WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3684 ไม่อาจนับเป็นอะไรได้
ชายชราที่ยืนไม่ไกลจากจางเทียนเหิงก็คือรองหัวหน้าโถงทดสอบ และยังเป็นอาวุโสฝ่ายในที่พลังฝีมือร้ายกาจไม่ใช่ชั่ว กล่าวได้ว่าพลังฝีมือของมันเป็นรองก็แต่อาวุโสหลักทั้ง 19 คนซึ่งรวมไปถึงอาวุโส 2 ของนิกายหมอกเร้นลับเท่านั้น
และมันยังเป็นหนึ่งในอาวุโสฝ่ายในของนิกายหมอกเร้นลับไม่กี่คน ที่มีแน้วโน้มจะได้เลื่อนขั้นเป็นอาวุโสหลัก!
“ขอท่านหัวหน้าโถงอย่าได้ห่วง ตอนนี้ทุกอย่างยังดำเนินไปอย่างราบรื่น”
ชายชราคลี่ยิ้มกล่าวตอบ
“มีผู้ใดทำผลงานได้เข้าตาท่านบ้างหรือไม่?”
จางเทียนเหิงเอ่ยถามสืบต่อ “เป็นไปได้ไหมที่ครั้งนี้พวกเราจะได้ศิษย์หลักเพิ่ม?”
ได้ยินทั้ง 2 คำถามของจางเทียนเหิง ชายชราก็ได้แต่คลี่ยิ้มขื่นขม “ท่านหัวหน้าโถง ศิษย์หลักไหนเลยจะเป็นกันได้ง่ายๆ…ตอนนี้ผลงานของทุกคนที่เข้าทดสอบ กล่าวไปก็แค่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเท่านั้น และเท่าที่ข้าดูแนวโน้มของพวกมัน เกรงว่าคงยากจะมีใครผ่านการทดสอบได้…”
“ข้ายังคิดว่าต้วนหลิงเทียนคนนั้น สมควรมีโอกาสเป็นศิษย์หลักสูงกว่าพวกมันเสียอีก”
พอชายชราเอ่ยถึงจุดนี้ มันก็อดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ “ว่าแต่ด้านท่านเล่าหัวหน้าโถง เป็นอย่างไรบ้าง? โดยเฉพาะต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเป็นอย่างไรแล้ว?”
“เหอะๆ เจ้าหนูนั่นยังไม่ได้ลงมืออะไรเลย”
จางเทียนเหิงส่ายหัวไปมาค่อยตอบ “พอดีเด็กน้อยบ้านข้ามันยุยงศิษย์สายในคนอื่นๆให้คอยช่วยเปิดทางให้ต้วนหลิงเทียน หมายช่วยทุ่นแรงให้ต้วนหลิงเทียน เพื่อผ่านการทดสอบประเมินได้ง่ายขึ้น…ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่ามันไฉนถึงหาเรื่องเหนื่อยเปล่าเพื่อผู้อื่นเช่นนี้”
กล่าวถึงจุดนี้จางเทียนเหิงก็ส่ายหัวไปมาอย่างอ่อนใจ ชายชราคลี่ยิ้มแหยๆ ค่อยกล่าวว่า “ดูเหมือนนายน้อยโถงทดสอบเราจักไม่รู้ ว่าในการทดสอบประเมินศิษย์หลัก ต่อให้ทุกๆคนจะช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนในการทดสอบมากเท่าใด แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ว่าจะช่วยต้วนหลิงเทียนให้ผ่านการทดสอบได้…สุดท้ายแล้วการทดสอบก็ถูกท่านปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสถานการณ์ได้เสมอ”
“เพราะเช่นนั้นอย่างไรเล่า ข้าถึงบอกว่าเด็กบ้านข้ามันหาเรื่องเหนื่อยเปล่า…”
จางเทียนเหิงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
