WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3704 ตู้เชียนจวิน
“เจ้ายังรู้อะไรอีก?”
ตู้เหยียนหันไปมองถามหวูเฟิงด้วยรอยยิ้ม
สำหรับข้อสันนิษฐานของหวูเฟิง มันกลับแลดูเฉยๆราวกับที่อีกฝ่ายกล่าวถึงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมัน
พอหวูเฟิงเห็นสิ่งนี้ ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “หรือว่า…เจ้าไม่ใช่ตู้ปั้วจวิน?”
“เจ้าถามแบบนี้ หรือเจ้าไม่รู้จริงๆว่าระดับพลังบ่มเพาะของตู้ปั้วจวินคืออะไร?”
ตู้เหยียนย้อนถามด้วยสีหน้าหยอกล้อ
ด้านหวูเฟิงพอได้ยินก็ผงะไปทันที…
เพราะตู้ปั้วจวินที่มันรู้จักแม้พลังฝึกปรือจะด้อยกว่า หยางเชียนเย่ แต่อายุก็พอๆกับหยางเชียนเย่ และเป็นราชาเทพขั้นสูงไปแล้ว กล่าวได้ว่าในบรรดาศิษย์หลักของนิกายหมื่นปีศาจ พลังฝีมือก็สูงถึงขั้นติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้…
เพราะสาเหตุนี้เอง หวูเฟิงจึงเคยได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่าย
“อีกทั้งถึงข้าจะเป็นตู้ปั้วจวินอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ…แล้วเจ้าทราบได้อย่างไรว่าหยางเชียนเย่จะยินดีให้ตู้ปั้วจวินยืมของมีค่าอย่างเรือเหาะระดับราชาเทพ?”
ตู้เหยียนหันไปมองถามหวูเฟิงอีกครั้ง ตอนนี้แววตามันเผยความสนใจไม่น้อย
หวูเฟิงพอได้ยิน ก็มองกล่าวกับตู้เหยียนตรงๆ “ตอนที่ข้าออกไปท่องเที่ยวนอกนิกาย ข้าเคยพบเจอศิษย์นิกายหมื่นปีศาจกลุ่มหนึ่ง และบังเอิญได้ยินพวกมันคุยกันว่า…ประมุขน้อยแห่งนิกายหมื่นปีศาจ หยางเชียนเย่ผู้นั้น แม้จะติดตามประมุขนิกายหมื่นปีศาจเพื่อฝึกฝนขัดเกลาตัวเองมาโดยตลอด อย่างไรก็ตามตอนที่ยังเด็ก กลับเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายหมื่นปีศาจอย่าง ตู้จ้าน ที่คอยอบรมสั่งสอนให้มัน เช่นนั้นมันจึงเห็นตู้จ้านไม่ต่างอะไรกับปู่แท้ๆ”
“เช่นนั้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหยางเชียนเย่กับตู้ปั้วจวินหลานชายของอาวุโสสูงสุดตู้จ้าน สนิทสนมกลมเกลียวกันไม่ต่างจากพี่น้องแท้ๆ”
“หากเจ้าเป็นตู้ปั้วจวิน ก็นับเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งที่หยางเชียนเย่จะให้เจ้ายืมเรือเหาะระดับราชาเทพลำนี้…”
“อย่างไรก็ตาม พอได้ฟังคำถามกระตุ้นเตือนของเจ้าเมื่อครู่ ข้าก็มั่นใจได้ว่าเจ้าไม่ใช่ตู้ปั้วจวินแน่ๆ…เพราะตู้ปั้วจวินเป็นราชาเทพขั้นสูงแล้ว แต่เจ้ายังเป็นราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น”
พูดถึงจุดนี้ หวูเฟิงก็ส่ายหัวไปมา
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้ ก็นับว่าดีมากแล้ว”
ตู้เหยียนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ท้ายที่สุดแล้วเจ้าก็ไม่ใช่คนของนิกายหมื่นปีศาจ…แต่เป็นคนนิกายหมอกเร้นลับ”
“ช่างเถอะ เรื่องนี้บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นอะไร…อันที่จริงข้าเรียกว่า ‘ตู้เชียนจวิน’ เป็นน้องชายแท้ๆของตู้ปั้วจวิน และแม้แต่ชื่อของข้า ก็ตั้งจากชื่อของพี่ใหญ่กับศิษย์พี่หยางเชียนเย่…”
“ส่วนเรือเหาะระดับราชาเทพลำนี้ เป็นของขวัญวันเกิดที่ศิษย์พี่หยางเชียนเย่มอบให้ข้าเมื่อเดือนที่แล้ว”
ในขณะที่ตู้เชียนจวินกล่าวคำ ‘หยางเชียนเย่’ ออกมา ในแววตาของมันก็ฉายชัดถึงความนับถือและยำเกรงออกมาจากก้นบึ้งของใจ
เนื่องเพราะหยางเชียนเย่เป็นแบบอย่างของมันตั้งแต่ยังเล็ก มันยังตั้งเป้าว่าสักวันจะแข็งแกร่งให้ได้เท่าหยางเชียนเย่!
“ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”
หวูเฟิงก็เข้าใจเรื่องทั้งหมดได้ทันที “ไม่แปลกใจเลยที่ไฉนเจ้าถึงมีเรือเหาะระดับราชาเทพได้ หยางเชียนเย่ให้เจ้ามานี่เอง และดูเหมือนหยางเชียนเย่จะสนิทกับเจ้าไม่น้อย หาไม่แล้วคงไม่นำของล้ำค่าเช่นนี้มามอบให้เจ้าเป็นของขวัญวันเกิดได้…”
“นั่นมันแน่อยู่แล้ว…ข้าสนิทกับศิษย์พี่หยางเชียนเย่ไม่ต่างอะไรจากพี่ใหญ่ของข้าเลย!”
ตู้เชียนจวินกล่าวออกมาด้วยท่าทางภาคภูมิใจ
“พี่ใหญ่ของเจ้ากับหยางเชียนเย่คนนั้นนับว่ามีชื่อเสียงโด่งดังยิ่ง แล้วไฉนข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องเจ้าเลยเล่า?”
เห็นท่าทีภาคภูมิใจของอีกฝ่าย หวูเฟิงก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเลิกคิ้วกล่าวถามด้วยสงสัย
ตู้เชียนจวินหัวเราะเล็กน้อย ไม่ได้ถือสาที่อีกฝ่ายไม่รู้จักมัน “เจ้าจะไม่รู้จักข้าก็ไม่แปลกหรอก เพราะอย่าว่าแต่เจ้าเลย กระทั่งคนของนิกายหมื่นปีศาจเอง ก็มีน้อยคนนักที่ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของข้า…ถึงแม้ข้าจะเป็นศิษย์สายในคนหนึ่งของนิกาย แต่ในนิกายแทบไม่มีใครเคยเห็นข้า เพราะข้ามักจะติดตามท่านปู่ไปฝึกฝน…”
“ครั้งก่อนที่ข้าไปทำภารกิจล่าสัตวว์อสูรกับเจ้าได้ ก็เป็นข้าที่แอบหนีท่านปู่มา…”
“กล่าวไปแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นข้าแอบหนีท่านปู่มาเช่นกัน…เพราะเรื่องที่ข้าแอบหนีมาครั้งก่อน ท่านปู่ก็จับตามองข้าเขม็ง คราวนี้หากไม่ใช่เพราะความฉลาดของข้า เกรงว่าคงไม่อาจหนีท่านปู่ออกมาได้…ทีนี้พวกเจ้าก็คงอดเข้าไปในเทพซ่อนแห่งนั้นกันหมด”
ตู้เชียนจวินกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะ
ได้ยินคำอธิบายของตู้เชียนจวิน หวูเฟิงก็อดเหงื่อตกไม่ได้
ด้านต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้เช่นกัน ว่าที่แท้อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะเป็นศิษย์สายในของนิกายหมื่นปีศาจเท่านั้น แต่ยังเป็นหลานชายของอาวุโสสูงสุดแห่งนิกายหมื่นปีศาจอีกด้วย
