WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3703 หยางเชียนเย่
ได้ยินคำเชิญของตู้เหยียน หวูเฟิงก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาระแวง “ให้ติดเรือเจ้าไปก็ได้…แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้ก่อนเลย ว่าข้ากับสหายคงไม่มีหินเทพมากพอให้เรือเหาะของเจ้าเผาหรอกนะ…”
“เท่าที่ข้าทราบมา เรือเหาะระดับราชาเทพลำนี้ ต่อให้เจ้าจะใช้ความเร็วในการเดินทางระดับราชาเทพขั้นต่ำ แต่มันก็ต้องใช้หินเทพ 50 ตำลึงต่อวันกระมัง?”
ได้ยินคำพูดของหวูเฟิง ตู้เหยียนก็ถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “หวูอี้ซาน ไฉนก่อนหน้าข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้ามีมุมตลกเช่นนี้อยู่ด้วยเล่า เจ้าคิดว่าข้าตู้เหยียนเป็นคนอย่างไรกัน? ในเมื่อข้าสามารถนำเรือเหาะระดับราชาเทพออกมาใช้ได้ หรือเจ้าคิดว่าหินเทพมันขาดมือข้าเล่า?”
“หากไม่ใช่เพราะว่ายังพอเหลือเวลาอยู่บ้าง ป่านนีข้าใช้ความเร็วระดับราชาเทพขั้นสูงมุ่งหน้าไปจุดนัดพบแล้ว”
เรือเหาะระดับราชาเทพนั้น หากเร่งความเร็วสูงสุดจนอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นสูงล่ะก็ มันต้องใช้หินเทพเป็นเชื้อเพลิงวันละ 500 ตำลึง!
ทำให้จากคำพูดก่อนหน้าของตู้เหยียน ก็สามารถบอกได้เลยว่ามันร่ำรวยแค่ไหน
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้วนะ”
หวูเฟิงคลี่ยิ้มบางๆ จากนั้นก็ชวนต้วนหลิงเทียนขึ้นเรือเหาะไปพร้อมๆกับตู้เหยียนและชายวัยกลางคนด้านหลัง
เรือเหาะลำนี้ภายนอกดูไม่ใหญ่โตอะไร แต่พอเข้ามาในห้องกลับกว้างขวางไม่น้อย มากพอจะรองรับผู้คนได้หลายสิบ และถ้าทุกคนยินดียืนเบียดกันสักนิด ก็มากพอจะรองรับผู้คนได้หลายร้อยคน
ทว่าตอนนี้กลับมีพวกต้วนหลิงเทียนอยู่กันแค่ 4 คนเท่านั้น ทำให้ห้องในเรือเหาะดูกว้างขวางขึ้นถนัดตา
หลังจากตู้เหยียนกับชายวัยกลางคนเข้ามา มันก็เริ่มเดินเรือเหาะต่อทันที จากนั้นความว่างเปล่าภายในห้องของเรือเหาะ ก็เริ่มปรากฏม่านแสงฉายภาพขึ้นมา 4 ม่าน เห็นได้ชัดว่าเป็นอาคมกระจกสะท้อนลักษณ์บางอย่าง และสิ่งที่มันฉายก็คือฉากเรื่องราวด้านนอกเรือเหาะนั่นเอง
เช่นนั้นกล่าวได้ว่าแม้จะอยู่ภายในห้องของเรือเหาะ ก็สามารถแลเห็นฉากเรื่องราวด้านนอกได้ชัดเจน
“หวูอี้ซาน หลังจากข้ากลับไปนิกายข้าก็ไปหาหยกบันทึกความทรงจำเรื่องเทพซ่อนแผ่นอื่นๆดู…”
หลังจากต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิง หามุมสงบในห้องและเริ่มนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ตู้เหยียนที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้หรูหราไม่ไกล ก็หันมามองกล่าวกับหวูเฟิงด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าสามารถยืนยันได้แน่ชัดแล้ว…เทพซ่อนที่พวกเราพบเจอ มันเป็นมรดกสถานของตัวตนระดับจักรพรรดิเทพจริงๆ อย่างไรก็ตามข้าไม่อาจบอกได้ว่าเป็นจักรพรรดิเทพขั้นใดกันแน่…”
พอหวูเฟิงได้ยินคำพูดของตู้เหยียน สองตาของมันก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
ต้วนหลิงเทียนทีนั่งขัดสมาธิกลางอากาศไม่ไกล พอได้ยินคำพูดของตู้เหยียน เขาก็เดาได้ทันที ว่าศิษย์นิกายหมื่นปีศาจที่หวูเฟิงกล่าวบอกว่าเคยเห็นข้อมูลของเทพซ่อนจากป้ายหยกความทรงจำเป็นใคร ที่แท้ก็คือตู้เหยียนคนนี้นี่เอง
“จะอย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นแค่มรดกสถานของจักรพรรดิเทพขั้นต่ำ ก็นับว่าเป็นโชควาสนาครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเราแล้ว!”
