WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3705 เข้าประตูมิติ
“ซือหม่าหานที่ว่าก็คือคนที่ข้ากับตู้เชียนจวินเอ่ยถึงก่อนหน้า…คนที่จมูกไวปานสุนัข”
หวูเฟิงหันไปมองต้วนหลิงเทียน และส่งเสียงผ่านพลังบอกให้เข้ารู้
ต้วนหลิงเทียนชะงักไปเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ลอบจดจำชื่อซือหม่าหานเอาไว้ในใจ ถึงแม้เขาจะยังไม่เคยเจอกับอีกฝ่าย แต่จากที่หวูเฟิงกับตู้เชียนจวินกล่าวไว้ เหมือนอีกฝ่ายจะเป็นราชาเทพขั้นต่ำที่ฉลาดเฉลียวอย่างมาก
บางทีความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอาจจะสู้ตู้เชียนจวินกับหวูเฟิงไม่ได้ แต่สติปัญญาของอีกฝ่ายเป็นอะไรที่หวูเฟิงกับตู้เชียนจวินหวั่นเกรง
ถึงขั้นทำให้ทั้งคู่หวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว
“นี่คือหวูอี้ซาน ศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับ”
“นี่คือตู้เหยียน ศิษย์ของนิกายหมื่นปีศาจ”
เมื่อพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 โรยตัวลงมาจากฟ้า จนมาหยุดลงบนพื้นในหุบเขา ชายวัยกลางคนกับชายหนุ่มในบรรดา 4 คนก็เริ่มกล่าวแนะนำหวูเฟิงกับตู้เชียนจวินให้คนที่พวกมันพามารู้จัก
มีเพียงต้วนหลิงเทียนเท่านั้นที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของหวูเฟิง
สำหรับตัวตนที่แท้จริงของตู้เชียนจวิน ก็มีเพียงชายวักลางคนที่ติดตามด้านหลังเจ้าตัว กับต้วนหลิงเทียนและหวูเฟิงเท่านั้นที่รู้
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงไม่คิดทำเรื่องน่าเบื่ออย่างลอบบอกตัวตนที่แท้จริงของตู้เชียนจวินให้ใครล่วงรู้ และถึงแม้จำต้องเปิดเผยจริงๆ ก็คงเป็นหลักจากที่เข้าสู่เทพซ่อนไปแล้ว เพื่อดูวว่าตู้เชียนจวินจะดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายได้หรือไม่
“นี่คือหลิวตงหมิง”
“ส่วนนี่คือเยว่ฉี”
หวูเฟิงที่มองชายหนุ่มกับชายวัยกลางคนที่แนะนำชื่อของมันกับตู้เชียนจวินให้ผู้ช่วย ก็อดหันไปส่งเสียงผ่านพลังถึงต้วนหลิงเทียนไม่ได้ “9 ใน 10 ชื่อที่พวกมันบอกมาสมควรเป็นชื่อปลอม”
“นอกจากนั้นต่อให้พวกมันจะบอกว่าคนที่พามาเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ก็ไม่พ้นเรื่องปั้นแต่ง”
“แต่เจ้าไม่ต้องกังวลกับพวกมันมากนัก เพราะ 2 คนนั่นความแข็งแกร่งของพวกมันยังสู้ข้ากับตู้เชียนจวินไม่ได้ เช่นนั้นคนที่พวกมันพามาก็ไม่น่าจะร้ายกาจไปกว่าพวกมัน แต่นั่นก็ไม่แน่นักเพราะพวกมันอาจให้ผู้ช่วยกล่าวคำสาบานต่อเลือดมารหัวใจว่าจะไม่ทรศหักหลัง”
เสียงผ่านพลังของหวูเฟิงนั้นบ่งบอกความเห็นของมันให้ต้วนหลิงเทียนรับทราบ วัตถุประสงค์คือให้ต้วนหลิงเทียนระมัดระวังและไม่ประมาทพวกมัน เพราะสุดท้ายแล้วภายในเทพซ่อนอะไรก็เกิดขึ้นได้
