WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3693 ข่มขู่
โอสถเสริมโชค 2 เม็ด?
ได้ยินคำพูดของซั่งกวนฉงเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายมาหยุดขวางเขาทำอะไร ที่แท้อีกฝ่าต้องการโอสถเสริมโชค 2 เม็ดที่เขาพึ่งใช้กระบี่เทพขั้นกลางแลกกับหวูเฟิงมา
อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงหยิ่งผยองวางอำนาจบาตรใหญ่ของซั่งกวนฉงเฟิง ทำให้เขาไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“ขออภัย”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองซั่งกวนฉงเฟิงด้วยสายตาเฉยเมย กล่าวคำเสียงเรียบ “โอสถเสริมโชค 2 ข้าจะเอาไว้ใช้เอง ไม่ได้มีไว้ให้ใคร”
ด้านจางจิ่นถึงกับสะดุ้งทันทีเมื่อเห็นท่าทีของต้วนหลิงเทียน!
บรรพบุรุษตัวน้อยผู้นี้…ท่านยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกหรือ!?
หากวันก่อนท่านตอบรับเรื่องเป็นศิษย์ของอาวุโสเหล่ย วันนี้ท่านย่อมสามารถแข็งข้อต่อต้านซั่งกวนฉงเฟิงได้สบายๆ แต่ท่านกลับปฏิเสธอาวุโสเหล่ย ทำให้ไร้คนใหญ่คนโตอย่างอาวุโสเหล่ยหนุนหลัง!!
เช่นนั้นการแข็งข้อต่อต้านซั่งกวนฉงเฟิง ไยไม่ต่างเอาไข่ไปกระทบหิน?
“เดิมทีข้าก็คิดจะใช้อุปกรณ์เทพขั้นต่ำ 2 ชิ้นเพื่อแลกโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของเจ้า…อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเจ้ามันโง่เขลาเบาปัญญานัก ข้าจะให้อุปกรณ์เทพขั้นต่ำเจ้าชิ้นเดียว!”
ซั่งกวนฉงเฟิงมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง แววตายังฉายชัดถึงความหยอยกล้อ มุมปากยิ้มเย้ยอย่างสนุกสนาน
ขณะเดียวกัน มันก็โบกมือเบาเรียกกระบี่เล่มหนึ่งออกมาถือไว้ เป็นกระบี่สีเขียวยาว 3 ฉื่อ มีแสงพลังสลัวๆปกคลุมทั่วตัวกระบี่ เพียงแค่สัมผัสกลิ่นอายปราดเดียว ก็บอกได้ทันทีว่าเป็นกระบี่เทพขั้นต่ำ
กล่าวให้ชัดคือกระบี่เทพขั้นต่ำ ที่ไม่มีจิตวิญญาณ
อันที่จริง กับขุมกำลังระดับจอมราชันเทพอย่างนิกายหมอกเร้นลับ ปกติแล้วย่อมไม่มีอุปกรณ์เทพที่กำเนิดจิตวิญญาณ แม้จะเป็นแค่อุปกรณ์เทพระดับต่ำก็ตาม แถมถ้าหากมีขึ้นมาจริงๆก็ไม่พ้นถูกขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพพรากไปแน่ๆ
เป็นธรรมดาวว่าคำ ‘พราก’ ที่กล่าวถึง ก็ไม่เชิงปล้นชิงเสียทีเดียว ให้พูดว่าเป็นการ ‘บังคับแลกเปลี่ยน’ จะเหมาะกว่า เพราสิ่งของที่นำมาแลกเปลี่ยน แน่นอนว่าไม่ได้มีมูลค่าใกล้เคียงอุปกรณ์เทพขั้นต่ำที่กำเนิดจิตวิญญาณเลย
สำหรับอุปกรณ์เทพขั้นกลางที่กำเนิดจิตวิญญาณนั้น หากเป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่แข็งแกร่งอาจจะพอมี แต่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพส่วนใหญ่คงไม่มีไว้ในครอบครอง