กล่าวถึงจุดนี้สองตาตู้เหยียนก็ฉาชัดถึงความเร่าร้อนปานเพลิงไฟ
เพราะแม้แค่นิกายหมื่นปีศาจที่อยู่เบื้องหลังมัน ก็ยังเป็นแค่ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเท่านั้น ไม่เคยปรากฏตัวตนระดับจักรพรรดิเทพมาก่อน
แต่ตอนนี้มันกำลังจะเข้าไปยังเทพซ่อนที่สมควรเป็นมรดกสถานของตัวตนระดับจักรพรรดิเทพ นั่นนับเป็นอะไรที่ทุกคนในนิกายหมื่นปีศาจไม่เว้นแม้แต่ตัวประมุขกับชนชั้นอาวุโสสูงสุดเองก็ต้องอยากเข้าไปใจแทบขาด!
“หวูอี้ซาน ข้ากับเจ้าไม่ควรตัดสินใจกล่าวคำสาบานกับพวกมัน 3 คนแต่แรก…ด้วยพลังฝีมือของเจ้ากับข้า หากพวกเราร่วมมือกันพวกมัน 3 คนก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้”
(จากประโยคนี้จะพบว่า คนที่มีกุญแจจะมีทั้งสิ้น 5 คน…เช่นนั้นตอนก่อนหน้านี้ที่บอกว่ามี 4 ที่จริงก็คือ 5! แต่ต้นฉบับมันมาอย่างนั้น พอผมยอนกลับไปดูหลายบทก่อน ค่อยพบว่า สมควรมี 5 คนจริงๆ และกุญแจก็มี 5 ดอก ไม่ใช่ 4 ดอกเหมือนตอนที่ 3701)
พอตู้เหยียนกล่าวถึงจุดนี้ แววตาก็ฉายชัดถึงความเสียดาย
“หากพวกเราสามารถนำเรื่องนี้ไปกล่าวแจ้งกับผู้อาวุโสได้ล่ะก็ พวกเราย่อมได้รับผลประโยชน์จากมรดกสถานของจักรพรรดิเทพมากขึ้นแน่นอน…เพราะอาศัยพลังฝีมือของพวกเรา ข้าเกรงว่าพวกเราอาจไม่ได้รับทุกสิ่งภายในนั้น”
ตู้เหยียนกล่าว
อย่างไรก็ตามได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงท่าทีเสียดายของตู้เหยียน หวูเฟิงกลับไม่เห็นด้วย “ข้าเข้าใจว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่…แต่ถ้าพวกเราไม่เห็นด้วย เจ้าว่าพวกมันจะเต็มใจเปิดเทพซ่อนกับพวกเราหรือไม่? ตอนนั้นพวกมันทั้ง 3 เห็นชัดว่าเลือกจะเกาะกลุ่มกัน พวกมันทำอะไรพวกเราไม่ได้ก็จริง แต่พวกเราเองก็ไม่มีปัญญาแย่งชิงกุญแจมาจากพวกมันได้เช่นกัน?”
“หาไม่แล้วพวกเราต้องประนีประนอมกับพวกมันทำอะไร?”
