WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3696 เค่อเอ๋อ เป็นเจ้าหรือ!
พลังของโอสถเสริมโชค ถูกต้วนหลิงเทียนดูดซับจนหมดในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วยาวเท่านั้น
และระดับพลังของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างที่เขาคาดไว้ มันเพิ่มพูนขึ้นจนถึงจุดรอคอยสุดท้ายของขอบเขตเทพเรียบร้อย ขอเพียงทำลวงผ่านจุดรอคอยนี้ไป เขาก็จะบรรลุถึงของเขตราชาเทพขั้นต่ำทันที
เมื่อเขาทะลวงถึงขอบเชตราชาเทพขั้นต่ำ เขาก็จะใช้ผลกู้เปิ่นเพื่อควบรวมด่านพลังให้เสถียรมั่นคง ทำให้ด่านพลังราชาเทพขั้นต่ำของเขามั่นคงได้ในเวลาอันสั้น
ถึงตอนนั้นความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นอ่างก้าวกระโดด
ต่อให้พบเจอซั่งกวนฉงเฟิง หลงเซียวหรือคนอื่นๆที่มีพลังฝีมือใกล้เคียงกับสองคนนั่น เขาก็ไม่หวั่นเกรงแม้แต่นิดเดียว เพราะอาศัยความลึกซึ้งของกฏที่เข้าใจ กับด่านพลังราชาเทพขั้นต่ำก็มากพอจะสู้กับพวกมันได้อย่างไม่เสียเปรียบ
และนั่นยังไม่ได้ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนด้วยซ้ำ
หากเขาใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน โดยให้หวงเอ้อช่วยอีกแรงล่ะก็ ถึงเขาจะเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำ ก็สามารถฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวได้ในพริบตา!
“น่าเสียดายจริง…”
พอคิดถึงโอสถเสริมโชค 2 เม็ดที่ซั่งกวนฉงเฟิงรีดไถไป ต้วนหลิงเทียนก็อดเสียดายไม่ได้ เพราะหากซั่งกวนฉงเฟิงไม่โผล่มา ป่านนี้เขาคงทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ อีกทั้งใช้ผลกู้เปิ่นควบรวมด่านพลังให้เสถียรมั่งคงเสร็จสิ้นไปแล้ว
“ซั่งกวนฉงเฟิง…หลงเซียว”
สองตาต้วนหลิงเทียนหรี่ลง เผยประกายเย็นชาพุ่งวาบออกมา “พวกเจ้าทั้งคู่ต้องชดใช้การกระทำของพวกเจ้า…รอก่อนเถอะ อีกไม่นานนักหรอก…”
ถามว่าต้วนหลิงเทียนโกรธหรือไม่ที่โดนซั่งกวนฉงเฟิงไถโอสถเสริมโชค 2 เม็ดไปดื้อๆแบบนี้? แล้วคับแค้นหรือไม่?
ย่อมโกรธและคับแค้นเป็นธรรมดา!