ส่วนอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่กำเนิดจิตวิญญาณนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพจะมีไว้ในครอบครอง จะมีก็แต่ขุมกำลังระดับอริยะเทพเท่านั้นที่จะมี แถมไม่ใช่ทุกขุมกำลังระดับอริยะเทพจะมีอีกด้วย จะมีก็แต่ขุมกำลังระดับอริยะเทพที่แข็งแกร่งจริงๆเท่านั้น
“อุปกรณ์เทพขั้นต่ำชิ้นเดียว…”
ได้ยินคำกล่าวของซั่งกวนฉงเฟิง จางจิ่นอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา แต่สีหน้าไม่ได้ดูแปลกใจแต่อย่างไร ทว่าด้านต้วนหลิงเทียนกลับกลั้นหัวเราะไม่ไหว
เพราะมูลค่าของอุปกรณ์เทพขั้นต่ำนั้น มันน้อยกว่าอุปกรณ์เทพขั้นกลางมาก
ต่อให้ท่านจะนำอุปกรณ์เทพขั้นต่ำ 10 ชิ้นมาเสนอเพื่อแลกกกับอุปกรณ์เทพขั้นกลางสักชิ้น ก็คงไม่มีใครยอมแลกกับท่านแน่นอน ถึงนั่นจะเป็นมูลค่าตามราคาตลาดก็ตามที
ในการทำธุรกรรมกันจริงๆ มักปรากฏกรณีที่ใช้อุปกรณ์เทพขั้นต่ำกว่าโหล หรือ 20 ชิ้นแลกอุปกรณ์เทพขั้นกลางสักชิ้นอยู่บ่อยครั้ง
สำหรับเรื่องแลกเปลี่ยนกับโอสถเสริมโชคนั้น..
ไม่ต้องกล่าวถึงที่อื่น เอาแค่ที่นิกายหมอกเร้นลับแห่งนี้ ต่อให้ท่านนำอุปกรณ์เทพขั้นต่ำ 10 ชินมาวางตั้งเพื่อขอแลกโอสถเสริมโชคสักเม็ด ก็คงไม่มีใครนำออกมาแลกแน่นอน เพราะโอสถเสริมโชคไม่เพียงมีค่ามากกว่าแต่ยังหายากกว่าอุปกรณ์เทพขั้นต่ำมาก
ในนิกายหมอกเร้นลับศิษย์สายในแทบทุกคนมีอุปกรณ์เทพขั้นต่ำไว้ในครอบครอง
อย่างไรก็ตาม มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอสถเสริมโชค
ปกติแล้วต่อให้มีก็มักจะเก็บไว้ใช้เอง ถึงจะใช้เองไม่ได้ก็มักจะนำออกมาแลกสิ่งของที่ต้องการมากกว่า
“เช่นนั้น…ข้าให้อุปกรณ์เทพขั้นต่ำเจ้า 10 ชิ้น แลกกับโอสถเสริมโชค 10 เม็ดได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนย้อนถามซั่งกวนฉงเฟิง และพอเขากล่าวออกมาแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากไถ่ถามถึงสติปัญญาวั่งกวนฉงเฟิงเลย
อุปกรณ์เทพขั้นต่ำชิ้นเดียวแลกโอสถเสริมโชค 2 เม็ด? เลอะเทอะสิ้นดี!
กระทั่งประมุขนิกายหมอกเร้นลับเอง ก็คงไม่กล้าพูดเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้กระมัง?
“ต้วนหลิงเทียน!”
จางจิ่นที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนพอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนมันก็หน้าเสียทันที และรู้ว่าหากยังปล่อยไปต้องได้เรื่องแน่ จึงรีบส่งเสียงผ่านพลังไปหาต้วนหลิงเทียนอย่างร้อนใจ “ซั่งกวนฉงเฟิง เจ้าไม่อาจขัดใจมันได้เด็ดขาด!”
“มันเป็นศิษย์รักของอาวุโสฟง แถมยังอยู่กับอาวุโสฟงมาตั้งแต่ยังเด็ก แม้แต่ชื่อของมันอาวุโสฟงก็เป็นคนตั้งให้!”
“เดิมทีอาวุโสฟงไม่เคยรับศิษย์คนไหนมาก่อนเลยชั่วชีวิต และมาเริ่มรับศิษย์เอาหลังจากได้พบมันแล้ว…”
“และจนถึงตอนนี้ อาวุโสฟงก็รับศิษย์เพียงแค่ 3 คนเท่านั้น…และในบรรดาศิษย์ทั้ง 3 ซั่งกวนฉงเฟิงถือเป็นศิษย์คนโต เป็นศิษย์เอกที่รักและเอ็นดูที่สุด!”