พอหวูเฟิงกล่าวจบคำ ตู้เหยียนก็นิ่งเงียบไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง มันค่อยกล่าวสืบต่อออกมาว่า “ใน 3 คนนั่น ที่ข้ากลัวที่สุดก็คือชายที่จมูกไวปานสุนัขผู้นั้น…หากไม่ใช่เพราะมัน พวกเราอาจใช้ช่องโหว่ของคำสาบานเลือดมารหัวใจได้แล้ว”
“น่าเสียดายที่เจ้านั่นมันดันกล่าวดักคอ เพื่ออุดช่องโหว่ของคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจเสียก่อน พวกเราก็เลยต้องกล่าวคำสาบานเพิ่ม”
สองตาตู้เหยียนฉายแววหวั่นเกรงออกมา เห็นได้ชัดว่าคนที่มันหวั่นเกรงก็คือชาย 1 ใน 3 คนที่เหลือ
“จริง ตอนที่พวกเราพบว่ารับภารกิจเดียวกันมาก็ทีนึงแล้ว เจ้านั่นมันเป็นออกคำสั่งตั้งแต่ต้นจนจบ แถมคำสั่งของมันก็เป็นการลงมือที่ดีที่สุดทำให้พวกเราเองก็ไม่รู้จะขัดมันอย่างไร สิ่งนี้ทำให้ภารกิจออกล่าของพวกเราตอนนั้นลุล่วงได้อย่างราบรื่น…ข้าเองก็รู้สึกว่าเจ้านั่นมันไม่ธรรมดาจริงๆ แม้ในแง่พลังฝีมืออาจจะสู้พวกเราไม่ได้ แต่มันนับว่าฉลาดเป็นกรดจริงๆ…”
พอได้ยินตู้เหยียนเอ่ยถึงคนผู้นั้น สองตาหวูเฟิงก็ฉายความยำเกรงขึ้นมาเช่นกัน
ด้านต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิไม่ห่างก็ได้แต่ฟังเรื่องราวตาปริบๆ เพราะไม่ทราบว่าทั้งคู่กำลังพูดถึงใครกันแน่
“ศิษย์น้องต้วน”
คล้ายสัมผัสได้ถึงความอยากรู้อยากเห็นของต้วนหลิงเทียน หวูเฟิงก็หันมากล่าวบอกเขาอย่างประจวบเหมาะ “อันที่จริงตอนแรกที่พวกเรากล่าวคำสาบานต่อเลือดมารหัวใจ ว่าพวกเราจะบอกเรื่องราวต่อตัวตนที่ด่านพลังต่ำกว่าราชาเทพขั้นกลางและต้องนำคนผู้นั้นมาเป็นผู้ช่วยแค่คนเดียว เรื่องนี้เจ้าจำได้หรือไม่?”
“จำได้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เรื่องนี้หวูเฟิงเล่าให้เขาฟังแล้ว
“ทว่าตอนนั้น 1 ในพวกเรา 5 คนกลับมองเห็นช่องโหว่ของคำสาบานต่อเลือดมารหัวใจดังกล่าว…มันก็เลยให้พวกเรากล่าวคำสาบานเพิ่ม ว่าต้องให้ผู้ช่วยที่พวกเราตัดสินใจจะพามาแค่คนเดียวนั่น กล่าวคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจก่อน ที่จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง…ว่ามันจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครอีก”
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทันคิดว่าคำสาบานต่อเลือดมารหัวใจที่หวูเฟิงกล่าวไปจะมีช่องโหว่อะไร แต่พอหวูเฟิงกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาเขาก็ตระหนักได้ทันที
แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนั้นเขาแค่ฟังผ่านๆ เพราะเรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาแต่แรก
หาไม่แล้วเขาเองก็คงค้นพบช่องโหว่แต่แรก
เพราะในคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจที่หวูเฟิงบอกมานั้น ต่อให้หวูเฟิงจะกล่าวคำสาบานแล้ว และนำเรื่องราวเทพซ่อนมาบอกต่อต้วนหลิงเทียนที่ด่านพลังยังไม่ถึงราชาเทพขั้นกลางคนเดียวอย่างถูกต้องตามคำสาบาน แต่ทว่าต้วนหลิงเทียนก็สามารถนำเรื่องราวนี้ไปบอกต่อผู้อื่นได้ไม่จำกัด! เพราะในคำสาบานไม่ได้บอกให้ผู้ที่จะพามาช่วยไม่อาจนำเรื่องราวไปบอกใครได้!!
