WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3706 เปิดเทพซ่อน
เมื่อผ่านประตูมิติเข้ามา สิ่งที่ปรากฏในสายตาต้วนหลิงเทียนก็คือโลกอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่ว่าจะบนล่างซ้ายขวาล้วนแล้วแต่เป็นความว่างเปล่าอันไร้สิ้นสุด
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็หันหลังกลับมามอง ก่อนจะเห็นประตูมิติสีเทาทีลอยล่องอยู่อย่างเงียบงัน
ขณะเดียวกัน เยื้องขึ้นไปบนฟ้าด้านหน้าจากจุดที่เขาอยู่ไม่ไกล ก็แลเห็นตำหนักขนาดใหญ่ลอยล่องท่ามกลางความว่างเปล่าราวกับอสูรกายตัวเขื่องกำลังนอนหลับ
ตำหนักดังกล่าวก็หันหน้ามาทางเขา ประตูบานใหญ่ของตำหนักปิดตัวอยู่ และมันก็ครอบครองพื้นที่เกือบ 1 ใน 3 ของตำหนักดังกล่าว
ตัวตำหนักที่ว่าเป็นอาคารที่ถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรบรรจง เก็บรายละเอียดได้ดี มีลวดลายที่ถูกแกะสลักขึนมาอย่างปราณีต ไม่ว่าจะเป็นผนังอาคาร เสาคำจุ้น แม้แต่ของประดับอย่างลูกปัดขนาดเล็กรวมไปถึงตัวประตูบานเขื่อง ก็เต็มไปด้วยลวดลายอักขระแสงอันสลับซับซ้อน
ตัวตำหนักหลังนี้แผ่กลิ่นอายโบราณและความผันผวนของกาลเวลา บ่งบอบกให้รู้ว่ามันดำรงอยู่ข้ามผ่านห้วงเวลาในมิติแห่งนี้อย่างเงียบงันมาเนิ่นนานขนาดไหน
และในตอนนี้ บริเวณด้านหน้าตำหนัก ก็ปรากฏร่างคน 6 คนลอยล่องอยู่
ทั้ง 6 คนที่ว่า ยังแยกกันยืนเป็นคู่ๆ ทั้งสิ้น 3 คู่
2 คู่ในนั้นต้วนหลิงเทียนเคยเห็นมาก่อนแล้ว นั่นก็คือหลิวตงหมิงกับเยว่ฉีพร้อมคนที่พวกมันพามา นอกจาก 2 คู่นั่นก็ปรากฏ ร่างคนแปลกหน้าอีก 2 คน
เป็นชายหนุ่มในชุดขาว ร่างกายผ่ายผอมคล้ายไม่อาจต้านทานแรงลม มันลอยตัวอย่างสงบในมือปรากฏพัดหรูหรา ให้บรรยากาศคล้ายนักวิชาการมากภูมิปัญญา ท่วงท่าลักษณะแลดูสง่างาม
ข้างกายมันเป็ชายหนุ่มในชุดคลุมยาวสีแดงเพลิง ในมือถือกระบี่พร้อมฝัก ชายหนุ่มชุดแดงคนนี้หน้าตาจัดว่าหล่อเหลาเอาเรื่อง รูปร่างของมันสูงสมส่วน หว่างคิ้วแผ่พุ่งความองอาจสมชายชาตรี
เรียกว่าทั้งคู่ที่ลอยอยู่ด้วยกันให้ความรู้สึกเสมือน 2 คน 2 ขั้ว
“ชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นก็คือซือหม่าหาน”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังมองสำรวจชายหนุ่มแปลกหน้าทั้ง 2 คน ก็พอดีกับที่เสียงผ่านพลังของหวูเฟิงดังขึ้นในหู
อันที่จริงก่อนที่หวูเฟิงจะกล่าวบอก เขาก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าชายหนุ่มชุดขาวถือพัดคนนั้นก็คือ ซือหม่าหาน ที่ตู้เชียนจวินกับหวูเฟยออกว่าอีกฝ่าย ‘จมูกไวปานสุนัข’
