WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3701 เด็กนี่เกิดมาก็ 666
“ศิษย์น้องต้วน เจ้าไม่รู้หรือว่าศิษย์น้องอูเยียนนั้นถูกศิษย์ในนิกายมากมายยกให้เป็นคู่รักในฝัน…ไม่คิดเลยว่าโฉมงามอันดับหนึ่งของนิกายหมอกเร้นลับเราจะกลายเป็นไร้ค่าในสายตาเจ้าขนาดนี้”
หวูเฟิงรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง
“ศิษย์พี่หวูเฟิง ข้าแต่งงานแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวพลางกล่าว
“ในโลกที่ผู้เข้มแข็งได้รับการยอมรับนับถือ กับบุรุษที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังจะมี 3 ภรรยา 4 อนุก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องนี้ผู้ชายอย่างเราก็รู้กันดี กระทั่งสตรีทั้งหลายยังเข้าใจเรื่องนี้ด้วย”
หวูเฟิงกล่าว “กระทั่งในปัจจุบัน เหล่าสตรีที่ทรงพลังมากอำนาจเอง ก็มีนายบำเรอเก็บไว้หลายคน”
“ก็นะ ชีวิตใครชีวิตมัน”
ต้วนหลิงเทียนยักไหล่กล่าว
“ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่อยากให้ข้าบอก ข้าก็ไม่บอก”
หวูเฟิงส่ายหัวไปมา ในความเห็นมันเมื่อต้วนหลิงเทียนตัดสินใจแน่แล้ว เช่นนั้นแทนที่จะให้ถังอู๋เยียนฝันลมๆแล้งๆ มิสู้ให้นางตัดใจเสียตั้งแต่เนิ่นๆดีกว่า
ที่ต้วนหลิงเทียนพูดมาก็มีเหตุผล
“ศิษย์พี่หวูเฟิง ว่าแต่พวกท่าน 4 คนรู้ได้อย่างไร…ว่าเทพซ่อนนั่นมันเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพ?”
ขณะเดินทางไปกับหวูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ถามเรื่องนี้ออกมา
“ว่ากันตามตรง ไม่ได้มีแค่พวกเรา 4 คนที่รู้เรื่องนี้”
หวูเฟิงส่ายหัว
“หืม? ไม่ใช่ 4 คนรึ?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง “ไม่ใช่ท่านบอกข้าก่อนหน้าหรือไร ว่ามีแค่พวกท่าน 4 คนที่รู้เรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกุญแจทั้ง 4 ดอกที่จะใช้เปิดสถานที่แห่งนั้น ก็เป็นพวกท่านแบ่งกันถือคนละดอก”
“ตอนนั้นข้าบอกเจ้าว่า เหลือพวกเราแค่ 4 คน กับกุญแจ 4 ดอก…”
สองตาหวูเฟิงทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง กล่าวออกเสียงหนักว่า “ตอนแรกพวกเรามีกันทั้งสิ้น 10 กว่าคน พอพบเจอเทพซ่อนแห่งนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็อยากมีส่วนแบ่ง เช่นนั้นจึงเกิดการต่อสู้เพื่อช่วงชิง…สุดท้ายก็เหลือแค่พวกข้า 4 คนที่รอดมาได้”
“และเทพซ่อนแห่งนั้น ก็จำกัดคนเข้าได้มากสุดแค่ 8 คนเท่านั้น”
“คนที่พวกเราฆ่าไปวันนั้น ส่วนใหญ่ยังอยู่ในขอบเขตเทพ…มีราชาเทพแค่ 2 คน แต่พวกมันก็พึ่งจะทะลวงด่านพลังมาไม่นานนัก”
“เช่นนั้นพวกเราทั้ง 4 ก็เลยได้ครอบครองกุญแจเปิดสถานที่แห่งนั้นกันคนละดอก และตกลงกันว่าแต่ละคนจะหาคนมาช่วยอีกคน เพื่อเข้าไปแข่งขันกันด้านในเทพซ่อน และผู้ช่วยที่พวกเราจะพามาก็ต้องมีด่านพลังไม่ถึงขอบเขตราชาเทพขั้นกลาง”
“เพราะสุดท้ายแล้วพวกเราทั้ง 4 ก็เป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น…”
…
หลังจากที่หวูเฟิงเริ่มเล่าออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้ความเป็นมามากขึ้น