ทว่าการที่บุคคลผู้นั้น มองออกว่าคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจดังกล่าวมีช่องโหว่แทบจะทันที และขอให้หวูเฟิงกับคนอื่นๆกล่าวคำสาบานเพิ่ม ก็นับเป็นการอุดช่องโหว่ในเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด
ในกรณีนี้วันที่นัดพบจะเข้าไปยังเทพซ่อน เต็มที่ก็จะมีคนแค่ 10 คนเท่านั้น และผู้ที่จะเข้าไปในนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเกิน 10 คน
คำสาบานต่อเลือดมารหัวใจ นับเป็นสิ่งที่สะกดข่มทุกคนในระนาบเทพ และเรื่องนี้ก็ได้หยั่งรากลึกในใจทุกคนมานานแล้ว แทบจะเป็นสามัญสำนึกเลยก็ว่าได้ ว่านั่นคืออะไรที่ไม่อาจฝ่าฝืน!
“หวูอี้ซาน”
ตู้เหยียนหันไปมองหวูเฟิง ก่อนจะเหลือบไปมองต้วนหลิงเทียนผ่านๆ “เดิมทีก่อนที่ข้าจะออกจากเรือเหาะไปหาเจ้า ข้ายังคิดจะชวนเจ้ามาหารือเรื่องร่วมมือกันในมรดกสถานของจักรพรรดิเทพ เพื่อให้พวกเราได้รับผลประโยชน์สูงสุด…แต่ตอนนี้ ข้าล้มเลิกความตั้งใจนั่นไปแล้ว”
“เพราะสหายที่เจ้าพามาดันอ่อนแอเกินไป เจ้าพาใครไม่พาดันพาเทพขั้นสูงมาสถานที่เช่นนี้?”
“หลังจากเข้าไปในมรดกสถานของจักรพรรดิเทพ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าอยู่ห่างมันเสียเล่า…หาไม่แล้วอีก 6 คนอาจจะหาโอกาสฆ่ามันทิ้ง สุดท้ายเมื่อมีคู่แข่งในมรดกสถานของจักรพรรดิเทพน้อยลงคนหนึ่ง ทุกคนก็ได้เพิ่มขึ้นอีกส่วน สิ่งนี้ไม่ว่าใครก็ฝันถึงแม้ยามหลับ…”
ตู้เหยียนกล่าวถึงจุดนี้ บนใบหน้าของมันก็ปรากฏรอยยิ้มล้อเลียนขึ้น
“เหอะๆ ต่อให้เจ้าคิดร่วมมือกับข้า ไม่แน่ว่าข้าก็อาจจะไม่เต็มใจก็ได้…”
หวูเฟิงไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากคำพูดของตู้เหยียนแม้แต่น้อย เพียงเหลือบมองตู้เหยียนผ่านๆ “ตู้เหยียน เจ้าพูดมาแบบนี้ใช่เจ้ากำลังคิดเช่นนั้นด้วยหรือไม่?”
“แต่ก็โทษเจ้าไม่ได้ เพราะก่อนหน้าข้าเองก็มีคิดเช่นนี้เหมือนกัน”
“อนิจจาตอนนี้ ให้ตายข้าก็ไม่กล้าคิดอะไรพรรค์นั้น…สุดท้ายแวฐานะของเจ้าก็ธรรมดาที่ไหน ข้าไม่อยากไปกระตุกหนวดเสือหรอกนะ…”
กล่าวถึงจุดนี้หวูเฟิงก็ก้มลงมองพื้นเรือเหาะระดับราชาเทพ
พอเห็นสายตาของหวูเฟิง ตู้เหยียนก็ผงะไปเล็กน้อย ค่อระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าๆออกมา “หวูอี้ซาน ดูเหมือนเจ้ากำลังคิดว่า ในนิกายหมื่นปีศาจข้ามีฐานะสูงส่งมากกระมัง…เช่นนั้นข้าจะบอกอะไรเจ้าให้ เรือเหาะระดับราชาเทพนี้เป็นข้ายืมผู้อื่นเขามาเล่นได้สักพักแล้ว และคนที่ให้ข้ายืมก็เป็นศิษย์พี่ของข้า…บุตรสวรรค์แห่งนิกายหมื่นปีศาจ”
“เจ้าเองก็น่าจะเคยได้ยินชื่อศิษย์พี่ของข้าคนนี้อยู่บ้าง”
“ศิษย์พี่ข้าเรียกว่า หยางเชียนเย่!”