เพราะในบรรดาชายหนุ่มทั้ง 2 เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดขาวตรงกับคำอธิบายมากกว่า
ชายหนุ่มชุดแดงแม้จะหล่อเหลาแลดูองอาจ แต่ก็กล่าวได้ว่าธรรมดา ไม่มากพอจะเข้าลักษณะ ‘จมูกไวปานสุนัข’ ที่บ่งบอกถึงสติปัญญาอันเฉียบคมได้
“นานแล้วไม่พบกัน พวกเจ้า 2 คนก็ยังแลดูเหมือนเดิม…”
ซือหม่าหาน ที่ลอยล่องกลางหาวออกตัวกล่าวขึ้น พยักหน้าส่งยิ้มให้หวูเฟิงกับตู้เชียนจวิน กระทั่งยังหันมายิ้มทักต้วนหลิงเทียนกับชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังตู้เชียนจวินอย่างอบอุ่น ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึงไออุ่นในฤดูใบไม้ผลิ
ซือหม่าหานที่ลอยร่างอยู่ตรงนั้น มันหน้าหวานราวกับผู้หญิง ให้ความรู้สึกอ่อนแออย่างไรไม่ทราบ
เพียงแค่ตอนมันออกตัวทักทาย มันกลับทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับกำลังมองต้นสนตระหง่านต้นหนึ่ง ท่าร่างแลดูสง่างามไร้ติหนิ มองแล้วไม่อาจเห็นช่องโหว่ใดให้ฉกฉวย ให้ความรู้สึกยากที่ใครจะลอบทำร้ายมันได้
แม้ความรู้สึกดังกล่าวเพียงปรากฏขึ้นชั่ววูบ แต่ก็ไม่พ้นสัมผัสของต้วนหลิงเทียน
‘ซือหม่าหานคนนี้ เกรงว่าจะไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่ศิษย์พี่หวูเฟิงกับตู้เชียนจวินบอกซะแล้ว…’
แม้ต้วนหลิงเทียนจะเคยได้ยินหวูเฟิงกับตู้เชียนจวินกล่าวถึงซือหม่าหานมาก่อน และรู้คร่าวๆว่ามันเป็นเช่นไร
อย่างไรก็ตามพอมาพบเจอซือหม่าหานตัวเป็นๆ จนสัมผัสได้ถึงท่วงท่ารวมถึงบุคลิกของอีกฝ่าย ความมั่นใจในตัวเองที่ยากจะเก็บซ่อนได้มิดนั่น…ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะระวัง
ให้หลิวตงหมิงกับเยว่ฉีมัดรวมกัน ยังไม่อาจทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกถึงอันตรายได้เท่ามัน
เรียกว่าซือหม่าหานผู้นี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนพบเจอ “พยัคฆ์หน้ายิ้ม”
นอกจากนั้นต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นรายละเอียดปลีกย่อยอีกประการ…
ในขณะที่ซือหม่าหานออกตัวทักทายเมื่อครู่ ชายหนุ่มชุดแดงที่ถือกระบี่พร้อมฝักด้านหลังผู้นั้น กลับมองแผ่นหลังของมันด้วยสายตานอบน้อมฉายแววนับถือขึ้นมาวาบหนึ่ง แม้จะปรากฏขึ้นในพริบตาเดียวดุจละอองไฟวาบดับ แต่ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็น
นั่นเป็นความเคารพนับถือจากใจ
สายตามองผู้คนเช่นนี้ ไม่คล้ายสายตาชมดูสหายที่เท่าเทียมกันเฉยๆ แต่เป็นสายตาที่ใช้มองสหายที่พลังฝีมือสูงส่งเหนือกว่าตัวเอง!
