองไปยังต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าจริงจัง กล่าวคำออกมาเสียงหนัก
และเสียงพูดของมันก็ไม่ได้จงใจกล่าวให้เบาแต่อย่างใด ยังคล้ายตั้งใจพูดออกมาชัดๆ ทำให้ดังเข้าหูทุกคนชัดเจน รวมถึงอาวุโส 2 คนที่ควบคุมดูแลแท่นยอดยุทธ์ด้วย
อาวุโสคนหนึ่ง แซ่เผิง
“อาวุโสเฉิน…ข้าว่าท่านกังวลเรื่องต้วนหลิงเทียนเกินจำเป็นแล้วกระมัง?”
อาวุโสเผิงดังกล่าว หลังจากได้ยินคำพูดฉีอวี่ มันก็แผ่สำนึกเทวะกวาดผ่านร่างต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว หลังยืนยันด่านพลังฝึกปรือต้วนหลิงเทียนได้แล้ว มันก็ส่งข้อความไปหาอาวุโสฝ่ายในที่ทำหน้าที่เฝ้าบันไดสวรรค์ทันที
“ทำไมเล่า?”
อาวุโสเฉินที่ทำหน้าที่เฝ้าบันไดสวรรค์ พอได้รับข้อความดังกล่าวย่อมสงสัยเป็นธรรมดา
“ก็ต้วนหลิงเทียนมันเป็นเทพขั้นสูงเช่นกันน่ะสิ จากกฏที่มันเข้าใจมิใช่ว่าเป็นต่อฉีอวี่หรือไร เช่นนั้นที่ท่านให้ข้ากล่าวเตือนมันเรื่องยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรือไร?”
อาวุโสเผิงส่งข้อความไปด้วยน้ำเสียงขุ่นขึ้ง
“อะไร!? ต้วนหลิงเทียนเป็นเทพขั้นสูงแล้ว!?”
ด้านผู้อาวุโสเฉินพอได้ยินข้อความ ก็ตกใจไม่น้อย “แต่ก่อนเจ้าหนูนั่นจะเข้าไปในบันไดสวรรค์ ด่านพลังฝึกปรือของมันยังอยู่ในขอบเขตเทพขั้นกลางชัดๆ เป็นข้าใช้สำนึกเทวะตรวจสอบมันเอง…หรือมันจะทะลวงขั้นพลังระหว่างสู่กับผู้เฝ้าด่าน?”
“สมควรเป็นเช่นนั้น”
“มิน่าล่ะ…มันสมควรทะลวงขั้นพลังในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 เป็นแน่ และหลังจากมันทะลวงถึงเทพขั้นสูงและปรับพลังสักพัก อาศัยพลังระดับเทพขั้นสูง เจ้าหนูนั่นย่อมสามารถเอาชนะผู้เฝ้าด่านขั้นที่ 8 ได้ในเวลาอันสั้น…ที่แท้ผู้เฝ้าด่านไม่ได้ปล่อยมันไปเฉยๆอย่างที่ทุกคนคาดเดา!”
“ส่วนผู้เฝ้าด่านในบันไดสวรรค์ขั้น 9 ที่มันพบเจอ 9 ใน 10 สมควรเป็นศิษย์สายในที่ด่านพลังทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพแล้ว เช่นนั้นมันที่ยังเป็นเพียงเทพขั้นสูงก็ยากจะรับมือไหว จะแพ้ก็ไม่แปลก”
…
บัดนี้อาวุโสเฉินได้เข้าใจเรื่องราวกระจ่าง
ขณะเดียวกันมันก็พบว่าความกังวลก่อนหน้าช่างเกินจำเป็นจริงๆ ความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ไม่ได้เป็นรองฉีอวี่อีกต่อไป เผลอๆยังจะร้ายกาจกว่าด้วยซ้ำ!
“เรื่องเป็นมาอย่างไรข้าไม่รู้หรอก…ตอนนี้ข้ารอดูการประมือระหว่างเจ้าหนูทั้ง 2 ก่อน ได้ผลอย่างไรข้าจักแจ้งให้ทราบ…อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่า 9 ใน 10 ไม่พ้นต้องจบลงเพราะฉีอวี่ยอมแพ้ เพราะข้าเห็นความกลัวในสายตามัน!”