“ถึงแม้ซั่งกวนฉงเฟิงจะเป็นเพียงศิษย์หลัก และฐานะสมควรทัดเทียมกับอาวุโสฝ่ายใน…แต่อันที่จริงแล้ว แม้แต่อาวุโสหลักทั้งหลาย ไม่เว้นชนชั้นผู้พิทักษ์กับรองประมุขนิกาย ก็ไม่กล้าตอแยล่วงเกินมัน!”
“วันนี้ในเมื่อมันอยากได้โอสถเสริมโชค เจ้าก็มอบให้มันไปเถอะ อย่าได้ต่อปากต่อคำจนมันไม่พอใจอีกเลย”
“ถึงแม้ในนิกายจะมีกฏ ห้ามมิให้ศิษย์เข่นฆ่ากันเอง…แต่นั่นเป็นกฏที่มีไว้บังคับใช้กับคนทั่วไป แต่กลับซ่างกวนฉงเฟิงนั้น กฏเสมือนไม่มีอยู่จริง!”
“วันนี้ต่อให้มันฆ่าเจ้าตรงนี้ต่อหน้าต่อตาข้า ข้าก็ไม่กล้าพูดอะไรเหลวไหล หาไม่แล้วข้าคงเป็นรายต่อไปที่ต้องตาย…และต่อให้ฉากการเข่นฆ่าสังหารเจ้าจะถูกค่ายกลของนิกายบันทึกไว้ อย่างไรก็ตามนั่นไม่ช่วยอะไร อยย่างดีก็จะถูกลบทิ้ง อย่างร้ายก็ปล่อยไว้แต่ไม่มีใครกล้าพูดว่า ‘เห็น’ แม้แต่ท่านประมุขเองก็คงทำเป็นไม่รู้…”
“ทั้งหมดเพราะมันเป็นศิษย์คนโตของอาวุโสฟง!”
“ผู้อาวุโสสูงสุดทั้ง 4 ฟง เหล่ย อวิ๋น หวู่ แม้จะไม่ได้มีการจัดอันดับที่แน่ชัด…แต่อาวุโสฟงนับเป็นคนที่ลึกลับและยากหยั่งถึงมากกว่าใคร”
“เจ้าอย่าได้เอาชีวิตไปทิ้งเพราะโอสถเสริมโชคแค่ 2 เม็ด!”
“ในอดีตเคยมีศิษย์หลัก 2 คนที่ตกตายคามือซั่งกวนฉงเฟิง แต่สุดท้ายพวกมันก็ตายเปล่า…พลังฝึกปรือของมันแม้จะอยู่แค่ขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง แต่อย่างที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้า…มันเทียบได้กับอาวุโสฝ่ายในที่เป็นราชาเทพขั้นสูงทั่วไป”
ฟังจากการส่งเสียงผ่านพลังแล้ว เห็นชัดว่าจางจิ่น ‘จนใจ’ ขนาดไหน และมันคิดช่วยต้วนหลิงเทียนเต็มที่แล้ว
หลังได้ยินคำพูดผ่านพลังของจางจิ่น สองตาต้วนหลิงเทียนก็ทอประกายเยียบเย็นขึ้นมาโดยพลัน ในใจเริ่มครุ่นคิด ‘ราชาเทพขั้นกลางที่มีพลังต่อกรกับอาวุโสฝ่ายในขอบเขตราชาเทพขั้นสูงทั่วไปงั้นเหรอ…’
‘หากไม่ใช่พลังของเทพเบญจธาตุ อาศัยแค่กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนลงมือเต็มกำลัง พร้อมด้วยความช่วยเหลือของหวงเอ้อ เกรงว่ายังยากจะเอาชนะมันได้’
‘แถมหากทำแบบนั้น กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนและหวงเอ้อก็จะถูกเปิดเผยออกมา…’
‘อุปกรณ์เทพขั้นสูงที่มีจิตวิญญาณ ต่อให้เป็นขุมกำลังระดับอริยะเทพยังเป็นของล้ำค่า…หากถูกเปิดเผยออกไป ข้าต้องตายสถานเดียว’
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีแก่ใจ ว่าหากกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนของเขาถูกเปิดเผยออกไป สิ่งที่รอเขาอยู่ก็คือสถานการณ์ 9 ตาย 1 รอด เผลอๆจะเป็น ตาย 10 ไร้ทางรอด!