และหลังจากได้รับทราบฐานะที่แท้จริงของตู้เชียนจวิน สายตาที่หวูเฟิงใช้มองอีกฝ่าย ก็ฉายถึงความระแวดระวังทั้งหวั่นเกรงเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“ดูเจ้าทำเข้า เป็นเจ้าอยากรู้ฐานะของข้าเองนะ…”
พอเห็นหวูเฟิงมองมาด้วยสายตากริ่งเกรง ตู้เชียนจวินก็ยักไหล่ผายมือพลางกล่าว “อันที่จริง บางครั้งคนเราไม่ต้องรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันจะดีกว่า…เหมือนกับเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเป็นหวูอี้ซานก็ดีหรือใครก็ดี สถานการณ์เช่นนี้แม้ข้าอยากจะจัดการเจ้า ข้าก็ทำได้แค่ลงมือซึ่งๆหน้าด้วยตัวเอง เพราะต่อไปคิดจะหาตัวเจ้าในนิกายหมอกเร้นลับคงยากพอดู”
“ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มีเหตุผลอันเหมาะสมแล้ว แม้ข้าจะมีฐานะพอสมควรในนิกายหมื่นปีศาจ ก็คงไม่อาจบีบให้นิกายหมอกเร้นลับส่งตัวเจ้าออกมาได้”
“สุดท้ายนิกายหมื่นปีศาจของข้ากับนิกายหมอกเร้นลับของเจ้า ก็เขม่นกันมาแต่ไหนแต่ไร เป็นศัตรูกันมาตั้งแต่ข้ายังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ตู้เชียนจวินกล่าวถึงท้ายประโยคก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง “หากตาแก่รู้ว่าข้าแอบหนีมาคบหากับศิษย์นิกายหมอกเร้นลับเช่นเจ้า ข้าคงต้องโดนตำหนิจนหูชาแน่…แต่ก็นะ ความบาดหมางระหว่างนิกายหมื่นปีศาจข้ากับนิกายหมอกเร้นลับเจ้ามันมีมาเนิ่นนานแล้ว เรื่องมันก่อนข้าเกิดด้วยซ้ำ ข้าเองก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเรื่องนี้นักหรอก”
“ในสายตาข้า เจ้าก็แค่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง”
“อีกทั้ง ตอนนี้ข้าก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน ว่าหากข้าร่วมมือกับคนที่ข้าพามาด้วย จะสามารถจัดการเจ้าแล้วแย่งชิงกุญแจในมือเจ้ามาได้หรือไม่”
ฟังจากคำพูดของตู้เชียนจวิน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวความบางหมางของสองนิกาย หาไม่แล้วคงไม่กล่าวออกมาตรงๆแลดูบริสุทธิ์ใจเช่นนี้
เป็นธรรมดาว่า มันเป็นคนเปิดเผยและบริสุทธิ์ใจตามสถานการณ์เท่านั้น
เพราะมันก็ได้ยินมาว่า การเป็นคนเปิดเผยและทำอะไรบริสุทธิ์ใจ จะทำให้ผู้อื่นรู้สึก…น่าคบหา?