อาวุโสเผิงส่งข้อความไปด้วยความมั่นใจ “ความกลัว เป็นข้อห้ามร้ายแรงที่สุดก่อนการต่อสู้!”
หลังอาวุโสเผิงส่งข้อความแล้วเสร็จ มันก็มองจ้องไปยัง 2 ร่างบนสังเวียนใหญ่ของแท่นยอดยุทธ์ไม่วางตา เสียงสนทนาจากรอบๆก็ดังขึ้นระงม “ไม่คิดเลยว่าที่แท้ต้วนหลิงเทียนจะทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้แล้ว!”
“มิน่าล่ะ มันถึงกล้ารับคำท้าของศิษย์พี่ฉีอวี่ เพราะมันทะลวงขั้นพลังแล้วนี่เอง!”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ที่แท้ที่ต้วนหลิงเทียนรั้งอยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 เนิ่นนาน ไม่ใช่เพราะสู้กับผู้เฝ้าด่านอย่างยากลำบาก สมควรเป็นทะลวงขั้นพลังอย่างกะทันหัน จึงเสียเวลาปรับด่านพลังในขั้นที่ 7 อยู่นานสองนาน พอไปถึงขั้นที่ 8 จึงเอาชนะผู้เฝ้าด่านได้ง่ายๆ…แต่สุดท้ายพอขึ้นไปที่ขั้น 9 ก็คงพบเจอผู้เฝ้าด่านขอบเขตราชาเทพ จึงแพ้ออกมา”
“สมควรเป็นเช่นนั้น!”
…
ในขณะที่ศิษย์สายในของนิกายหมอกเร้นลับกำลังคาดเดาเรื่องราว ถังอู๋เยียนที่อยู่ปะปนในฝูงชน ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน “เช่นนั้นมันทะลวงขั้นพลังได้จริงๆ”
“เรื่องที่ข้าพูดไปลวกๆก่อนหน้า กลับกลายเป็นความจริง?”
ก่อนหน้านี้ถังอู๋เยียนก็ได้บอกกับฉีอวี่ไปว่า ต้วนหลิงเทียนอาจทะลวงขั้นพลังได้สำเร็จ จึงสามารถผ่านขั้นที่ 8 ของบันไดสวรรค์ จนปีนไปถึงขั้นที่ 9 ได้…
เป็นธรรมดาว่านางไม่ได้มั่นใจในตัวต้วนหลิงเทียนมากนัก เพียงแค่ไม่สบอารมณ์ฉีอวี่เท่านั้น แต่ไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าสิ่งที่นางพูดก่อนหน้าดันกลายเป็นจริงขึ้นมา
“ทำไม? เจ้าอยากยอมแพ้เลย?”
หลังได้ยินคำพูดฉีอวี่ที่ล่วงรู้ระดับพลังบ่มเพาะของเขา สีสน้าท่าทีต้วนหลิงเทียนยังไม่เปลี่ยนแปลง เพียงมองลึกไปทางมัน พลางถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
“ท้ายที่สุดแล้ว…เท่าที่ข้ารู้มา แท่นยอดยุทธ์ก็มีกฏอยู่ข้อหนึ่ง หลังจากขึ้นสังเวียนแล้วนับตั้งแต่เริ่มการประลอง 10 ลมหายใจแรก ยังไม่อนุญาตให้กล่าวคำยอมแพ้”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยกฏข้อหนึ่งของแท่นยอดยุทธ์ที่เขารู้จากคู่มือศิษย์สายใน ขณะกล่าวสีหน้ายังฉายความเย้ยหยันออกมาอยู่บ้าง
“ผู้ใดบอกเจ้าว่าข้าจะยอมแพ้”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสาตาแปลกๆจากผู้คนโดยรอบ ถึงแม้ฉีอวี่จะบังเกิดความหวั่นใจอยู่บ้าง แต่มันก็แสร้งทำเป็นไม่กลัว “ต้วนหลิงเทียน เจ้าเป็นเทพขั้นสูงแล้วอย่างไร…สุดท้ายเจ้าก็พึ่งทะลวงขั้นพลัง!”