เหตุผลเดียวที่เขายอมให้มันไถโอสถเสริมโชคทั้ง 2 เม็ดไปโดยไม่แข็งขืน จนเป็นเหตุให้การทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำล้าช้า เพราะเขารู้ดีว่าการเปิดเผยไพ่ตาย ก็รังแต่จะนำเขาไปสู่ความตายเท่านั้น
เมื่อเทียบกับชีวิตแล้ว เวลาที่เสียเพิ่มไปมันไม่อาจนับเป็นอะไรได้
‘ช่างเถอะ…ลองไปดูในเมืองจวินหลิงก่อนแล้วกัน ไม่รู้ว่าจะมีโอสถเสริมโชคบ้างไหม หากมีแล้วซื้อได้ เช่นนั้นเรื่องทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำก่อนกำหนดนัดหมายไปสถานที่อันคาดว่าน่าจะเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพนั่นก็คงไม่มีปัญหา…’
‘หากทำได้ การเดินทางเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในมรดกสถานที่ว่าก็คงง่ายขึ้นหลายส่วน’
ต้วนหลิงเทียนเองก็ตั้งหน้าตั้งตอรอคอยมรดกสถานของจักรพรรดิเทพทั่นดกับหวูเฟิงไม่น้อย
มรดกสถานที่ถูกซ่อนไว้เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกในระนาบเทพ เพราะตัวตนขอบเขตราชาเทพขึ้นไป หากรู้ตัวว่าไม่อาจต้านทานหายนะภัยพิบัติครั้งต่อไปได้ พวกมันก็มักจะเปิดระนาบอิสระและทิ้งทุกสิ่งอย่างในชีวิตเอาไว้
เป็นธรรมดาว่าจะราชาเทพ จอมราชันเทพ จักรพรรดิเทพ หรือแม้แต่อริยะเทพที่ทิ้งมรดกสถานเช่นนี้เอาไว้ ส่วนใหญ่มักเป็นผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัด ใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย
หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระ ไม่ว่าจะมีตระกูลก็ดีหรือมีขุมพลังสังกัดก็ดี ย่อมเลือกที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ลูกหลานเหล่าศิษย์ ก่อนที่จะพบเจอหายนะภัยพิบัติที่ไม่มั่นใจว่าจะผ่านได้ไหว เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ชนรุ่นหลัง
ในสวรรค์และโลกแห่งนี้ ไม่ว่าท่านจะเป็นผู้ใด ตราบใดที่ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพล่ะก็ ท่านจะพบเจอกับภัยพิบัติทุกๆพันปี อีกทั้งภัยพิบัติก็จะรุนแรงขึ้นทุกๆครั้ง
หากการกระดับพลังฝีมือไม่อาจไล่ทันความรุนแรงของภัยพิบัติได้ เช่นนั้นจุดจบก็จะมาถึง
มีคำกล่าวกันว่า…
ภัยพิบัติเช่นนี้จะดำเนินไปจนถึงขอบเขตอริยะเทพ เว้นเสียแต่จะทะลวงถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด หาไม่แล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติทุกๆ 1,000 ปี
เพราะสาเหตุนี้เอง ทำให้เหล่าเทพในระนาบเทพนั้น ผู้ใดก็ตามที่ยังไม่ถึงขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็จะไม่ได้มีอายุมากมายนัก เพราะบางคนเมื่ออายุมากแล้ว รีดเค้นศักยภาพและพรสวรรค์ออกมาหมดสิ้น จนไม่อาจก้าวหน้าอะไรได้อีก สักวันก็ต้องตกตายเพราะภัยพิบัติอยู่ดี
ในสวรรค์และโลกแห่งนี้ เป็นการดีที่สุดที่จะไม่ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ เช่นนั้นท่านก็จะสามารถมีชีวิตยืนยาวตราบชั่วฟ้าดินสลาย
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ท่านทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ ก็เสมือนท่านยอมรับบททดสอบแห่งฟ้าดิน!