หากเทพซ่อนแห่งนี้เป็นมรดกสถานที่ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพเหลือทิ้งไว้จริงๆ เมื่อเข้าไปด้านในแล้ว ไม่เพียงแต่จะต้องระมัดระวังกับบททดสอบของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเทพ แต่ยังต้องระวังคนอื่นแทงข้างหลังอีกด้วย
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องการของดี
หากได้อะไรดีๆมาแล้วรีบซุกซ่อนไว้ได้ทันก็แล้วไป หากถูกผู้อื่นล่วงรู้ ก็อาจจะต้องสู้รบเพื่อแย่งชิง
ไม่ว่าจะหวูเฟิง ตู้เชียนจวิน หรือชายวัยกลางคนนามหลิวตงหมิง กับชายหนุ่มนามเยว่ฉี ก็ไม่มีใครแนะนำผู้ช่วยที่ตัวเองพามาให้คนอื่นรู้จัก ราวกับผู้ช่วยนั่นไม่มีค่าให้กล่าวถึง
อันที่จริงทุกคนรู้ดีว่าต่อให้พูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะไม่ว่าใครก็คงแนะนำนามแฝง
คนที่อยู่ข้างกายหลิวตงหมิงนั้น เป็นชายวัยกลางคนที่แลคล้ายจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน
กลับกันข้างกายชายหนุ่มนามเยว่ฉี กับเป็นผู้ชราที่ติดตามอยู่ข้างกายด้วยท่าทีนอบน้อม ราวกับข้ารับใช้
“ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมแล้วก็เข้าไปเลยเถอะ”
ตู้เชียนจวินคลี่ยิ้มกล่าว ก่อนจะเป็นผู้นำเดินเข้าสู่ม่านหมอกในหุบเขาเข้าไปอย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าม่านหมอกดังกล่าว เป็นเพียงผลจากค่ายกลมายาอะไรสักอย่าง
เมื่อตู้เชียนจวินเดินนำออกไป ชายวัยกลางคนที่มักติดตามมันข้างกายไม่ห่าง ก็เดินตามไปเป็นธรรมดา
จากนั้นหวูเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนพาต้วนหลิงเทียนติดตามไปแต่อย่างไร เพียงหันไปมองกล่าวกับเยว่ฉีและหลิวตงหมิงพลางกล่าว “พวกเจ้าทั้ง 2 คน พาสหายที่พามาไปกันก่อนเถอะ…ข้ากับสหายจะเดินรั้งท้าย”
ทั้ง 8 เริ่มแบ่งออกเป็นคู่ๆ
สำหรับหวูเฟิงกับตู้เชียนจวินนั้น เนื่องเพราะเบื้องหลังของพวกมันคือขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ แม้จะไม่ได้ทำข้อตกลงอะไรกัน แต่ในสายตาของอีก 2 กลุ่ม พวกมันก็เหมือนเป็นพวกเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้พอได้ยินคำพูดของหวูเฟิง หลิวตงหมิงกับเยว่ฉีก็หันมามองหน้าสบตากันเล็กน้อย ค่อยเดินตามตู้เชียนจวินเข้าสู่ม่านหมอกไป
จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงก็ตามไปไม่ห่าง
หลังจากผ่านม่านหมอกไปแล้ว สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายขึ้นมา เพราะเขาเห็นว่าเบื้องหน้านั้ปรากฏโพรงถ้ำแห่งหนึ่งที่นำลึกเข้าไปในภูเขา และจากในโพรงถ้ำที่ว่าก็มีแสงสลัวส่องผ่านออกมา เห็นได้ชัดว่าด้านในสมควรมีแหล่งกำเนิดแสงบางอย่าง ถึงแม้จะไม่ได้สว่างมากนัก