“อะไร? ไม่อยากแลกรึ?”
ซั่งกวนฉงเฟิงมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยสีหน้ายียวน “ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว…กระทั่งอุปกรณ์เทพขั้นต่ำสักชิ้นข้าก็จะไม่ให้”
“เจ้าส่งโอสถเสริมโชคทั้ง 2 เม็ดนั่นมาให้ข้าเสียดีๆ”
“แน่นอนว่าเจ้าจะปฏิเสธไม่ส่งมาก็ได้…แต่ถึงเจ้าปฏิเสธ เจ้าก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงเรื่องที่ว่าสุดท้ายโอสถเสริมโชค 2 เม็ดนั่นของเจ้าจะตกอยู่ในมือข้าได้อยู่ดี”
“เว้นเสียแต่เจ้าจะอยากตาย!”
“ถ้าเจ้าตายแล้วแหวนดันทำลายตัวเอง…เช่นนั้นข้าก็คงไม่ได้โอสถเสริมโชคทั้ง 2 นั่นเป็นธรรมดา”
“เพียงแต่ เจ้าเต็มใจตายหรือไม่?”
“ยอมตายเพราะโอสถเสริมโชค 2 เม็ดรึ?”
กล่าวถึงจุดนี้ความยียวนทั้งรอยยิ้มเย้ยเยาะบนใบหน้าของซั่งกวนฉงเฟิงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ในแววตาเต็มไปด้วยความสนุกสนานหาใดเปรียบ
“ถ้าข้ายืนกรานไม่ให้ เจ้าจะฆ่าข้า?”
ต้วนหลิงเทียนลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็มองถามซั่งกวนฉงเฟิงอย่างตั้งใจ กระทั่งยังกดเสียงให้ต่ำลง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าคิดอย่างไรเล่า?”
ซั่งกวนฉงเฟิงเอ่ยถามด้วยท่าทีหยอกล้อ
ต้วนหลิงเทียนลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง ดวงตาฉายประกายเยียบเย็นเรืองขึ้นวาบหนึ่ง ราวกับตัดสินใจอะไรได้ จากนั้นก็นำขวดโอสถที่มีเม็ดยาเสริมโชคทั้ง 2 ออกมา และโยนไปให้ซั่งกวนฉงเฟิงอย่างไร้แยแส
“ผู้ฉลาดย่อมรู้สถานการณ์…ไม่เลวๆ”
ซั่งกวนฉงเฟิงรับขวดโอสถมาเปิดดู พอยืนยันได้แล้วว่าเป็นโอสถเสริมโชค 2 เม็ดไม่ผิดมันก็พยักหน้าอยย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ไม่เหลือบแลต้วนหลิงเทียนอีก คนเหินร่างจากไปทันที
และในชั่วพริบตาเดียว ร่างมันก็อันตรธานหายไปจากสายตาต้วนหลิงเทียนกับจางจิ่ง
จางจิ่นหันไปมองต้วนหลิงเทียนที่อยู่ข้างๆด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นครู่หนึ่งก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ต้วนหลิงเทียน เจ้าทำถูกแล้ว”
“ข้ารู้ว่ายามนี้เจ้าไม่พอใจยิ่ง…แต่ข้าเองก็ไร้ทางเลือก เจ้าสมควรรู้สถานการณ์ดี”
“และอย่างที่มันพูด ชีวิตเจ้ามีค่ามากกว่าโอสถเสริมโชค 2 เม็ด”
จางจิ่น
“อาวุโสจางจิ่น ข้าไม่เป็นไร”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางยิ้มบางๆ สีหน้าแววตาเขาหวนกลับมานิ่งสงบไร้อารมณ์ใดๆ ราวกับไม่ได้ถูกใครปล้นของไปทั้งนั้น
‘หืม?’