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้ายังไม่มีเวลาควบด่านพลังให้มั่นคงด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับต้องการให้ข้า ฉีอวี่ ยอมรับความพ่ายแพ้?”
“ช่างน่าขันนัก!”
พอฉีอวี่กล่าวจบคำ ก็ปรากฏสายลมรุนแรงพัดม้วนไปทั่วร่าง เป็นพลังเทพที่ผสานเข้ากับพลังธาตุลม ทำให้พลังของมันเริ่มก่อตัวเป็นพายุใต้ฝุ่นขนาดย่อม
นอกจากนั้นพายยุใต้ฝุ่นดังกล่าว ยิ่งมาก็ยิ่งขยายใหญ่ แถมทรงพลังอำนาจมากขึ้นทุกขณะ
ฉากการเร่งเร้าพลังของฉีอวี่ ต้วนหลิงเทียนเพียงนิ่งมองอย่างใจเย็น
ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนักศึกษาที่เป็นผู้เฝ้าด่านที่เขาพบเจอในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ก็เป็นผู้ใช้กฏแห่งลมดุจเดียวกับฉีอวี่ แถมพลังฝีมือของมันยังเหนือกว่าฉีอวี่มาก เพราะฉีอวี่เพียงเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการได้แค่ชุดเดียวเท่านั้น แต่ผู้เฝ้าด่านดังกล่าวเข้าใจถึง 2 ชุดแล้ว! ความแข็งแกร่งของทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
และเรื่องของเรื่องก็คือ…
แม้แต่ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตนั่น ยังถูกต้วนหลิงเทียนเอาชนะได้อย่างง่ายดาย…
“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้า…”
หลังต้วนหลิงเทียนเห็นฉีอวี่เร่งเร้าพลังใกล้เสร็จแล้ว เขาก็ค่อยๆกล่าวคำออกมาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “คุกเข่าลงไปแล้วโขกหัวขอขมาข้า 10 ครั้ง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า…”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ ผู้ชมโดยรอบก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ด้วยไม่มีใครคิดว่าต้วนหลิงเทียนจะกล่าวคำพูดเหล่านั้นออกมา คำพูดของคนที่กอบกุมชัยชนะไว้ในกำมือแน่นอนแล้ว!
“อวดดี!!”
ด้านฉีอวี่ที่ได้ยินถึงกับหัวร้อนจนสติขาดผึง มันคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ซัดพายุพลังีท่เร่งเร้าอยู่นานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนทันที จากนั้นคนก็ถีบเท้าโจนทะยานตามพุมาติดๆ
และทันใดนั้นเอง ฉีอวี่ก็สะบัดมือเรียกดาบโค้งราวเสี้ยวจันทร์ออกมากระชับเป็นมั่นเหมาะ และพอถ่ายทอดพลังเทพที่รวมผสานเข้ากับธาตุลมลงไป ตัวดาบก็เปล่งแสงพลังสีเขียวสว่างจ้า!
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าดาบในมือฉีอวี่เป็นอุปกรณ์เทพ
อนิจจามันเป็นแค่อุปกรณ์เทพขั้นต่ำเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นแค่อุปกรณ์เทพขั้นต่ำ แต่เมื่ออยยู่ในมือฉีอวี่ที่จ่ายพลังลงไปเต็มที่ ตัวดาบก็สำแดงอานุภาพเพิ่มพูนพลัง พาลให้ไอพลังทั่วร่างฉีอวี่สูขึ้นในฉับพลัน มันยังรวมรั้งพลังห้วงใหม่ผนึกลงสู่ตัวดาบ ก่อนจะตวัดฟัน ซัดคมมีดสายลมลักษณ์เสี้ยวจันทร์กรีดฟ้าไปฉับไว รวดเร็วยิ่งกว่าฟ้าผ่าเสียอีก!!
ฟั่ฟฟฟ!!
เสียงดาบกรีดฟ้าฉับไวดังขึ้นกึกก้อง คลื่นดาบพลังสังหารเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างอำมหิต!
