WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3708 ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ
“เรื่องให้สหายของพวกเรารั้งอยู่ด้านนอกนั่นเป็นไปไม่ได้!”
หลังหลิงตงเหยียนกับเยว่ฉีเหลือบมองกันปราดหนึ่ง ทั้งคู่ก็หันไปมองจ้องต้วนหลิงเทียนด้วยสายตารังเกียจหมั่นไส้ เพราะชายหนุ่มชุดม่วงคนนี้คนเดียวที่เรื่องมากจนทำให้พวกมัน 2 คนต้องเลือกว่าใครจะไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็ตกลงกันได้ในเวลาอันสั้น
“ให้สวรรค์กำหนดเถอะ”
จากนั้นต่อหน้าต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆ หลิวตงหมิงก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาหนึ่งแผ่น จากนั้นก็โยนมันไปให้ซือหม่าหาน “ซือหม่าหานเจ้าโยนแผ่นหยกๆนั้นเพื่อเสี่ยงทาย…หากออกด้านหน้าข้ากับสหายจะไปก่อน หากออกด้านหลังเยว่ฉีกับสหายจะไปก่อน”
“เยว่ฉี เรื่องนี้เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
ขณะที่รับแผ่นหยกมา ซือหม่าหานก็หันไปมองถามความเห็นเยว่ฉี ซึ่งอีกฝ่ายก็พยักหน้า “ตามนั้น”
ซือหม่าหานก็เริ่มดีดแผ่นหยกขึ้นมาอย่างไร้ลูกไม้ จากนั้นหลังแผ่นหยกที่หมุนคว้างด้วยความเร็วร่วงตกลงมา มันก็พุ่งมือขวาไปดั่งสายฟ้าฟาดคว้าแผ่นหยกดังกล่าวมาตบลงหลังมือซ้าย
ต่อมาท่ามกลางสายตาทุกคน ซือหม่าหานก็ยกมือขวาขึ้น
แผ่นหยกที่วางนิ่งบนหลังมือข้างซ้ายจึงเปิดเผยออกมา
เป็นด้านหลัง
“หลิวตงหมิง ขอโทษที แต่ข้าไปก่อนล่ะ…”
เยว่ฉีคลี่ยิ้ม
ด้านหลิวตงหมิงแม้จะไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก สุดท้ายผู้ที่เสนอความคิดนี้ก็เป็นมัน พอผลออกมามันก็ได้แต่ยอมรับเท่านั้น
หลังโยนแผ่นหกคืนให้หลิวตงหมิง ซือหม่าหานก็หันไปมองหวูเฟิงกับต้วนหลิงเทียน “หวูอี้ซานเจ้ากับสหายเจ้า และเยว่ฉีกับสหายจะเข้าไปก่อน”
“พวกเรา 6 คนค่อยตามไปทีหลัง”
ซือหม่าหานกล่าวเสียงเรียบ
คราวนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเหินร่างออกไปพร้อมๆหวูเฟิง มุ่งหน้าไปยังประตูตำหนักเบื้องหน้าทันที
ด้านเยว่ฉีกับสหายก็ตามมาติดๆ
หลังผ่านประตูตำหนัก ต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนโลกมืดดับไปทั้งหมุนคว้างชั่วพริบตาหนึ่ง…ทว่าความรู้สึกดังกล่าวก็คงอยู่ไม่นานนัก
พริบตาต่อมาต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ว่าฝ่าเท้าของเขาย่ำเหยียบวัตถุมีสภาพ ราวกับกำลังยืนอยู่บนพื้นแข็งๆอะไรสักอย่าง
พอรู้สึกตัว เขาก็หันมองไปรอบๆทันที จึงพบว่าตอนนี้เขามาปรากฏในโถงถ้ำแห่งหนึ่ง โถงถ้ำแห่งนี้กว้างใหญ่ไม่ใช่น้อย เพียงแต่ไร้ซึ่งสิ่งใดอยู่เลย มีก็แต่อุโมงค์มืดที่นำไปที่ไหนสักแห่ง 2 อุโมงค์
เรีกว่าโถงถ้ำแห่งนี้ให้บรรยากาศผิดกับตำหนักด้านนอกคนละเรื่อง ราวกับคนละยุคสมัยกันเลย
แต่ตอนนี้กลับเป็นโถงถ้ำที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ดินหิน ราวถิ่นที่อยู่ของมนุษย์ยุคหิน…
ส่วนตำหนักด้านนอกนั้นช่างวิจิตรงดงามศิวิไลซ์ราววิมานเทพ
ต่างกันคนละโลก
“ศิษย์น้องต้วน”
ทันใดนั้นเองเสียงของหวูเฟิงพลันดังขึ้นในหู ต้วนหลิงเทียนเองก็พบว่านอกจากเขาแล้วข้างกายก็มีหวูเฟิง รวมถึงเยว่ฉีกับสหายก็อยู่ไม่ไกล แถมเขายังเห็นถึงจิตสังหารที่ฉายชัดในแววตาเยว่ฉีชัดเจน
อย่างไรก็ตาม พอเยว่ฉีเหลือบไปมองหวูเฟิง จิตสังหารในแววตาของมันก็หายไป
“ดูเหมือน…หากไม่ใช่เพราะพลังฝีมือของศิษย์พี่หวู่สะกดข่มจนเยว่ฉีหวั่นเกรง ท่าทางมันกับเพื่อนคงลงมือจัดการข้าทันที…”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกล่าวผ่านพลังกับหวูเฟิงด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน หวูเฟิงก็ได้แต่คลี่ยิ้มแห้งๆออกมา “เหอะๆ ทั้งหมดเพราะพวกมันไม่รู้ว่าศิษย์น้องต้วนร้ากาจขนาดไหน หาไม่แล้วพวกมันไม่กล้าคิดอะไรพรรค์นั้นหรอก”
“ว่าแต่ศิษย์น้องต้วน ไฉนเมื่อครู่เจ้าถึงได้คิดเล็กคิดน้อยนักเล่า?”