ชายชราส่ายหัว “ท่านหัวหน้าโถง อันที่จริงท่านกล่าวว่านาน้องโถงทดสอบเหนื่อยเปล่าก็ไม่ถูกทั้งหมด…ผู้ใดจักไปรู้ บางทีนายน้อยอาจใช้โอกาสนี้เพื่อสานไมตรีกับต้วนหลิงเทียนคนนั้นก็เป็นได้? เพราะต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ผ่านการทดสอบจนกลายเป็นศิษย์หลักในครั้งนี้ได้ก็จริง แต่ขอเพียงเติบโตก้าวหน้าขึ้นไป ต้องกลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งไม่ต่างจากเสาหลักของนิกายหมอกเร้นลับเราแน่”
“เหอะๆ หากเจ้าหนูนั่นมันคิดอ่านมองการณ์ไกลเช่นนั้นจริง ข้าก็คงไม่ต้องกังวลแทนมันหรอก…”
เห็นได้ชัดว่าจางเทียนเหิงไม่เชื่อว่าลูกชายตัวเองจะมองการณ์ไกลถึงขนาดนั้น “ในสายตาข้า ไม่พ้นเจ้าเด็กหัวเหม็นนั่นคิดช่วยต้วนหลิงเทียน เพราะหวังให้ต้วนหลิงเทียนผ่านการทดสอบครั้งนี้ มันจะได้เอาเรื่องราวไปกล่าวอวดผู้อื่นว่าเป็นพยานการถือกำเนิดศิษย์หลักขอบเขตเทพในรอบหมื่นปีมากกว่า…”
…
จางเหยาจี้ย่อมไม่รู้ว่าบิดาคิดอย่างไรกับมัน
หากมันรู้ล่ะก็ ไม่พ้นต้องยกนิ้วให้บิดาแล้วกล่าวบอกด้วยรอยยิ้มว่า ‘ยังเป็นท่านพ่อที่รู้ใจข้าที่สุด’ เป็นแน่!
หุบเหวสุดขั้วที่อยู่ในโลกใบเล็กภายในกายของจางเทียนเหิงนั้น เป็นธรรมดาว่าจางเทียนเหิงผู้เป็นถึงหัวหน้าโถงทดสอบ ตั้งใจสร้างมันขึ้นมาเพื่อใช้ในการทดสอบศิษย์หลักโดยเฉพาะ
เมื่อด่านพลังฝึกปรือมาถึงขอบเขตจางเทียนเหิง โลกใบเล็กภายในกายก็บังเกิดความเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปมาก สุดที่โลกใบเล็กภายในกายของตัวตอนขอบเขตเทพจะเทียบได้ เพียงอาศัยห้วงคิดเดียวก็สามารถสรรค์สร้างทั้งปรับเปลี่ยนทุกสิ่งอย่างในโลกใบเล็กได้ไม่ต่างอะไรจากพระเจ้าเนรมิต เช่นนั้นเรื่องสร้างพื้นที่ว่างเพื่อกักเก็บสิ่งมีชีวิตใดๆย่อมง่ายดายเพียงแค่ใจนึก
อีกทั้งสิ่งมีชีวิตใดๆที่มันกักเก็บไว้ เพียงแค่คิดก็จะให้ไปปรากฏตัวที่ใดก็ได้ในโลกใบเล็ก
กล่าวได้ว่ามันสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบเล็กของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
สิ่งนี้ก็เหมือนผู้แข็งแกร่งที่สุด ที่สามารถควบคุมจัดการระนาบเทพที่ตัวเองสร้างขึ้น
เพราะจากข่าวลือ ระนาบเทพทั้งหลาย ก็คือโลกใบเล็กภายในกายของผู้แข็งแกร่งที่สุด
ตอนนี้สถานการณ์ภายในหุบเหวสุดขั้ ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ได้ลงมือแต่อย่างไร
จนเมื่อจางเหยาจี้และศิษย์สายในเริ่มตึงมือ กระทั่งมีคนเพลี่ยงพล้ำเจียนถูกทำร้าย ต้วนหลิงเทียนถึงได้ลงมือช่วยเหลือ
ซัววว!!
ครืนนน!!