“ส่วนเรื่องที่พวกเราพบเจอเทพซ่อนนั้น มันเป็นเรื่องบังเอิญล้วนๆ”
ความทรงจำแล่นวาบในแววตาหวูเฟิง “ตอนแรกพวกเรา 10 กว่าคน ไม่ว่าใครก็รับภารกิจล่าสัตว์อสูรขอบเขตราชาเทพที่เมืองเทียนจงมาเหมือนๆกัน เช่นนั้นพวกเราก็เลยจัดทีมล่าชั่วคราว เพื่อออกไปล่าสัตว์อสูรด้วยกัน”
“ในบรรดาพวกเรา มีราชาเทพขั้นต่ำทั้งสิ้น 6 คน ส่วนที่เหลือเป็นเทพขั้นสูงทั้งหมด รวมแล้วก็มีกัน 14 คน…”
“หลังจากจบภารกิจล่าสัตว์อสูร พวกเราก็ตัดสินใจพักฟื้นพลังก่อนจะเดินทางกลับ และตอนนั้นเองในขณะที่พวกเราเลือกจะพักฟื้นบริเวณเชิงภูเขาลูกหนึ่ง ก็มีหนึ่งในพวกเราที่กำลังขุดถ้ำพักชั่วคราว ดันพบว่าบริเวณนั้นกลับมีอุโมงค์ลับซ่อนอยู่ และมันเป็นอุโมงค์ลับที่นำไปยังส่วนลึกของภูเขา…”
“พวกเราที่พบเห็นอุโมงค์ลับดังกล่าว แน่นอนว่าย่อมต้องเข้าไปสำรวจดู และหลังเดินเข้าไปในอุโมงค์ไม่นาน พวกเราก็พบเจอประตูมิติอันนำไปสู่ระนาบอิสระ พอพวกเราผ่านประตูมิติเข้าไปยังระนาบอิสระที่ว่า ก็พบสถานที่ราวกับวิหารหรือศาลเจ้าอะไรบางอย่าง…”
“จากลักษณะที่เห็น พวกเราก็บอกได้ทันทีว่าสมควรเป็นเทพซ่อนที่มีเงื่อนไขจำกัดในการเข้าบางอย่าง และพวกเรายังสังเกตเห็นอีกว่า ประตูศาลเจ้ามีกุญแจเสียบคาอยู่ 4 ดอก…ตอนนั้นเอง ราชาเทพที่ทรงพลังที่สุดทั้ง 4 คนรวมถึงข้า ก็ชิงลงมือก่อน…พุ่งไปคว้ากุญแจมาครองไว้”
“ต่อมาคนอื่นๆ ก็ต้องการส่วนแบ่ง แต่ละคนยกอ้างเหตุผลออกมากันใหญ่”
“ในขณะที่กำลังมีปากเสียงกัน ข้าก็เหลือบไปเห็นว่าแท่นศิลาข้างประตูศาลเจ้านั้น มันมีขอความจารึกอยู่ โดยบอกว่าประตูบานนี้เข้าไปได้เพียงแค่ 8 คนเท่านั้น ทำให้สถานการณ์เริ่มอึมครึมทันที…สุดท้ายราชาเทพขั้นต่ำอีก 3 คนที่ได้กุญแจมาก็ลอบหารือกับข้า ว่าจะฆ่าคนอื่นๆทิ้งเพื่อเก็บความลับ”
“สุดท้ายแล้ว คนพวกนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา เป็นแค่การรวมกลุ่มล่าชั่วคราวเท่านั้น แม้พวกเราจะยินดีแบ่งผลประโยชน์ให้ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจเข้าไปกันได้ครบทุกคนอยู่ดี และคนที่ไม่ได้เข้าไปก็ไม่พ้นต้องรีบแพร่งพรายเรื่องราวออกไปด้วยความริษยา…”
“ดังนั้นพวกเรา 4 คนก็เลยร่วมมือกันฆ่าคนอื่นๆจนหมด ถือครองสิทธิ์ที่จะเข้าไปในเทพซ่อนแห่งนั้นแต่เพียงผู้เดียว”
“ต่อมาพวกเราทั้ง 4 ก็ได้ทำการสาบานต่อเลือดมารหัวใจ ว่าจะบอกเรื่องราวที่พบเจอต่อผู้ที่มีด่านพลังต่ำกว่าราชาเทพขั้นกลางแค่คนเดียวเท่านั้น และต้องนำคนๆนั้นมากับพวกเราด้วย…หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับ”
…
พอหวูเฟิงเล่าเรื่องราวออกมา ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว ที่แท้เทพซ่อนที่สงสัยว่าจะเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพก็ถูกพบเจอในลักษณะนี้
“ศิษย์พี่หวู ว่าแต่พวกท่านยืนยันได้อย่างไรว่าเทพซ่อนที่พวกท่านพบ มันเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพ? เพราะเท่าที่ข้าฟังท่านเล่ามา ไม่เห็นมีสิ่งไหนบ่งบอกเลยนี่นา? หรือพวกท่านเข้าไปด้านในดูแล้ว?”