“เจ้านับว่ารู้สถานการณ์ตัวเองดีจริงๆ”
หวูเฟิงคลี่ยิ้มบางๆ และพอเห็นตู้เชียนจวินไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก มันก็ปิดปากเงียบ
แต่เป็นธรรมดาว่าถึงมันจะปิดปากเงียบ แต่ที่จริงลอบส่งเสียงผ่านพลังหารือกับต้วนหลิงเทียน “ศิษย์น้องต้วน เดี๋ยวถ้าเกิดมันถามชื่อเจ้า ให้เจ้าบอกนามแฝงออกไปดีกว่า”
“สุดท้ายแล้วตู้เชียนจวินคนนี้ก็มีความเป็นมาไม่ธรรมดา อย่าให้มันรู้ตัวตนของพวกเราดีกว่า และตอนอยู่ในเทพซ่อนหากเลี่ยงได้ ก็อย่าไปมีปัญหากับมันเลย”
“แน่นอนว่าถ้าหากมันเป็นฝ่ายหาเรื่องพวกเราก่อน พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องปราณีมัน…ถึงเบื้องหลังมันจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายหมื่นปีศาจ แต่นิกายหมอกเร้นลับของพวกเราก็เป็นศัตรูกับนิกายหมื่นปีศาจมานานแล้ว ต่อให้พวกเราจะเข่นฆ่าหลานชายของอาวุโสสูงสุดนิกายหมื่นปีศาจไป ทางนิกายหมอกเร้นลับก็ไม่มีทางขายพวกเราให้นิกายหมื่นปีศาจแน่ เพียงแค่ต่อไปต้องระวังไม่ให้ตกไปอยู่ในกำมือของพวกนิกายหมื่นปีศาจเป็นพอ”
หวูเฟิงกล่าว
“ศิษย์พี่หวู อาวุโสสูงสุดนามตู้จ้านที่ว่า ฐานะของมันในนิกายหมื่นปีศาจสูงส่งมากหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เหอะๆ ฐานะของตู้จ้านในนิกายหมื่นปีศาจ ก็ไม่แตกต่างจาก 1 ใน 4 อาวุโสสูงสุดที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหมอกเร้นลับเรา…แล้วเจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
หวูเฟิงย้อนถาม
พอต้วนหลิงเทียนได้ยิน สองตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที สายตาที่ใช้มองตู้เชียนจวินยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็รู้เสียทีว่าไฉนหลังรู้ตัวตนที่แท้จริงของ ตู้เชียนจวิน หวูเฟิงถึงได้แลดูกริ่งเกรงมันนัก…ที่แท้อีกฝ่ายเป็นหลานของตัวตนที่เทียบได้กับอาวุโสสูงสุด 4 คนนั่นของนิกายหมอกเร้นลับ หนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหมื่นปีศาจ!
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงก็ผลัดกันเฝ้าระวัง หากต้วนหลิงเทียนบ่มเพาะหวูเฟิงจะเฝ้าระวัง หากหวูเฟิงบ่มเพาะต้วนหลิงเทียนก็จะเฝ้าระวัง
และบ่อยครั้งที่ถึงคราวต้วนหลิงเทียนเป็นผู้เฝ้าระวังให้หวูเฟิงบ่มเพาะ ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาแหลมคมของตู้เชียนจวินที่มองจ้องไปยังหวูเฟิง ราวกับมันกำลังคิดจะเล่นงานหวูเฟิงในขณะที่บ่มเพาะพลัง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือแต่อย่างไร ต่างฝ่ายต่างอยู่กันอย่างสันติ
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวก็ล่วงเลยไปครึ่งเดือน
และภายใต้การควบคุมของตู้เชียนจวิน เรือเหาะระดับราชาเทพก็ลุถึงที่หมายในที่สุด เป็นยอดเขาสูงชันแห่งหนึ่ง
“ถึงแล้ว…”
แทบจะพร้อมๆกันกับที่ตู้เชียนจวินเอ่ยขึ้นมา ในหูต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเสียงผ่านพลังของหวูเฟิงเช่นกัน พอเขาตื่นขึ้นมาก็ระบาลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ‘อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น…’
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ต้วนหลิงเทียนจะบ่มเพาะพลังเป็นระยะๆ แต่เขาก็ไม่เคยหยุดการลองทะลวงด่านพลังเลย เขาคิดว่าหากสามารถทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำได้ก่อนจะเข้าสู่เทพซ่อน เช่นนั้นเรื่องราด้านในต้องราบรื่นแน่นอน
อนิจจาจวบจนถึงที่หมายก็แล้ว เขายังไม่อาจทะลวงด่านพลังได้
จุดรอคอยสุดท้าย เสมือนทำนบแกร่งยากทลาย…
ฟุ่บ!