ตู้เหยียนกล่าว
“หยางเชียนเย่?”
พอหวูเฟิงได้ยินชื่อดังกล่าวจากปากตู้เหยียนลูกตามันก็หดเล็กลงทันที
ต้วนหลิงเทียนยังโค้งคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง
เพราะเขาเองก็เคยได้ชื่อนี้ในนิกายหมอกเร้นลับมาเหมือนกัน เป็นศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับที่คุยกันว่า หยางเชียนเย่ บุตรแห่งสวรรค์ของนิกายหมื่นปีศาจเป็นใคร
หยางเชียนเย่นั้นเป็นลูกชายแท้ๆของประมุขนิกายหมื่นปีศาจคนปัจจุบัน กล่าวได่ว่ามันคือประมุขน้อยแห่งนิกายหมื่นปีศาจก็ไม่เกินเลย และยังได้รับตำแหน่งบุตรแห่งสวรรค์ของนิกายหมื่นปีศาจ บ่งบอกว่ามันคือศิษย์หลักอันดับ 1 ที่มีพรสวรรค์และพลังฝีมือเด่นล้ำที่สุดในรุ่น อายุไม่ทันครบหมื่นปีด่านพลังก็บรรลุถึงราชาเทพแล้วขั้นสูงแล้ว และในนิกายก็มีตัวตนใต้ขอบเขตจอมราชันเทพไม่กี่คนเท่านั้นที่ต่อกรกับมันได้
ลือกันว่าขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในเขตคฤหาสน์ตงหลิงได้ยื่นกิ่งมะกอกให้มันแล้ว
หยางเชียนเย่นั้น ถือว่ามีพรสวรรค์และความเข้าใจสูงกว่าเชวียไห่ชวนของนิกายหมอกเร้นลับเมื่อ 10,000 ปีก่อนมาก มันถึงกับได้รับการขนานนามว่า อัจฉริยะในรอบแสนปี!
พอได้ฟังต้วนหลิงเทียนก็มองลึกไปทางตู้เหยียนทันที การที่อีกฝ่ายสามารถยืมเรือเหาะระดับราชาเทพจากหยางเชียนเย่ได้ เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างอีกฝ่ายกับหยางเชียนเย่ท่าทางจะสนิทสนมกันพอสมควร หาไม่แล้วไฉนถึงหื้มของมีค่าขนาดนี้ง่าๆ?
“ถึงจะเป็นแบบนี้ ก็ไม่อาจปฏิเสธเรื่องที่เจ้าไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาๆของนิกายหมื่นปีศาจได้อยู่ดี”
ในที่สุดหวูเฟิงก็หายจากอาการตกใจ สายตาที่ใช้มองตู้เหยียนยิ่งมายิ่งเคร่งขรึม “หยางเชียนเย่ผู้นั้นถึงกับให้เจ้ายืมเรือเหาะระดับราชาเทพ บ่งบอกว่าเจ้าสมควรสนิทสนมกับหยางเชียนเย่ไม่น้อย…ในนิกายหมื่นปีศาจเกรงว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักเจ้ากระมัง”
“และหากเจ้าแซ่ตู้จริงๆ…”
“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าสมควรเป็นหลานชายของ ตู้จ้าน อาวุโสสูงสุดแห่งนิกายหมื่นปีศาจ ‘ตู้ปั้วจวิน’ กระมัง?”
หลังกล่าวจบคำ สายตาที่หวูเฟิงใช้มองตู้เหยียนก็ฉายความระแวดระวังมากขึ้น
��