ต้วนหลิงเทียนสงสัย
หากเข้าไปแล้ว จะรู้ก็ไม่แปลก
“เปล่า”
หวูเฟิงส่ายหัวไปมา “พวกเรายังไม่ได้เข้าไป ส่วนเรื่องที่พวกเรายืนยันได้อย่างไรว่าเทพซ่อนที่พบสมควรเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพ ก็เพราะในบรรดาพวกเราทั้ง 4 มีคนนึงที่เป็นศิษย์ของนิกายหมื่นปีศาจ เคยเห็นอะไรบางอย่างจากหยกเก็บความทรงจำ…และหยกเก็บความทรงจำที่ว่าก็มีบอกเรื่องราวของเทพซ่อนมากมาย และมันที่พบว่าอักขระที่เป็นสื่ออาคมบริเวณประตู มีลวดลายทั้งรูปแบบที่ละม้ายคล้ายกันกับข้อมูลที่มันรู้มา รวมถึงกลิ่นอายพลังลี้ลับที่เหลือร่องรอยในอาคม มันก็สงสัยว่าผู้ที่สร้างเทพซ่อนแห่งนี้น่าจะเป็นจักรพรรดิเทพ”
“แต่เป็นธรรมดาว่า มันก็แค่พูดว่า ‘น่าจะ’ เท่านั้น”
“สุดท้ายแล้วเจ้านั่นมันก็เป็นราชาเทพขั้นต่ำ ต่อหน้าเทพซ่อนที่อาจจะถูกตัวตนระดับจอมราชันเทพหรือจักรพรรดิเทพทิ้งไว้ แค่แผ่สำนึกเทวะไปหมายตรวจสอบร่องรอยพลังในอาคม สำนึกเทวะก็ถูกทำลายก่อนจะได้ตรวจสอบอะไรได้”
กล่าวถึงจุดนี้ หวูเฟิงก็หยุดลงชั่วคราว “หากเทพซ่อนนั้นเป็นเพียงมรดกสถานที่จอมราชันเทพเหลือทิ้งไว้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำ ขั้นกลาง หรือขั้นสูง…แน่นอนว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ คุณค่าของเทพซ่อนแห่งนั้นก็จะด้อยค่าลงตามระดับพลัง…แต่ถ้ามันเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพขึ้นมาล่ะก็ คราวนี้ก็ถือเป็นโชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่แล้ว”
“แต่กระนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร อย่างน้อยๆก็ต้องมีอะไรให้เก็บเกี่ยวบ้าง…ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”
“เช่นนั้นพวกเราก็เลยนัดหมายกัน ว่าแต่ละคนจะพาผู้ช่วยที่มีระดับพลังไม่ถึงราชาเทพขั้นกลางเข้าไปในเทพซ่อนแห่งนั้นคนนึง…เพราะใครเล่าจะไม่อยากได้ของดีๆที่อยู่ด้านใน”
ในสายตาของหวูเฟิง เริ่มฉายถึงความคาดหวังให้เห็น
“เข้าใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็หวังว่ามันจะเป็นมรดกสถานของจักรพรรดิเทพจริงๆ ไม่ใช่แค่จอมราชันเทพเท่านั้น
ระหว่างเดินทางหวูเฟิงก็ชวนต้วนหลิงเทียนคุยเรื่อยเปื่อย แต่ไม่ได้พูดถึงจุดหมายปลายทาง เพียงสงสัยเรื่องที่มาที่ไปของต้วนหลิงเทียน ว่ามาจากไหนกันแน่ถึงได้มีพรสวรรค์กับความเข้าใจน่าทึ่งขนาดนี้
“อะไร!? ศิษย์น้องต้วน นี่เจ้ามาจากระนาบเทวโลกเช่นนั้นหรือ?!”
และพอหวูเฟิงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมาจากระนาบเทวโลก มันก็ตกใจเป็นธรรมดา ปฏิกิริยาของมันยังรุนแรงกว่ามู่หรงสุยเฟิงตอนที่ได้ทราบเรื่องนี้วันนั้นเสียอีก พอมองต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง สายตาก็ทำราวกับเห็นผีกลางวันแสกๆ
“สวรรค์! ศิษย์น้องต้วน ด้วยพรสวรรค์กับความเข้าใจของเจ้า ตอนที่เจ้ายังอยู่ในระนาบเทวโลก เจ้าคงเป็นสัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจจนไร้ผู้ใดเทียบได้เลยกระมัง?! ให้ตายเถอะ ข้านึกไม่ออกจริงๆว่าตอนเจ้าอยู่ในระนาบเทวโลกเจ้าจะโด่งดังถึงขนาดไหน…”
ถึงแม้หวูเฟิงจะไม่เคยไประนาบเทวโลก แต่มันก็เคยได้ยินมาบ้าง
แม้แต่ผู้บุกเบิกดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้ ตัวตนขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุด…ก็มาจากระนาบเทวโลกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คนจากระนาบเทวโลกไม่ใช่ทุกคนที่จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด และมีความสามารถถึงขั้นเปิดสร้างระนาบเทพแบบนี้ได้…ในระนาบเทวโลกส่วนใหญ่แล้วก็มีแต่คนธรรมดา ศักยภาพและพรสวรรค์ไม่อาจสู้กับคนพื้นเมืองของระนาบเทพได้เลย
ไม่ใช่ว่าหวูเฟิงจะไม่เคยได้ยินเรื่องอัจฉริยะจากระนาบเทวโลกที่ขึ้นมายังระนาบเทพ…
อย่างไรก็ตามอัจฉริยะเหล่านั้น พอมาเทียบกับอัจฉริยะของระนาบเทพ ก็แลดูธรรมดาลงถนัดตา
“ศิษย์พี่หวู ข้าก็แค่โชคดีพบพานโชควาสนามากกว่าคนอื่นๆเท่านั้นเอง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวอย่างถ่อมตัว
“ศิษย์น้องต้วนเจ้าไม่ต้องถ่อมตัวหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าต้องเป็นสุดยอดอัจฉริยะยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดบนระนาบเทวโลกแน่ๆ!”
กับวาจาถ่อมตัวของต้วนหลิงเทียน หวูเฟิงไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว “จะอย่างไรก็ตาม ในเมื่อศิษย์น้องต้วนมาจากระนาบเทวโลกเช่นนี้ เจ้าก็ไม่มีพลังสายเลือดน่ะสิ? เจ้าทราบหรือไม่ ในระนาบเทพนั้นก่อนที่จะยังอายุไม่ถึงหมื่นปี ไม่ว่าใครก็มีโอกาสปลุกพลังสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้…”
“เฉพาะผู้ที่มีอายุเกินหมื่นปีแล้วแต่ยังไม่อาจปลุกพลังสายเลือดให้ตื่นขึ้นเท่านั้น ถึงจะสรุปได้ว่าไร้พลังสายเลือดในร่างไปชั่วชีวิต”
หวูเฟิงกล่าว
“ศิษย์พี่หวูเฟิง แล้วท่านเล่า? ปลุกพลังสายเลือดที่ว่าได้แล้วรึยัง?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลังจากมาถึงดินแดนดาราพิศวง ต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นคนใช้พลังสายเลือดมาบ้างแล้ว อย่างติงเหยียนที่เขาประมือด้วยในสถานศึกษาหมอกเร้นลับ พลังสายเลือด คุ้มคลั่ง ของอีกฝ่ายก็ทรงพลังไม่ใช่ชั่วจริงๆ ยังมีพลังอำนาจครอบงำผู้ที่ไร้พลังสายเลือดมากมายนัก
ยามใช้สายเลือดคุ้มคลั่งนั่น ระดับพลังของติงเหยียนถึงกับเพิ่มพูนขึ้น จนสามารถต่อสูกับผู้ที่มีด่านพลังเหนือกว่าได้ในระยะเวลาสั้นๆ