ภัยพิบัติปรากฏขึ้นทุกๆรอบพันปี และจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นจะกลายเป็นแรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า หากไม่เลือกจะกระดับพลังฝีมือ หรือไม่อาจบังเกิดความก้าวหน้า สิ่งที่รอคอยอยู่ก็คือภัยพิบัติที่จะคร่าชีวิตท่าน
แถมว่ากันว่า หายนะภัยพิบัติ ที่จะปรากฏขึ้นทุกๆพันปีนั้น แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเองก็ไม่อาจแทรกแซงช่วยเหลือได้
ตำนานเล่าขานกันว่า เคยมีผู้แข็งแกร่งที่สุดบางคนเลือกที่จะแทรกแซงช่วยเหลือ สุดท้ายก็กลาเป็นจุดชนวนหายนะภัยพิบัติของตัวเอง และถูกฆ่าตายในที่สุด
ทำให้หลังจากเกิดกรณีตัวอย่างแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่กล้าสอดมือเข้ามาช่วยเหลือญาติสนิทที่เผชิญหน้ากับภัยพิบัติอีกเลย แม้จะรู้ว่าญาติสนิทต้องถูกภัยพิบัติฆ่าตาย ก็จะทำได้แค่เฝ้าดูอย่างเงียบงัน
หายนะภัยพิบัติจากสวรรค์ เป็นพลังอำนาจแห่งฟ้าดิน ซึ่งอยู่เหนือผู้แข็งแกร่งที่สุด
‘ออกไปเดินเล่นดีกว่า’
ต้วนหลิงเทียนที่พบว่าระดับพลังของเขายากที่จะทะลวงผ่านได้ในเวลาอันสั้นด้วยตัวเอง ก็เลือกจะออกจากโรงเตี๊ยมที่พัก เพื่อไปเดินเล่นในเมืองจวินหลิง เผื่อจะมีโอกาสได้รับโอสถเสริมโชคมาสักเม็ดสองเม็ด
จากนั้นเขาก็เริ่มเตร็ดเตร่ไปทั่วเมืองจวินหลิง
ระหว่างเดินดูนู่นนี่นั่น เขายังเห็นอาวุโสและเหล่าศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับจำนวนมากที่ห้อยป้ายบอกฐานะไว้ที่เอว และเมื่อเขาเห็นคนเหล่านี้เขาก็จะเลือกหลีกเลี่ยงทันที ไม่คำนึงถึงเรื่องที่พวกมันจะรู้จักเขาหรือไม่
เพราะกริ่งเกรงว่าพวกซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่
ถึงตอนนั้นปัญหาก็จะตามมา
ยิ่งไปกว่านั้น หากหลงเซียวที่พึ่งมากล่าวคำชี้แนะให้เขา รู้ว่าเขาเลือกจะออกมาแบบนี้ อีกฝ่ายย่อมฉุกคิดได้ว่าเขาไม่ได้ยึดถือคำพูดมันเป็นจริงจัง อาจทำให้มันมีโทสะถึงขั้นลงมือลงไม้กับเขา
ถึงแม้นิกายหมอกเร้นลับจะมีกฏอันเข้มงวด แต่ในเมื่ออาจารย์ของหลงเซียวก็คืออาวุโสเหล่ย! ตัวตนระดับนั้นคิดปกป้องให้ท้ายหลงเซียวกระทั่งประมุขยังต้องหลับตาข้างหนึ่ง…ดีไม่ดีเขาอาจถูกใส่ร้ายว่าก่ออาชญากรรมอะไร จนเป็นเหตุให้หลงเซียวลงมือก็เป็นได้
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มคิดทบทวนขึ้นมา ว่าเขายังจะกลับไปนิกายหมอกเร้นลับอีกดีหรือไม่?
ท้ายที่สุดแล้วในนิกายหมอกเร้นลับก็ไม่มีอะไรให้เขาคิดถึงเลย
‘ช่างเถอะ…เอาไว้ให้ไปยังเทพซ่อนที่ศิษย์พี่หวูเฟิงคาดว่าน่าจะเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพนั่นก่อนแล้วกัน ถึงตอนนั้นค่อยคิดว่าจะย้อนกลับนิกายหมอกเร้นลับดีหรือไม่ ถึงจะไม่ได้กลับไปนิกายหมอกเร้นลับ วันหน้าเมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้นค่อยย้อนกลับไปสั่งสอนบทเรียนให้พวกมันก็ยังไม่สาย’