…
เพียงพายุมิติที่พัดกวาดออกไปลูกหนึ่ง ก็คลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดให้เหล่าศิษย์สายในหลายคน เมื่อแรงกดดันลดทอนลง พวกมันก็ฉวยโอกาสดังกล่าวตีโต้ทาสเดนตายกับสัตว์อสูรจนต้องล่าถอย
และเมื่อพวกมันถอยร่นออกไปแล้ว ก็จะไม่ย้อนกลับมาอีก
ทาสเดนตายนั้นไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะพวกมันไร้ความรู้สึกนึกคิดไปแล้ว
อย่างไรก็ตามสัตว์อสูรทั้งหลาย ขณะที่ล่าถอยกลับไป พวกมันก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาหวาดกลัว
ทาสเดนตายเมื่อไร้ความรู้สึกนึกคิดจึงไม่รู้จักความหวาดกลัว อย่างไรก็ตามเหล่าสัตว์อสูรนั้นแม้จะไร้สติปัญญา และไม่มีความทรงจำใดๆ แต่สัญชาติญาณของพวกมันกลับไม่ได้หายไปไหน พวกมันย่อมไวต่อสิ่งที่เป็นภัยกับชีวิตของพวกมันมาก
หลังจากผ่านด่านทดสอบไปหลายด่าน ตอนนี้ในบรรดาศิษย์สายในที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ นอกจากจางเหยาจี้แล้วก็มีอีกแค่ 2 คนเท่านั้น สวนศิษย์สายในที่เหลือต่างสิ้นพลังหมดเรี่ยวแรงกันแล้ว
“ศิษย์พี่ต้วน พวกเราไม่ไปต่อให้เป็นตัวถ่วงของท่านดีกว่า”
ศิษย์สายในหลายคนหันไปมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มขื่นขม “สองด่านล่าสุด หากไม่ใช่เพราท่านคอยดูสถานการณ์โดยรวม และยื่นมือเข้าช่วยได้ทันท่วงที เกรงว่าพวกเราหลาคนคงถูกคัดออกไปนานแล้ว…”
“อาศัยพลังของพวกเรา คงมาส่งท่านได้ถึงที่นี่เท่านั้น”
“หลังจากนี้ ขอให้ท่านสู้ๆ!”
ศิษย์สายในคนอื่นๆที่พลังร่อยหรอไม่มีเรี่ยวแรงต่างพยักหน้าเห็นด้วย หลังแต่ละคนกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียนที่ยื่นมีคลี่คลายวิฤตให้ก่อนหน้า พวกมันก็กล่าวด้วยความหวาดหวัง และตั้งหน้าตั้งตารอดูต้วนหลิงเทียนผ่านการทดสอบประเมินศิษย์หลักขอบเขตเทพอย่างไร
“ช่างยากเย็นยิ่งนัก…ดูแล้วพวกเรายังพึ่งมากันได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น”
ศิษย์สายในคนหนึ่งกล่าวออกมาหลังจากแหงนมองเบื้องบน มันพบว่าหลังจากสู้จนสิ้นไร้เรี่ยวแรง แต่สุดท้ายก็เพียงมาได้ครึ่งทางของหุบเหวสุดขั้วเท่านั้น และเผลอๆอาจจะยังไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
“นั่นสิ…ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าอาวุโสเชวียไห่ชวนเมื่อ 10,000 ปีผ่านการทดสอบหฤโหดนี้ไปได้อย่างไร…”
ศิษย์สายในอีกคนพยักหน้าเห็นด้วย
ด้วยเหตุนี้ ก็เหลือแค่ต้วนหลิงเทียนกับศิษย์สายในอีก 3 คนเท่านั้นที่จะเหินร่างขึ้นไปต่อ และศิษย์สายในที่ไปต่อไม่ไหว ได้แต่ชมดูอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆก็พบว่า…หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆไปต่อกันเองโดยไม่มีพวกมัน ความเร็วในการผ่านด่านกลับรวดเร็วยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
สัตว์อสูรกับทาสเดนตายเหล่านั้น ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเขจ้าใกล้ด้วยซ้ำ
ที่ไฉนเป็นเช่นนี้ก็เพราะ ตอนที่พวกมันไปด้วย ต้วนหลิงเทียนกับทั้ง 3 ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม ด้วยกลัวว่าพวกมันจะเคลื่อนไหวเหนือคาดคิด สุดท้ายก็กลายเป็นทำร้ายพวกมันแทน