ก่อนหน้าต้วนหลิงเทียนได้ยินหวูเฟิงกับตู้เชียนจวินกล่าวว่า ซือหม่าหานผู้นี้แม้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด แต่ในแง่พลังฝีมือกลับอ่อนด้อยกว่า กระทั่งให้ร่วมมือกับหลิวตงหมิงและเยว่ฉี ก็ไม่อาจต่อกรกับทั้งคู่ได้
‘ซือหม่าหานคนนี้สมควรปกปิดพลังฝีมือเอาไว้…หรือมันแค่เฉลียวฉลาดเกินไปจนน่ากลัวอย่างเดียวกันนะ…’
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ทว่าต้วนหลิงเทียนเลือกที่จะเพ่งเล็งระวังซือหม่าหานเอาไว้แล้ว
และในปัจจุบัน ความรู้สึกของเขามันบอกชัด ว่าซือหม่าหานคนนี้อันตรายกว่าตู้เชียนจวิน หลานชายของ หนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดที่มีอำนาจมากที่สุดในนิกายหมื่นปีศาจหลายช่วงตัว!
และหลังจากใช้ชีวิตอยู่มา 2 ชาติ ต้วนหลิงเทียนก็เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเองมาก
ในอดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่ทำให้สัญชาตญาณเขาร้องเตือนถึงอันตราย ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ธรรมดา…
“ซือหม่าหาน เรื่องไร้แก่นสารไม่ต้องพูดแล้ว”
ตู้เชียนจวินเองก็รู้สึกว่าซือหม่าหานผิดแผกไปจากที่มันรู้จัก ทำให้ความสงบที่มีก่อนหน้าหายไป กระทั่งในใจยังบังเกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “ในเมื่อทุกคนก็มากันพร้อมแล้ว เช่นนั้นเปิดเทพซ่อนแล้วเข้าไปกันเถอะ”
“หลังจากเข้าไปด้านใน แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปตามโชคชะตาของตัวเอง”
พอตู้เชียนจวินเปิดปาก มันก็เข้าประเด็นทันที
อย่างไรก็ตาม แทบจะพร้อมๆกันกับที่ตู้เชียนจวินกล่าวจบคำ เสียงถอนหายใจผ่านพลังหนึ่งก็ดังขึ้นเข้าหูของมันพอดิบพอดี “เฮ่อ…ช่างใจร้อนเสียจริง อาวุโสตู้จ้านไม่เหนื่อยใจกับคนใจร้อนเช่นเจ้าบ้างหรือ? หรือทนเพราะเป็นหลานชาย?”
“ตู้เชียนจวิน หากเจ้าไม่ปรับเปลี่ยนนิสัย เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องสูญเสียครั้งใหญ่…”
เสียงผ่านพลังดังกล่าวทำให้ลูกตาตู้เชียนจวินหดเล็กลงเร็วไว สีหน้ายังเปลี่ยนไปทันที มองซือหม่าหานอีกครั้งในแววตาก็ฉายชัดถึงความเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันมันก็ส่งเสียงผ่านพลังไปถามอีกฝ่ายเสียงหนัก “เจ้ารู้จักตัวตนของข้าได้อย่างไร?”
“หวูอี้ซานเป็นคนบอกเจ้า หรือคนข้างๆมัน?”
พอกล่าวผ่านพลังไถ่ถามจบคำ ตู้เชียนจวินก็อดหันไปมองต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงไม่ได้ ในแววตามันยังฉายชัดถึงความไม่พอใจ สีหน้าเผยให้เห็นโทสะอารมณ์อยู่บ้าง
“หืม?”
อยู่ๆโดนตู้เชียนจวินมองมาด้วยสีหน้าท่าทางแบบนี้ หวูเฟิงย่อมอดไม่ได้ที่จะงุนงง ขมวดคิ้วกล่าวถามขึ้นลอยๆ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ด้านต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำถามลอยๆ ก็หยีตากล่าวว่า “เมื่อครู่ซือหม่าหานส่งเสียงผ่านพลังคุยอะไรกับตู้เชียนจวินกันแน่ ถึงทำให้มันเป็นแบบนี้?”