‘กระทั่งหากพวกมันทะลึ่งมาล่าตัวข้าด้านนอกนิกายจริง หากเป็นที่ลับตาคนฆ่าทิ้งซะก็สิ้นเรื่อง’
กับการลงมือเข่นฆ่าผู้คนในนิกาย ต้วนหลิงเทียนย่อมกระจ่างแจ้งแก่ใจว่ามันจะนำปัญหามาสู่ตัวไม่จบไม่สิ้น และด้วยด่านพลังขอบเขตเทพขั้นสูง เมื่อเขาลงมือแล้ว ก็คงไม่มีทางหนีออกมาจากนิกายหมอกเร้นลับได้
เพราะถึงตอนนั้น เขาไม่ใช่แค่จะเผชิญหน้ากับราชาเทพอันทรงพลังเท่านั้น ยังต้องพบเจอกับเหล่าผู้พิทักษ์ของนิกายหมอกเร้นลับที่เป็นจอมราชันเทพอีก…
‘ดูเหมือนโชคข้าจะหมดแล้ว…’
ตลอดเดือนครึ่ง ต้วนหลิงเทียนได้ตระเวนไปทั่วเมืองจวินหลิง ทั้งเข้าร่วมการประมูลสองครั้ง แต่เขากลับไม่พบเจอโอสถเสริมโชคเลย
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเข้าหาตระกูลราชาเทพในเมือง ด้วยคิดว่าระดับของพวกมันก็ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลจ้งในเมืองวายุสวรรค์เช่นนั้นก็สมควรมีโอสถเสริมโชคเก็บไว้บ้าง…
อนิจจาแม้เขาจะเสนออุปกรณ์เทพขั้นกลางเพื่อโอสถเสริมโชคแค่เม็ดสองเม็ด ซึ่งเป็นอะไรที่ถือว่าเขายอมจ่ายแพงมากๆแล้ว แต่ก็ไม่ได้ พวกมันแม้จะกระตือรือร้นหมายแลกเปลี่ยน แต่ก็บอกเขาว่าให้รอสักครู่เพื่อไปหาโอสถเสริมโชคมาให้เขาเท่านั้น
ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ละทิ้งช่องทางดังกล่าวจึงเลือกจะให้เวลาพวกมัน อนิจจาเส้นตายวันนัดหมายกับหวูเฟิงก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ…
‘มาตอนนี้ดูเหมือนเรื่องที่ตระกูลจ้งมทีโอสถเสริมโชคมากมายให้ข้าท่าทางจะเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ…นอกจากนั้นในเวลาไม่กี่เดือน โอสถเสริมโชค 5 เม็ดที่เหลืออยู่ในตระกูลจ้งก็ถูกใช้ไป 4 …’
อันที่จริงแล้วโอสถเสริมโชคก็ไม่ได้มีราคาสูงอะไรมากมาย เพียงแค่มันมีประโยชน์กับตัวตนในขอบเขตเทพมากก็เท่านั้น เท่าให้ทุกครั้งที่ปรากฏก็ถูกกว้านซื้อจนหมด
ทำให้มันเป็นโอสถเทพที่ขาดตลาด พอหายากเขา ราคาก็เลยสูงขึ้นตามไปด้วย
‘แต่จะว่าไปฐานะศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับก็ใช้ได้ดีจริงๆ’
ที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเข้าหาตระกูลราชาเทพในเมืองจวินหลิงและเสนอเรื่องซื้อขายโอสถเสริมโชคได้ ฐานะศิษย์หลักของเขาก็มีส่วนอำนวยความสะดวกอย่างมาก และไม่มีใครคิดว่าเขาปลอมตัวมา
ตระกูลราชาเทพทุกตระกูล พอทราบว่าต้วนหลิงเทียนมีฐานะอะไร ผู้นำตระกูลก็จะเร่งรุดออกมาพบทันที และหากผู้นำไม่อยู่คนที่มีอำนาจรองลงมาก็จะมาหาเขา
เพราะฐานะศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับ มันเทียบได้กับอาวุโสฝ่ายในของนิกายหมอกเร้นลับ
สิ่งนี้ดูจากทัศนคติของตระกูลจ้งที่มีต่ออาวุโสถังชุนก็เข้าใจได้ไม่ยาก
“เจ้าอยู่ไหนเหรอ?”
ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนพลันได้รับข้อความที่คาดไม่ถึงจากนิกายหมอกเร้นลับ และฟังจากเสียง ผู้ที่อยู่ๆก็ส่งข้อความหาเขาก็คือถังอู๋เยียน
ด้านถังอู๋เยียนที่รอสักพัก แต่ต้วนหลิงเทียนไม่ตอบกลับเสียที สุดท้ายก็รอไม่ไหวจนต้องส่งข้อความมาถามต่อ
“ข้ามาหาเจ้า แต่เห็นว่าเจ้าไม่อยู่ที่บ้าน…”
ถังอู๋เยียนถาม
“ข้าออกมานานแล้ว อีกสักพักถึงจะกลับ”
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ส่งข้อความตอบกลับ
“อ้อ…เช่นนั้นหากเจ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วย อย่าลืมติดต่อข้ามาเล่า”
ถังอู๋เยียนกล่าว
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนตอบห้วนๆ และไม่คิดจะพูดอะไรมากไปกว่านี้ เพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าต่อไปจะไม่ติดต่อกับถังอู๋เยียน
ส่วนด้านถังอู๋เยียนที่อยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ เมื่อได้รับคำตอบอันแสนเย็นชาของต้วนหลิงเทียน ใบหน้างามก็ฉายชัดถึงความผิดหวังขึ้นมาทันที “เสน่ห์ข้ามันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“อยากรู้นักว่าภรรยาของมันจักวิเศษถึงเพียงไหนกัน…”
ในขณะที่ถังอู๋เยียนกำลังผิดหวัง ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากเหลาอาหารด้วยสีหน้าช่วยไม่ได้ ‘ดูเหมือนไม่มีทางจะได้รับโอสถเสริมโชคอีกเม็ดก่อนไปมรดกสถานนั่นแล้ว…’
และเมื่อออกมาบนถนน ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น จึงหันมองไปโดยไม่รู้ตัว
มองไปปราดเดียว เขาก็เห็นรถลากหนึ่งกำลังผ่านมา เมื่อมันผ่านหน้าเขาก็พอดีกับม่านผ้าของหน้าต่างรถลากเลิกขึ้น ทันใดนั้นรูปโฉมอันงดงามหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาต้วนหลิงเทียนทันที
และรูปโฉมดังกล่าว พอต้วนหลิงเทียนได้เห็นก็ทำให้สองตากลายเป็นอื้ออึง คนแลดูเลื่อนลอยปานตัวโง่งม ร่างยังนิ่งแข็งไปราวจะกลายเป็นหิน
สตรีในรถลากเมื่อครู่ พอสัมผัสได้ถึงการมองของต้วนหลิงเทียน นางก็เหลือบมองต้วนหลิงเทียนเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วเบาๆ
และไม่ทันไรนางก็ละสายตาออกไป ก่อนจะเลิกม่านลง รถลากเองก็เคลื่อนตัวห่างไกลออกไปทุกขณะ
ต้วนหลิงเทียนได้สติกลับคืนทันใด ร่างยังเหินพุ่งไปด้วยความเร็ว สองตาฉายชัดถึงความตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุมใบหน้าที่เคยสงบบัดนี้กลับแดงขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“เค่อเอ๋อ!!”
ต้วนหลิงเทียนที่พุ่งร่างไปฉับไว พริบตาก็ไปหยุดขวางไว้เบื้องหน้ารถลากดังกล่าว
ทันใดนั้น รถลากเทียมสัตว์ที่ถูกชายวัยกลางคนควบคุมก็หยุดลงทันที สัตว์อสูรที่ลากรถยังยกเท้าหน้าสองเท้าขึ้นเตะอากาศดังขวับๆก่อนจะย่ำลงพื้นเสียงดัง
“ไอ้หนู โดดมาขวางทางแบบนี้เจ้าอยากตายรึไร?!”
ชายวัยกลางคนที่ดึงบังเหียนสัตว์อสูรเทียมรถ อดไม่ได้ที่จะหันมามองต้วนหลิงเทียนตาขวาง ตวาดคำออกมาเสียงดัง
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่แยแสชายวัยกลางคนแม้แต่นิดเดียว ราวกับไม่ได้ยินอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น เพียงมองจ้องไปยังรถลากด้านหลังชายวัยกลางคนอย่างวาดหวัง โพล่งถามออกมาเสียงดังว่า “เค่อเอ๋อ นั่นเจ้าหรือ!?”
“เป็นเจ้าใช่ไหม?!”
ดวงตาต้วนหลิงเทียนฉายชัดถึงความตื่นเต้นเป็นที่สุด ลมหายใจยังถี่รัวขึ้นมา