ด้านตู้เชียนจวินกับชายวัยกลางคนที่ติดตามไปดั่งเงา บัดนี้ก็เดินไปถึงหน้าปากถ้ำที่ว่าแล้ว
รอบนี้ตู้เชียนจวินไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงพาผู้ติดตามเดินนำลิ่วเข้าไปด้านใน
สำหรับหลิวตงหมิงกับเยว่ฉีก็ไม่รอให้หวูเฟิงต้องกล่าวซ้ำ พวกมันพาคนของตัวติดตามตู้เชีนจวินไปทันที ส่วนผู้ช่วยของพวกมันแต่ละคนก็หันหลังกลับมาอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา และอาศัยการเดินถอยหลังเข้าไปในม่านหมอก
แผ่นหลังแต่ละคนเรียกว่าแทบจะพิงกับหลิวตงหมิงและเยว่ฉีก็ว่าได้
สายตาแต่ละคนจับจ้องมองมาที่หวูเฟิงกับต้วนหลิงเทียนอยย่างระแวง ราวกับกลัวว่าต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงจะฉวยโอกาสลอบโจมตีพวกมัน
“ระวังตัวกันดีจริงๆ”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา แต่แม้จะกล่าวออกกไปด้วยรอยยิ้ม แต่ภายในใจไม่ได้ขบขันกับการกระทำของทั้งสองคน เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นจำเป็นต้องทำแบบนี้
กุญแจ้ที่ใช้เปิดประตูเทพซ่อนแห่งนี้ หวูเฟิงบอกให้เขารู้แล้วว่าไม่อาจเก็บเข้าไปในอุปกรณ์พื้นที่ได้ จำเป็นต้องอาศัยการพกติดตัวเท่านั้น และหากผู้ถือกุญแจถูกฆ่า กุญแจก็ถูกผู้อื่นเก็บไปได้เป็นธรรมดา
จุดนี้ทำให้หากไม่ระวังตัวมากพอ ไม่เพียงแต่จะเสียกุญแจ กระทั่งชีวิตตัวเองยังไม่อาจรักษา
ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
หากหวูเฟิงกับตู้เชียนจวินสมคบคิดกัน และอยยู่ๆก็เปิดฉากลงมือกับพวกมันทั้ง 4 เมื่อได้กุญแจที่พวกมันครอบครองไปแล้ว อีกฝ่ายก็อาศัยการกลุ้มรุมเข่นฆ่าซือหม่าหานกับผู้ติดตามด้านใน และครอบครองกุญแจทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
จากนั้นพวกหวูเฟิงกับตู้เชียนจวินทั้ง 4 ก็จะครอบครองเทพซ่อนอย่างเบ็ดเสร็จ
ใจคนยากคิดหยั่งถึ บบางคราวยังร้ายกาจกว่าเดรัจฉาน พวกมันไม่อาจไม่ระวัง
“นั่นน่ะเหรอ ประตูมิติที่จะนำไปสู่เทพซ่อนที่ว่า?”
หลังจากเดินเข้ามาในถ้ำได้ไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างของโพรงถ้ำ เป็นประตูมิติสีเทาที่ปรากฏอยู่ปลายถ้ำ มันล่องลอยอยู่กลางอากาศเปล่งแสงสีเทาออกมาสลัวๆ
ประตูมิตินี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย สามารถรองรับคนทั่วไปได้ 3 คนพร้อมๆกันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มันลอยล่องอยู่กลางอากาศ แถมขอบประตูยังปรากฏลวดลายอาคมอันสลับซับซ้อน ชวนให้เสมือนมีม่านหมอกลึกลับปกคลุม ยากที่ใครจะหยั่งถึง
“หวูอี้ซานเจ้าพาสหายของเจ้ามานี่เถอะ”
ตอนนี้เองตู้เชียนจวินที่หยุดลงหน้าประตูมิติ ก็หันกลับมามองกล่าวผ่านพลังกับหวูเฟิง “ข้าไม่อยากให้เจ้ากับสหายถูกพวกมันทั้ง 4 กลุ้มรุมหลังจากที่พวกข้าเข้าไปด้านในแล้ว”