ในตอนที่ตู้เชียนจวินคุยกับซือหม่าหาน สายตาของต้วนหลิงเทียนไม่ได้ละออกไปจากร่างตู้เชียนจวินเลย
ด้วยเหตุนี้ สีหน้าท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของอีกฝ่าย จึงอยู่ในสายตาเขาทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนก็พบว่าโทสะบนใบหน้าตู้เชียนจวินสลายหายไป กระทั่งความไม่พอใจในแววตาก็ไม่มีเหลือ จากนั้นมันก็หันไปมองซือหม่าหาน สองตายังฉายแววแปลกใจ…
ต่อมาใบหน้ามันก็กระตุกไปเบาๆ
ไม่นานนักคนก็หวนกลับมาสงบ พอมองไปยังซือหม่าหานอีกครั้ง ก็ขมวดคิ้วกล่าว่วา “ซือหม่าหาน เจ้าไม่เข้าใจภาษาคนหรือ?”
“ข้ายังไงก็ได้ ถามคนอื่นดูก่อนเถอะ”
ซือหม่าหานคลี่ยิ้ม จากนั้นก็หันไปมองหลิวตงผิงกับเยว่ฉีที่อยู่ไม่ไกล ฝ่ายหลังก็เผยจุดยืนออกมาทันที “ซือหม่าหาน พวกเราฟังเจ้า”
“ได้”
ฟังจากคำพูดของทั้งสอง เห็นได้ชัดว่ายกหน้าที่ตัดสินใจให้ซือหม่าหาน
แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะพวกมันสนิทสนมอะไรกับซือหม่าหาน และถ้าพบเจอของดีในเทพซ่อนพร้อมซือหม่าหาน พวกมันก็พร้อมเล่นงานซือหม่าหานอย่างไร้ปราณี
เพียงแค่ตอนนี้กลับมีคนของนิกายหมื่นปีศาจและนิกายหมอกเร้นลับ พวกมันจึงรู้สึกว่าควรร่วมมือกับซือหม่าหานไปก่อน
ด้วยวิธีนี้ พวกมันถึงจะมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองได้ในระดับหนึ่ง
“แล้วพวกเจ้าเล่า?”
ตอนนี้เองตู้เชียนจวินก็หันมามองถามหวูเฟิงกับต้วนหลิงเทียน
“จักช้าอยู่ไย รีบเปิดเทพซ่อนกันเลยเถอะ!”
ที่หวูเฟิงตัดสินใจชวนต้วนหลิงเทียนมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะต้องการเข้าสู่เทพซ่อนหรอกหรือ?
ตอนนี้มันย่อมไม่คิดจะรอช้าอีกต่อไป
“เช่นนั้นพวกเรา 5 คนที่มีกุญแจในมือ ก็ออกไปเปิดประตู ส่วนอีก 5 คนที่เหลือก็เฝ้าระวังหลังของสหาย…เป็นอย่างไร? ด้วยวิธีนี้พวกเราจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องมีคนฉวยโอกาสเล่นงานลับหลัง?”