“ให้ตายเถอะ…เมื่อไหร่ข้าจะแข็งแกร่งเท่าศิษย์พี่ต้วนนะ”
ท่ามกลางเหล่าศิษย์สายในที่ไปต่อไม่ไหว ชายหนุ่มอันมีใบหน้าอ่อนวัยคนหนึ่งพลันกล่าวพึมพำออกมาด้วยความทึ่ง
ศิษย์สายในที่นั่งขัดสมาธิเดินพลังอยู่ข้างๆพอได้ยินเสียงพึมพำของมันก็ส่ายหน้าไปมาพลางกล่าวว่า “อย่าว่าแต่ศิษย์พี่ต้วนหลิงเทียนเลย ขอแค่พวกเราสามารถแข็งแกร่งได้เท่าศิษย์พี่จางก็นับว่าไม่เลวแล้ว…”
‘ศิษย์สายใน 2 คนนี้เป็นใครกันนะ พลังฝีมือของพวกมันนับว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าฉีอวี่เลย’
ระหว่างทาง ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าศิษย์สายในอีก 2 คนที่ยังช่วยเขาบุกตะลุยขึ้นมาพร้อมจางเหยาจี้ก็มีพลังฝีมือไม่ใช่ชั่วเช่นกัน แต่ละคนล้วนเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏที่ถนัด 3 ประการทั้งสิ้น เรียกว่าพลังฝีมือร้ายกาจพอๆกับฉีอวี่และจางเหยาจี้เลย
จึงเป็นเหตุผลให้พวกมันสามารถยืนหยัดมาได้ถึงจุดนี้
‘ดูเหมือนพวกมันเองก็จะเป็นเหมือนจางเหยาจี้กับฉีอวี่…เป็นหนึ่งในศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุดทั้ง 10 คนนั่น…’
ต้วนหลิงเทียนลอบคาดเดาในใจ
“โอย ยิ่งมายิ่งยากเย็นแทบตายแล้ว…ไม่ไหวๆ พักกันก่อนเถอะ”
ในปัจจุบันแม้สารรูปของจางเหยาจี้จะไม่ได้เละเทะน่าสังเวช แต่มันก็แลดูเหน็ดเหนื่อยปานสุนัขหอบแดดใกล้หมดลม
อีก 2 คนก็มีสภาพเหน็ดเหนื่อยไม่ต่าง เหงื่อยังชุ่มโชกไปทั้งตัว
ต้วนหลิงเทียนเป็นคนเดียวทีสีหน้ายังไม่เปลี่ยน แถมไม่มีแม้แต่เหงื่อสักหยด เพียงใครดูก็รู้ได้ทันทีว่าเขาแทบไม่ได้ใช้พลังอะไรเลย ทำให้จางเหยาจี้ที่ลอบมองอยู่เมื่อเห็นสภาพสดชื่นเต็มร้อยดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน มันก็ได้แต่ลอบสบถในใจว่า ‘เจ้ามันสัตว์ประหลาดชัดๆ’
“จริงสิต้วนหลิงเทียน เจ้ายังไม่รู้จัก 2 คนนี้ใช่หรือไม่” ในขณะที่พักเหนื่อย ระหว่างว่างๆจางเหยาจี้ก็ไม่ลืมแนะนำศิษย์สายในทั้ง 2 ให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก มันมองไปยังชายหนุ่มในชุดคลุมสีเทาอันมีใบหน้าเย็นชาก่อน ค่อยกล่าวแนะนำออกมาว่า “ต้วนหลิงเทียน คนนี้คือศิษย์คนที่ 4 ของผู้พิทักษ์อวิ๋นฮ่วย เรียกว่า อาชิว”
“ส่วนคนนี้ก็คือศิษย์คนรองของอาวุโส 3 เรียกว่า ชาอวี้ถิง ทั้งคู่ล้วนเป็น 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุด”
ชาอวี้ถิงมีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคนมาในชุดคลุมสีฟ้าอ่อน ใบหน้าของมันแม้จะแลดูธรรมดา แต่ทั่วร่างกลับให้ความรู้สึกไม่ธรรมดา
“ศิษย์น้องต้วน ข้าได้ยินเรื่องราวทั้งพลังสามารถของเจ้ามานานแล้ว วันนี้ได้พบนับว่าสมคำร่ำลือจริงๆ…”
ชาอวี้ถิงกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ
สำหรับอาชิวแม้จะแลดูเย็นชาไม่ค่อยเป็นมิตร แต่บัดนี้ก็ยังคลี่ยยิ้มฝืนๆให้ต้วนหลิงเทียน “ต้วนหลิงเทียน เจ้าร้ายกาจยิ่ง”
ต้วนหลิงเทียนที่กำลังจะทักทายทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง มิคาดกลับถูกขัดจังหวะโดยเสียงคำรามของสัตว์อสูรที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวเหนือหัวเสียก่อน
“โฮกกกก—!!”