“ถึงตอนนั้น พวกข้าสองคนก็ไม่พ้นถูกทั้ง 4 ที่จัดการพวกเจ้าสมทบกับซือหม่าหานที่อยยู่ด้านในก่อนกลุ้มรุม…2 ต่อ 6 เช่นนั้น พวกข้าก็คงยากจะรับมือพวกมันได้”
ตู้เชียนจวินกล่าวพลางยกยิ้ม
“ศิษย์น้องต้วน”
จากนั้นหวูเฟิงก็หันไปส่งเสียงผ่านพลังบอกเรื่องราวต่อต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็พากันเดินแซงทั้ง 4 มาหยุดลงข้างๆตู้เชียนจวินกับชายวัยกลางคนที่ติดตามดั่งเงา หันมาเผชิญหน้ากับพวกหลิวตงหมิงและเยว่ฉี
“พวกเจ้าจะเข้าไปก่อน หรือให้พวกเราเข้าไปก่อน”
หวูเฟิงหันไปมองถามคนทั้ง 4 ตรงหน้า
“พวกเราจะเข้าไปก่อน”
หลิวตงหมิงเร่งกล่าวตอบออกมาเสียงหนัก “หากพวกเจ้าทั้ง 4 เข้าไปก่อน พวกเราก็กลัวว่าพวกเจ้าจะกลุ้มรุมจัดการซือหม่าหานกับพวกก่อนที่พวกเราจะทันได้ตามเข้าไป…หากพวกเจ้า 4 คนร่วมมือกัน ซือหม่าหานกับพวกเกรงว่าคงไม่อาจยื้อไว้ได้นานพอ”
“ใช่ พวกเราจะเข้าไปก่อน”
เยว่ฉีก็เร่งกล่าออกมาอย่างเห็นด้วย
“เช่นนั้นก็เชิญ”
หวูเฟิงยักไหล่ผายมือ ก่อนจะหันไปมองตู้เชียนจวิน ซึ่งอีกฝ่ายก็ผายมือทำนอง ‘ข้าไม่มีความเห็น’
ด้วยวิธีนี้ภายใต้สายตาของพวกต้วนหลิงเทีนยทั้ง 4 กลุ่มของหลิวตงหมิงกับเยว่ฉีกับผู้ติดตาม ก็พากันโจนร่างเข้าสู้ประตูมิติอย่างพร้อมเพรียง พริบตาร่างพวกมันก็หายไปในประตูมิติกลางอากาศ ราวคนพุ่งผ่านม่านน้ำ
“เจ้าพวกนี้ระวังตัวแจเชียว”
ตู้เชียนจวินหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองชวนหวูเฟิง “หวูอี้ซาน พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ”
“อืม”
หวูเฟิงพยักหน้า จากนั้นก็พาต้วนหลิงเทียนพุ่งผ่านประตูมิติไปพร้อมๆกับพวกตู้เชียนจวิน
ประตูมิติแห่งนี้ เสมือนตัวกั้นแบ่งระหว่างโลก 2 ใบ
เพราะหลังประตูก็คือระนาบอิสระที่ทับซ้อนกันถึง 2 ระนาบ หนึ่งก็คือศาลเจ้าที่เป็นประตูทางเข้าเทพซ่อน จากนั้นก็เป็นระนาบอิสระที่สมควรถูกเปิดขึ้นโดยตัวตนที่สร้างเทพซ่อนเพื่อไว้กักเก็บทุกสิ่งชั่วชีวิต…และหากประตูมิติบานนี้ถูกทำลาย ก็เสมือนช่องทางเชื่อมระหว่างระนาบอิสระกับดินแดนดาราพิศวงหายไป
แต่เป็นธรรมด่าวาประตูมิติไม่ใช่อะไรที่จะทำลายกันได้ง่ายๆ
เพราะหากคิดจะทำลายมัน อย่างน้อยๆท่านก็ต้องมีพลังมากกว่าหรือทัดเทียมกับผู้ที่สร้างมันขึ้นมาเสียก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงจะติดอยู่ด้านใน ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้หนทางหลบหนีโดยสิ้นเชิง
เพราะระนาบอิสระด้านใน อย่างไรก็เปิดสร้างขึ้นในระนาบเทพ
กล่าวได้ว่าระนาบอิสระด้านใน ก็อาศัยห้วงมิติของระนาบเทพในการดำรงอยู่ เมื่อประตูมิติที่เชื่อมผ่านจะถูกทำลายลง ก็จะทำให้เสถียรภาพของห้วงมิติถูกทำลาย แต่ทว่าในช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่มิติด้านในจะพังทลายนั้น ย่อมปรากฏรอยแยกมิติขึ้นมากมาย