แต่กระนั้น แม้การลงมือของฉีอวี่จะรวดเร็วแค่ไหน จะพุพลังก็ดีคลื่นดาบก็ดี ต้วนหลิงเทียนอาศัยความลึกซึ้งเคลื่อนมิติ ก็หลบได้อย่างง่ายดาย แถมยังหายตัวไปปรากฏขึ้นไม่ไกลฉีอวี่อีกด้วย
“หาที่ตาย!!”
แม้จะเป็นการเคลื่อนย้ายข้ามมิติมาผุดโผล่ด้านหลังซึ่งเป็นจุดบอด แต่ฉีอวี่ที่แผ่สำนึกเทวะออกไประวังตัวแต่แรกย่อมสัมผัสได้ทันที มันรีบวกดาบมาตวัดฟันไปด้านหลังโดยไม่มอง อุบัติคลื่นพลังสะบั้นสีเขียวอีกสาย คลี่กางออกมาปานพัด กวาดสะท้านเข่นฆ่าไปเร็วรี่ แม้จะไม่ได้รุนแรงเท่ากระบวนดาบแรก แต่ก็ไม่อาจดูเบาได้
ซู่มมม!
พร้อมกันนั้นเอง คลื่นดาบสังหารแรกที่ต้วนหลิงเทียนหายตัวหลบมา ประหนึ่งจะมีดวงตางอกเงย มันหักเหเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ วกกลับมาเข่นฆ่าเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง!
“ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนค่อยๆปริปากกล่าวคำด้วยน้ำเสียงเฉยเมย สองตานิ่งสงบไร้ระลอก เท้าย่ำออกไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นรอบตัวเขาพลันปรากฏเงาร่างชุดเกราะขึ้นมารางๆ ยังผสานรวมเข้ากับพลังมิติทั่วร่าง ราวม่านน้ำสีเทาฉาบเคลือบ แม้จะแลดูบอบบาง แต่กลับสามารถต้านทานทั้งทำลายคลื่นดาบของฉีอวี่ที่รีบร้อนซัดกลับหลังมาได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นก่อนที่คลื่นดาบแรกของฉีอวี่จะวกมาถึง ต้วนหลิงเทียนเพียงยกมือขึ้นโบกออกไปเบาๆต่อหน้าผู้คนทั้งหมด
การกระทำมันช่างแช่มช้อยราวเมฆคล้อยน้ำไหล สงบนิ่งบางเบา..
ฟั่ฟ!!
ทันใดนั้นเอง บังเกิดเสียงหอนกระบี่ดังขึ้นคราหนึ่ง
และขณะที่ทุกคนพบว่าไม่ทราบในมือต้วนหลิงเทียนถือกระบี่เอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หัวกับตัวฉีอวี่ก็แยกออกจากกันเสียแล้ว และพริบตาต่อมาก็ปรากฏพลังมิติอันน่าพรั่นพรึงแผ่ออกไปคลุมฟ้าราวเครื่องบดเนื้อ ป่นปี้ร่างฉีอวี่จนกลาเป็นหมอกเลือดในบัดดล…
คลื่นดาบแรกของฉีอวี่ที่กำลังเข่นฆ่าเข้ามา เมื่อฉีอวี่ตกตายพลังอานุภาพของมันก็เริ่มสลายหายไปทันที กว่าจะปะทะเขากับม่านพลังบางเบาลักษ์ชุดเกราะสีเทาทั่วร่างต้วนหลิงเทียน ก็เหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว ชุดเกราะที่ต้วนหลิงเทียนสวม ก็คือ 1 ใน 10 อุปกรณ์เทพขั้นต่ำท่ามกลาง ‘ความจริงใจ’ ของตระกูลจ้งแห่งเมืองวายุสวรรค์ แต่ด้วยความที่มันเป็นชุดเกราะ เช่นนั้นในแง่มูลค่าแล้ว มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าศาสตราเทพขั้นกลางเลย
กระทั่งกระบี่เทพที่เขาเรียกออกมา ก็เป็นอุปกรณ์เทพขั้นต่ำที่ตระกูลจ้งให้มาเช่นกัน
ซัว…
ซ่า…
…
ละอองโลหิตที่ฟุ้งไปทั่ว ไม่นานก็เริ่มตกลงบนพื้นสังเวียนของแท่นยอดยุทธ์ กลายเป็นร่องรอยชวนสยองบ่งบอกว่ามีหนึ่งชีวิตพึ่งดับลง เห็นฉากดังกล่าวทุกคนโดยรอบก็พร้อมใจกันเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ
ไม่มีใครคิดใครฝัน ว่าเรื่องราวมันจะจบลงรวดเร็วถึงขนาดนี้
ตั้งแต่ที่ฉีอวี่เร่งเร้าพลัง จวบจนตกตายกลายเป็นละอองเลือดเปรอะสังเวียน ยังผ่านไปม่ถึง 3 ลมหายใจด้วยซ้ำ
และหากนับจากที่ต้วนหลิงเทียนเริ่มเคลื่อนไหว เวลาที่ใช้ไปก็ไม่ทันครบ 1 ลมหายใจดี…
“ฟืด—!!”