ซือหม่าหานกล่าว
สำหรับคำพูดของมัน ตู้เชียนจวินกับหวูเฟิงและคนอื่นๆก็ไม่ได้คัดค้าน
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนรวมถึงคนอื่นๆก็คอยเฝ้าระวังอยู่ด้านนอกเทพซ่อน ส่วนพวกหวูเฟิงทั้ง 5 ก็เหินร่างไปยังประตูหน้าตำหนัก ก่อนจะหยิบกุญแจขนาดใหญ่สีทองแดงออกมา
จากนั้นแต่ละคนก็นำกุญแจดังกล่าวใส่เข้าไปในรูทั้ง 5 ที่อยู่ด้านบนประตูบานใหญ่
รูกุญแจทั้ง 5 งเปล่งแสงออกมา 5 สี ได้แก่ ทอง เขียวคราม ฟ้า แดง และสีเหลืองไหม้…สอดคล้องกับสีของกฏแห่งธาตุทั้ง 5 ทอง ลม น้ำ ไฟ ดิน
ในขณะที่ทั้ง 5 ดำเนินการ สายตาต้วนหลิงเทียนก็มองจ้องไปยังร่างของตู้เชียนจวินกับซือหม่าหานไม่วางตา
ขั้นตอนทั้งหมดทำให้เขารู้สึกทะแม่งๆชอบกล
กระทั่งยังรู้สึกว่า…
ซือหม่าหานกับตู้เชียนจวินรู้จักกัน!
‘ก่อนหน้านี้อยู่ๆตู้เชียนจวินก็หันมามองข้ากับศิษย์พี่หวูเฟิงด้วยสายตาไม่พอใจทั้งระแวง…เห็นได้ชัดว่ามันต้องเข้าใจผิดอะไรบางอย่างและคิดว่าพวกเราตลบหลังมัน…แต่พวกเราไปตลบหลังมันที่ใด?’
ต้วนหลิงเทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สองตาก็ทอประกายเรืองขึ้น เร่งส่งเสียงผ่านพลังไปถามหวูเฟิงทันที “ศิษย์พี่หวู ก่อนหน้านี้ท่านได้ส่งเสียงผ่านพลังไปบอกตัวตนที่แท้จริงของตู้เชียนจวินกับซือหม่าหานรึเปล่า”
หวูเฟิงที่พึ่งจะใส่กุญแจลงบนประตูบานเขื่องทางเขาเทพซ่อนเสร็จ พอได้ยินเสียงผ่านพลังถามไถ่ดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนมันก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมามองตอบต้วนหลิงเทียนผ่านพลัง “เปล่านี่”
“ไฉนอยู่ๆเจ้าถามเช่นนี้เล่า?”
หวูเฟิงส่งเสียงถามต่อด้วยความสงสัย
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนไม่ได้ตอบคำหวูเฟิง เพียงนิ่งคิดอะไรสืบต่อ ‘ดูท่าซือหม่าหานคนนั้น จะล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตู้เชียนจวินแต่แรก และกล่าวทักออกไป…’
‘หาไม่แล้วอยู่ๆตู้เชียนจวินคงไม่ออกอาการแบบนั้น’
‘จากนั้นในขณะที่ตู้เชียนจวินหันมาสงสัยข้ากับศิษย์พี่หวูได้ไม่ทันไร ก็เปลี่ยนแปลงท่าที ไม่พ้นซือหม่าหานต้องกล่าวอะไรสืบต่อ ทำให้มันรู้ว่าไม่ใช่พวกเราที่ขายมัน…’
‘จากนั้นทั้ง 2 คนก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกันเหมือนเดิม’
พอคิดถึงจุดนี้ เขาก็นึกถึงตอนที่ตู้เชียนจวินหันไปมองซือหม่าหานอีกครั้ง มันเสียอาการอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งยังแลดูตื่นเต้นอยู่บ้าง…จากจุดนี้ทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่า ตัวตนของซือหม่าหานไม่น่าจะง่ายดาย
หาไม่แล้ว ไฉนคนอย่างตู้เชียนจวิน ที่เป็นถึงหลานชายอาวุโสสูงสุดนิกายหมื่นปีศาจจะออกอาการแบบนั้น
“ถอยก่อน!”
ซือหม่าหานกล่าวตะโกนสั่งเบาๆ และในขณะที่หวูเฟิงกับคนอื่นๆกำลังล่าถอย ประตูบานเขื่องเบื้องหน้าก็ส่งเสียงดังก้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ต้วนหลิงเทียนหลุดออกจากภวังค์คิดทันที