และรอยแยกมิติดังกล่าว หากผู้ใดลอดผ่านมัน ก็จะสามารถกลับมายังดินแดนดาราพิศวงได้
เพียงแค่การปรากฏตัวอีกครั้ง จะเหมือนกับท่านใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบสุ่ม ไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าท่านจะไปโผล่ส่วนไหนของดินแดนดาราพิศวง…
‘ระนาบเทพไม่เหมือนกับระนาบเทวโลก…ในระนาบเทวโลกมีค่ายกลเคลื่อนย้ายมากมาย และไม่ว่าใครก็ตามที่เชี่ยวชาญการจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกมันก็สามารถจัดตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายไปที่ไหนในระนาบเทวโลกก็ได้ แต่ในระนาบเทพ นอกจากผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ไม่มีใครสามารถสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายแบบระบุสถานที่ได้ เพราะห้วงมิติในระนาบเทพก็เกิดขึ้นจากผู้แข็งแกร่งที่สุด’
‘เพราะระนาบเทพใดๆก็คือโลกใบเล็กของผู้แข็งแกร่งที่สุด ทำให้ห้วงมิติและพื้นที่มีความแข็งแรงมั่นคงอย่างมาก ไม่มีใครสามารถควบคุมปรับเปลี่ยนมันได้ นอกจากตัวผู้แข็งแกร่งที่สุดเอง’
‘กระทั่งหากคิดจะเดินทางไปมาระหว่างระนาบเทพกับระนาวเทวโลกก ก็ไร้ซึ่งค่ายกลเคลื่อนย้ายใดๆโดยตรง มีแต่ต้องใช้การเดินทางโดยกระสวยมิติเท่านั้น’
เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนได้ยินจากวารีเทพชำระโลกา 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุในร่างเขา ก่อนที่จะเดินทางมายังดินแดนดาราพิศวงแห่งนี้
สำหรับค่ายกลเคลื่อนย้ายในระนาบสมรภูมิ ทั้งหมดล้วนถูกจัดตั้งโดยผู้แข็งแกร่งที่สุด
อย่างเช่นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ต้วนหลิงเทียนใช้เดินทางจากระนาบสมรภูมิมายังดินแดนดาราพิศวง ก็เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จัดตั้งโดยผู้แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่เบื้องหลังดินแดนดาราพิศวงเอง ไม่มีใครสามารถปรับเปลี่ยนหรือกำหนดอะไรได้
ค่ายกลเคลื่อนย้ายใดๆที่นำไปสู่ระนาบเทพโดยตรง หรือนำไปสู่ระนาบเทพอื่นๆ ก็มีแต่ผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะจัดตั้งได้
“ประตูมิติที่พวกเราผ่านเข้ามาตอนนี้ จริงๆแล้วก็คือช่องทางมิติ…เป็นช่องทางมิติที่เชื่อมต่อระหว่างดินแดนดาราพิศวงกับพื้นที่มิติ ที่อยู่ห้วงมิติที่ดินแดนดาราพิศวงตั้งอยู่อีกที…”
“ช่องทางมิติระดับนี้ ในทางทฤษฏีแล้ว ขอแค่เป็นตัวตนที่อยู่เหนือขอบเขตจอมราชันเทพก็มีความสามารถในการเปิดขึ้น”
ทันใดนั้นเสียงผ่านพลังของหวูเฟิงก็ดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียนอย่างประจวบเหมาะ คลายความสงสัยให้ต้วนหลิงเทียน