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนหลุดพ้นจากความไม่พอใจและความขุ่นมัวได้แทบจะทันที ลูกตาจางจิ่นก็หดเล็กลงเร็วไว ใจยังสะท้านสั่นไปไม่น้อย ‘ซั่งกวนฉงเฟิงหนอซั่งกวนฉงเฟิง…ข้าเกรงว่าเจ้าต้องเสียใจภายหลังแน่’
จังหวะนี้กระทั่งจางจิ่นเองก็ไม่ทราบว่าทำไม แต่ในหัวมันปรากฏความคิดทำนองดังกล่าวขึ้นมา
“อาวุโสจางจิ่น ท่านว่าต่อไปเถอะ…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักจางจิ่นให้เล่าเรื่องราวต่อ ก่อนจะเหินร่างมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งเขตที่พักศิษย์หลัก
จางจิ่นพอได้ยินก็เหินร่างตามไปทันที จากนั้นก็เริ่มแนะนำเรื่องราวต่างๆที่ไม่มีในคู่มือศิษย์สายในให้ต้วนหลิงเทียนฟังต่อ มันค่อยๆเล่าอย่างอดทน ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งใจฟังเช่นกัน
แน่นอนว่าในขณะที่ตั้งใจฟัง ต้วนหลิงเทียนก็สะกดโทสะในใจเต็มกำลัง
ซั่งกวนฉงเฟิง…
ข้าจะจำเอาไว้!
วันนี้เจ้าต้องการโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของข้า…
วันหน้าอย่าหวังว่าเรื่องจะจบง่ายๆแค่คืนโอสถเสริมโชค 2 เม็ดกลับมา…
หลังจากใช้ชีวิตมาถึง 2 ชาติ ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอความอัดอั้นตันใจทั้งความพ่ายแพ้มามากมาย เช่นนั้นเขาจึงรู้หลักการยืดได้หดได้ดี…สุดท้ายก็มีหลายอย่างที่ยืดได้หดได้ แต่บางอย่างต่อให้ต้องตายก็ไม่อาจยอม
อย่างเช่นคราวนี้ ถึงแม้โอสถเสริมโชคทั้ง 2 เม็ดจะช่วยให้เขาทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำได้ทันที แต่มันก็ไม่ได้สลักสำคัญเท่าชีวิตเขา
‘สิ่งที่เรียกว่า ‘เทพซ่อน’ ซึ่งน่าจะเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพที่ศิษย์พี่หวูเฟิงบอก ท่าทางข้าจะต้องลุยเข้าไปทั้งๆที่ด่านพลังยังอยู่ในขอบเขตเทพขั้นสูงซะแล้ว…’
ต้วนหลิงเทียนได้แต่ทอดถอนในใจ
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนถูกจางจิ่นนำพาไปยังสถานที่พักของศิษย์หลัก
อีกด้านหนึ่ง ซั่งกวนฉงเฟิงที่ปล้นโอสถเสริมโชค 2 เม็ดของต้วนหลิงเทียนมา ก็เดินทางมาถึงจวนโดดเดี่ยวที่ปลูกสร้างบนริมผาของยอดเขาสูงชันลูกหนึ่ง พอมาถึงก็กล่าวกับคนด้านในว่า “เฮ่ หลงเซียว เรื่องที่เจ้าขอมา ข้าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็มีร่างสูงใหญ่แลดูบึกบึนก้าวออกมาจากด้านใน
คนมาในชุดคลุมยาวสีทองเข้ม หว่างคิ้วแผ่พุ่งความน่าเกรงขาม ใบหน้าจัดว่าหล่อเหลา ให้ความรู้สึกราวกับจ้าวชีวิตหนุ่ม มองปราดเดียวก็ทำให้ผู้คนรู้สึกกดดัน เพราะสายตาคู่นั้นช่างเสมือนผู้ยิ่งใหญ่มองแคลนผู้คนทั้งใต้หล้าว่าต่ำชั้นกว่า…
“เจ้าต้วนหลิงเทียนอะไรนั่นไม่เห็นจะได้เรื่องเลย ขี้ขลาด ไร้กระดูกสันหลังยิ่ง!”
ซั่งกวนฉงเฟิงกล่าวพลางหัวเราะ “ข้าแค่ขู่ไปนิดๆหน่อยๆ มันก็ส่งโอสถเสริมโชค 2 เม็ดมาให้ข้าแต่โดยดี…”
“ในสายตาข้า…กับตัวขี้ขลาดพรรค์นี้ นับว่าไม่คู่ควรเป็นศิษย์อาวุโสเหล่ย! ยิ่งไม่คู่ควรที่จะขึ้นมายืนเทียบเคียงข้ากับเจ้า!!”