นอกจากนั้น ต้วนหลิงเทียนยังรู้อีกด้วยว่า พลังสายเลือดก็ไม่ใช่ว่าจะมีไว้ใช้เพื่อต่อสู้อย่างเดียว ยังมีพลังสายเลือดที่มีไว้สนับสนุนหรือใช้ในกิจวัตรประจำวันบางอย่าง
อย่างเช่นพลังสายเลือดของบางคน เมื่อใช้แล้วก็สามารถฟื้นฟูแรงกายให้คนที่เหนื่อยล้ากลับมามีเรี่ยวแรงและกระฉับกระเฉงได้อีกครั้ง
พลังสายเลือดของบางคน ก็มีส่วนช่วยให้การหลอมปรุงโอสถ หรือหลอมสร้างอุปกรณ์เทพ ไม่เว้นจารึกอาคม จัดตั้งค่ายกล…ฯลฯ
…
“ไม่”
หวู่เฟิงส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มหดหู่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พลังสายเลือดไหนเลยจะปลุกให้ตื่นได้ง่ายๆเล่า นอกจากนั้นตระกูลของข้ายังไม่ใช่แม้แต่ตระกูลระดับราชาเทพ…กล่าวไปข้ายังเป็นคนแรกในตระกูลด้วยซ้ำที่ด่านพลังบรรลุถึงขอบเขตราชาเทพ”
“ในระนาบเทพ ตระกูลไหนมีความเป็นมาต้อยต่ำ สายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดก็ยิ่งอ่อนจาง…ยากที่จะพบเจอคนที่ปลุกพลังสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้”
“กลับกัน หากเป็นตระกูลระดับจักรพรรดิเทพล่ะก็….ตราบใดที่เป็นทายาทสายโลหิตหลัก ปกติแล้วก็สามารถปลุกพลังสายเลือดกันได้ทุกคน และส่วนใหญ่ก็สามารถปลุกพลังสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้ก่อนอายุครบพันปีด้วยซ้ำ”
“บางครั้งข้าอดคิดไม่ได้ว่า…ชาติกำเนิดนั้นเป็นอะไรที่สำคัญมากจริงๆ”
เสียงถอนหายใจด้วยความสะทกสะท้อนของหวูเฟิง ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดนึกย้อนไปยังอดีตเมื่อชีวิตที่แล้วของเขาบนโลกขึ้นมาไม่ได้ ชาติกำเนิดนั้นเป็นอะไรที่ไร้คำจะกล่าวจริงๆ
บางคนเกิดมาก็เป็นแค่คนธรรมดา พ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดา ชั่วชีวิตได้แต่พึ่งความสามารถของตัวเองต่อสู้ดิ้นรนถีบตัว…
กลับกัน บางคนนั้นคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด เรียกว่าอาหารที่กิน ชุดที่ใส่ บ้านที่อยู่ ก็ล้วนแล้วแต่หรูหราราคาแพง ผู้คนรอบกายเป็นคนใหญ่คนโตมีหน้ามีตาในสังคม ไม่รู้จักว่าคำปากกัดตีนถีบเป็นเช่นไร…
นอกจากนั้นเท่าที่ต้วนหลิงเทียนจดจำได้ มีแม้กระทั่งชายหนุ่มที่มีวัยเพียง 20 ต้นๆ ก็ได้รับมรดกหมื่นล้านที่พ่อแม่มอบให้ เรียกว่าร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ สูญสิ้นโอกาสยื่นประวัติการศึกษาเพื่อหางาน รวมถึงไม่มีโอกาสสัมผัสวิถีชีวิตของพนักงานเงินเดือนไปชั่วกาล…
เขายังจดจำได้ดี ว่าวันนั้นในขณะที่กำลังเล่นมือถือฆ่าเวลาอยู่ พอเห็นข่าวดังกล่าวที่เป็นกระแสในเน็ต เขายังอดไม่ได้ที่จะคอมเม้นไปว่า “ไอ้เด็กนี่เกิดมาก็ 666…”
“คนเราไม่อาจเลือกเกิดได้…ที่ทำได้ก็คือพยายามให้มาก เพื่อให้ลูกหลานของพวกเราได้สัมผัสชีวิตที่คนอื่นได้แต่อิจฉา และมองว่ามีชาติกำเนิดที่ดี”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