พร้อมๆกันกับเสียงสัตว์อสูรคำราม จากนั้นสัตว์อสูรตัวเขื่องราขุนเขาขนาดยย่อมก็ทยอยกันปรากฏตัวขึ้น แถมบนหลังของมันแต่ละตัว ยังมีทาสเดนตายนับ 10 ที่โคจรพลังพร้อมสรรพ เตรียมพร้อมโจนเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆได้ทุกเมื่อ!
“บ้าไปแล้ว ตาแก่นั่นมันโรคจิตหรือไร? นี่ไม่คิดจะให้พวกเราได้มีเวลาพักผ่อนกันเลยเรอะ!?”
เห็นฉากดังกล่าวจางเหาจี้ถึงกับโพล่งคำก่นด่าออกกมาโดยไม่รู้ตัว
ต้องทราบด้วยว่าก่อนหน้าที่พวกมันจะเหาะไต่ระดับขึ้นมา มีเพียงเหาะขึ้นไปถึงจุดๆหนึ่งเท่านั้น จึงจะปรากฏทาสเดนตายหรือสัตว์อสูรขัดขวาง…แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพวกมันเลือกจะหุดร่างลงเพื่อเดินพลังฟื้นฟูไม่ได้ไปไหน แต่กลับปรากฏสัตว์อสูรและทาสเดนตายบุกตะลุยเข่นฆ่าเข้าใส่พวกมันล่วงหน้า สีหน้าของอาชิวกับชาอวี้ถิงเองบัดนี้ก็ฉายชัดถึงความเคร่งเครียดเป็นกังวล
จากนั้นทั่วร่างทั้ง 3 ก็ปรากฏพลังเทพพวยพุ่งขึ้นมา หมายเตรียมตัวรับการจู่โจม
“พวกท่านพักผ่อนกันไปเถอะ…ข้าจะขึ้นไปก่อน”
ต้วนหลิงเทียนนิ่งมองสัตว์อสูรและทาสเดนตายที่บุกลงมาด้วยสีหน้าแววตาสงบ ยังหันไปกล่าวทักพวกจางเหยาจี้ทั้ง 3 อย่างใจเย็น ก่อนจะเหินร่างขึ้นฟ้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน
จากนั้นพลันปรากฏกระบี่เทพระดับต่ำผุดจากความว่างเข้ามือ พอเสือกกระบี่แทงขึ้นฟ้าตามอำเภอใจ อยู่ๆห้วงมิติเบื้องหน้าก็เริ่มแปรปรวรก่อเกิดเป็นพายุลูกเขื่อง หากทว่าพายุลูกเขื่องดังกล่าวไม่ทันไรก็เริ่มบีบอัด เกาะตัว จากนั้นก็เริ่มก่อลักษณ์กลับกลายเป็นกระบี่เล่มเขื่อง จี้ทะลวงขึ้นฟ้าออกไปฉับไว
ถึงแม้ทาสเดนตานับสิบๆกับสัตว์อสูรตจะเร่งเร้าพลังสุดตัวหมายต้านทาน อนิจจายามพลังที่พวกมันซัดออกมาต้องถูกกระบี่มิติดังกล่าว ก็เสมือนใบไม้แห้งกรอบคิดพุ่งผ่านมหาพายุ ล้วนถูกซัดทำลายหายไปไม่เป็นท่า จากนั้นไม่ทันที่พวกมันจะได้เร่งเร้าพลังห้วงที่ 2 กระบี่มิติเล่มเขื่องคล้ายพุ่งตัดระยะมาในพริบตา ซัดกระแทกทุกคนจนปลิดปลิวกระเด็นออกไปไม่เป็นท่า โลหิตซ่านกระเซ็นดั่งห่าฝน ทั้งหมดได้รับบาดเจ็บสาหัสกระอักเลือดออกมาไม่หยุด!