หลังจากตู้เชียนจวินกล่าวทักต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิง มันก็โบกมือเก็บเรือเหาะระดับราชาเทพทันที ก่อนจะมองกล่าวกับหวูเฟิงด้วยรอยยิ้มบางๆ “เรือเหาะระดับราชาเทพลำนี้อย่าให้พวกมันเห็นประเสริฐกว่า…เพื่อที่หลังเข้าไปในเทพซ่อนแล้ว พวกมันจะได้ไม่รวมหัวกันเล่นงานข้า”
“เหอะๆ ต่อให้พวกมันจะไม่เห็นว่าเจ้ามีเรือเหาะระดับราชาเทพ…แต่ไม่แน่ว่าพวกมันก็อาจจะรวมหัวกันเล่นงานข้ากับเจ้าอยู่ดี”
หวูเฟิงกล่าว
“อย่างน้อยเจ้าก็ดึงความสนใจของพวกมันไปจากข้าบ้างไม่ใช่รึไง?”
ตู้เชียนจวินหัวเราะ
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังชายวัยกลางคนที่ติดตามตู้เชียนจวินเล็กน้อย อีกฝ่ายไม่เคยพูดออกมาสักคำ แถมยังเดินตามตู้เชียนจวินราวกับผีดิบ
หากไม่ใช่เพราะวว่าในขณะที่หวูเฟิงบ่มเพาะพลัง ไม่เพียงแต่ตู้เชียนจวินจะมองหวูเฟิงยังมีมันมองด้วอีกคนแถมหันไปสบตากับตู้เชียนจวินเป็นระยะๆ ต้วนหลิงเทียนคงคิดว่ามันเป็นหุ่นกระบอกไร้วิญญาณไปแล้ว
“ตู้เชียนจวิน ว่าแต่คนที่มากับเจ้าชื่ออะไรเล่า?”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายวัยกลางคน หวูเฟิงก็สังเกตอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน ยังกล่าวถามตู้เชียนจวินออกมาดื้อๆ
ได้ยินคำถามดังกล่าว ตู้เชียนจวินคลี่ยิ้มอ่อน กล่าวตอบออกมาทันทีว่า “อ้อ นี่เป็นศิษย์พี่ของข้าเอง ยังเป็นศิษย์ในสำนักของท่านปู่ข้า แถมยังถือเป็นลูกหลานของปู่ข้าเช่นกัน…อย่างไรก็ตามพอดีศิษย์พี่ข้ามีโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยชอบสุงสิงหรือพูดคุยกับผู้ใด เช่นนั้นข้าก็เลยไม่ได้แนะนำให้พวกเจ้ารู้จัก เพราะถึงข้าจะแนะนำไปต่อให้พวกเจ้าทักทายมาศิษย์พี่ข้าก็ไม่สนใจอยู่ดี”
หวูเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่คิดเซ้าซี้สืบต่อ “ไปกันเถอะ…ถึงแม้พวกมันจะยังมากันไม่ครบ แต่น่าจะมีมากันคนสองคนแล้ว”
หลังจากนั้นภายใต้การนำขอหวูเฟิงกับตู้เชียนจวิน ต้วนหลิงเทียนกับชายวัยกลางคนก็เหินร่างข้ามเขาสูงชัน ก่อนจะโรยตัวลงไปยังหุบเขาแห่งหนึ่ง
“อืม?”
พอเมาถึงหุบเขา ต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีร่าง 4 ร่างยืนอยู่ในหุบเขา
ร่าง 4 ร่างนั่น ยังยืนเป็นคู่ๆ เว้นระห่างระหว่างคู่พอสมควร
“ดูเหมือนจะยังมากันไม่ครบสินะ”
ในขณะที่ทั้ง 4 คนในหุบเขาสังเกตเห็นการมาของพวกต้วนหลิงเทียน ตู้เชียนจวินก็ยิ้มกล่าวออกมา
4 คนที่อยู่ในหุบเขานั้น เป็นชายวัยกลางคน 2 คน จากนั้นก็มีชายหนุ่มกับชายชราอย่างละคน
“ก็เหลือแต่พวกเจ้านั่นล่ะ”
ชายวักลางคน 1 ใน 4 ที่ยืนรอในหุบเขามองตู้เชียนจวินกับหวูเฟิงเล็กน้อย ค่อยกล่าวออกมาเสียงเรียบ “ซือหม่าหานกับคนที่มันพามา ได้ผ่านประตูมิติเข้าไปรอพวกเราด้านหน้าเทพซ่อนแล้ว…”