อาวุโสสายในทั้ง 2 ที่รับหน้าที่ควบคุมดูแลแท่นยอดยุทธ์ แมท้มันจะมีประสบการณ์มากมาย ผ่านอะไรมาก็ไม่น้อย ทำให้ถึงฉากเบื้องหน้าจะน่าตกใจ พวกมันก็ดึงสติกลับมาได้แทบจะทันที แต่กระนั้นพวกมันก็อดสูดลมหายใจเข้าลึกๆไม่ได้
พอมองไปยังร่างในชุดสีม่วงอีกครั้ง ในแววตาก็ฉายให้เห็นถึงความทึ่ง
ถึงแม้พวกมันจะคิดว่าต้วนหลิงเทียนสมควรเป็นผู้ชนะแต่แรก
อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะชนะได้หมดจดขนาดนี้
นั่นคือฉีอวี่! ในบรรดาศิษย์สายในนิกายหมอกเร้นลับขอบเขตเทพ จะอย่างไรมันก็คือ 1 ใน 10 ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุด!
กล่าวได้ว่า ยามมันออกไปด้านนอก ก็เป็นดั่ง ‘ป้ายยี่ห้อ’ แทนความแข็งแกร่งศิษย์ขอบเขตเทพของนิกายหมอกเร้นลับได้อย่างไม่อายใคร…
แต่ตอนนี้คนกลับตกตายไปง่ายดายเพียงเท่านั้น…
แน่นอนว่าพวกมันไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกเพราะตัวตนที่เป็นดั่ง ป้ายยี่ห้อ ตกตายแม้แต่นิดเดียว อันที่จริงพวกมันยังตื่นเต้นมากกว่า เพราะการตายของฉีอวี่ ได้บ่งบอกว่าบัดนี้นิกายหมอกเร้นลับได้ปรากฏตัวศิษย์สายในขอบเขตเทพสุดแกร่งคนใหม่ขึ้นมาแล้ว
ต้วนหลิงเทียน!
ศิษย์สายในคนใหม่ที่ถูกรองประมุขนิกายหมอกเร้นลับ มู่หรงสุยเฟิง ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับประจำเมืองวายุสวรรค์แนะนำมาด้วยตัวเอง…นี่คือ ป้ายยี่ห้อ บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของนิกายหมอกเร้นลับคนใหม่
ยังเป็น ป้ายยี่ห้อ ที่แข็งแกร่งกว่าฉีอวี่เสียอีก!
“นี่…”
ถังอู๋เยียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน หลังจากอึ้งไปอยู่นานในที่สุดนางก็ดึงสติกลับมาได้สำเร็จ และหลังจากได้สติกลับมาแล้ว นางก็มองไปยังแผ่นหลังของร่างในชุดสีม่วงด้วยความเหลือเชื่อ “มัน…มันพึ่งทะลวงถึงเทพขั้นสูงมิใช่หรือไร ไฉนร้ายกาจนักล่ะ?”
“ฉีอวี่…ถูกมันฆ่าในกระบี่เดียว!?”