จากนั้นพวกมันก็คล้ายได้รับคำสั่งบางอย่าง จึงรีบล่าถอยจากไปทันที
พอเห็นฉากหนึ่งกระบี่สยบสิ้น จางเหยาจี้กับพวกก็ถึงกับอ้าปากค้าง “มารดามันเถอะ…นี่น่ะเหรอพื้นฐานมรรคากระบี่!?”
สัตว์อสูรกับทาสเดนตายนับสิบๆนั่น พวกมันสัมผัสได้จากพลังกระบวนท่าที่ต่างปลดปล่อยออกมา ก็รู้ได้ทันทีว่านั่นคือการลงมือเต็มพลังแล้ว และพลังนั่นไม่ใช่อะไรที่พวกมันทั้ง 3 ในตอนนี้จะต้านทานรับมือได้เลย…
เพราะพลังในร่างของพวกมันล้วนร่อยหรอกันเต็มที
หากพวกมันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ก็พอจะร่วมมือกันต้านทานได้อยู่หรอก…
อย่างไรก็ตาม พวกมันที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมก็เพียงทำได้แต่ร่วมมือกันต้านทานเท่านั้น เรื่องที่จะทายกระบวนท่าทั้งซัดทาสเดนตายนับสิบๆรวมถึงสัตว์อสูรตัวเขื่องพวกนั้นจนปลิวละลิ่วไปดั่งว่าวสายป่านขาดนั่น พวกมันทำไม่ได้…นับประสาอะไรกับต้วนหลิงเทียนที่ใช้ออกเพียงกระบี่เดียว!
ไม่ผิด เพียงกระบี่เดียว!
ดั่งคำหนึ่งกระบี่จี้ออก เทพมารกระเจิดกระเจิง!
“ให้ตายเถอะ…ร้ายกาจอะไรจะขนาดนี้ หากข้าโดนพลังกระบี่นั่นซัดเข้าล่ะก็คงต้องตายคาที่แน่! ฉีอวี่นับว่าไม่ได้ตายอย่างไร้ความเป็นธรรมแล้ว!”
ชาอวี้ถิงที่เหม่อมองต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างขึ้นฟ้าไปอย่างไม่รีบไม่ร้อนปานไม่ได้เหนื่อยแรงอะไร อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างอื้ออึง และพริบตาต้วนหลิงเทียนก็ไต่ระดับขึ้นไปถึงจุดที่สมควรมีศัตรูปรากฏออกมาขัดขวางแล้ว
“ศัตรูชุดต่อไป เกรงว่าต้วนหลิงเทียนคงไม่อาจบุกฝ่าไปง่ายดายเช่นนี้…”
จางเหยาจี้กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้วนหลิงเทียนขึ้นไปถึงด่านถัดไป มันก็ต้องตกตะลึง
เนื่องเพราะศัตรูในด่านต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ยังคงอาศัยเพียงกระบี่เดียว จัดการพวกมันจนราบคาบ
จากนั้นก็เหินร่างไปต่อ
และยังเป็นกระบี่เดียว
ด่านถัดมาก็เพียงหนึ่งกระบี่เหมือนเดิม…
“สวรรค์ช่วย…มันทำได้อย่างไรกัน?!”
สภาพจางเหยาจี้ในปัจจุบันเรียกว่าตะลึงลานปานตัวโง่งมไปแล้ว
ทว่าทันใดนั้นเอง อาชิวพลันกล่าวออกมาเสียงขรึม สีหน้ายังจริงจังขึ้นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน “พวกเจ้าสัมผัสพลังไม่ได้หรือ ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนน่าจะใช้การผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ 2 ชุดอยู่…พอรวมกับพื้นฐานมรรคากระบี่แล้ว อาศัยศัตรูเพียงเท่านั้นยังจะนับเป็นอะไรได้!”
“กระทั่งความแข็งแกร่งของมันที่เผยออกมาอย่างที่พวกเราเห็น ก็เหนือกว่าอาวุโสเชวียไห่ชวนที่ผ่านการทดสอบประเมินศิษย์หลักในขอบเขตเทพเมื่อ 10,000 ปีก่อนเสียอีก!”