หวูเฟิงส่งเสียงกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ไว้คุยกันระหว่างทาง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวทักหวูเฟิง จากนั้นก็เลือกอุโมงค์ที่ไม่รู้จะนำไปสู่ที่ใดทางหนึ่ง เห็นดังนั้นหวูเฟิงก็ตามไปติดๆ
“นายน้อย พวกเราจะตามพวกมันไปหรือไม่?”
ชายชราที่ติดตามเยว่ฉีมา หันไปกล่าวถามความเห็นเยว่ฉี
เยว่ฉีเพียงส่ายหัวไปมา กล่าวคำด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงแม้พวกเราทั้งคู่จะเป็นราชาเทพขั้นต่ำ ส่วนเจ้าหนูที่มากับหวูอี้ซานนั่นเป็นแค่เทพขั้นสูง…อย่างไรก็ตาม พลังฝีมือของหวูอี้ซานมันร้ายกาจมาก”
“ถึงแม้หากพวกเราร่วมมือกันจะสามารถทำร้ายให้มันเจ็บได้แน่ๆ แต่พวกเราเองก็ต้องจ่ายราคาไม่น้อย นั่นเป็นอะไรที่ไม่คุ้มกันเลย”
“ตอนนี้รอให้ซือหม่าหานกับหิวตงหมิงเข้ามาก่อน…อาศัยพวกเราแค่ 2 คน เรื่องแสวงโชคในเทพซ่อนแห่งนี้มันอันตรายเกินไป พวกเราเลือกออมแรงรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เยี่ยงเฒ่าประมงดีกว่า”
เยว่ฉีกล่าว
ได้ยินดังกล่าว ชายชราก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ “ข้าเกรงว่าคนอื่นๆก็คงไม่โง่งมเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็มาวัดกันว่าผู้ใดจะใจเย็นกว่ากัน…”
เยว่ฉีคลี่ยิ้มบางๆ ราวกับมันมั่นใจในตัวเองมาก
อย่างไรก็ตาม หลังเฝ้ารออยู่สักพัก แต่พบว่าพวกหลิวตงหมิงกับซือหม่าหานยังไม่เข้ามาเสียที เยว่ฉีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ไฉนพวกมันยังไม่เข้ามาอีก?”
“ปกติแล้ว หลังจากที่พวกเราเข้ามา พวกมันก็น่าจะรีบตามเข้ามาทันที…”
“ถึงแม้จะมีใครถูกพวกนิกายหมื่นปีศาจอย่างตู้เหยียนกับพวกเล่นงาน ใน 4 คนนั่นก็น่าจะมีคนหนีเข้ามาก่อน…”
เยว่ฉีเอ่ยขึ้นมาด้วยความสงสัย
ในเวลาเดียวกัน
ด้านต้วนหลิงเทียนที่นำหวูเฟิงเข้ามาในอุโมงค์ ขณะแผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระแวดระวัง เขาก็หันไปมองกล่าวคำกับหวูเฟิงว่า “ศิษย์พี่หวูเฟิง หากเรื่องที่ข้าเดาก่อนหน้ามันถูกต้องล่ะก็…เช่นนั้นข้าเกรงว่าพวกหลิวตงหมิงจะไม่มีโอกาสเข้ามาที่นี่แล้ว”
เรื่องนี้หวูเฟิงก็เห็นด้วย “จริงของเจ้า หากตู้เชียนจวินกับซือหม่าหานนั่นมันรู้จักกันจริงๆ เพื่อลดคู่แข่งไม่พ้นพวกมันต้องกลุ้มรุมสังหารหลิวตงหมิงกับเพื่อนแน่”
“เดิมทีที่ซือหม่าหานเสนอให้พวกเรา 3 คู่เข้ามาก่อน และมันคิดจะรั้งอยู่ด้านนอก…หากข้าเดาไม่ผิด พวกมันน่าจะตัดสินใจเข่นฆ่าคู่ที่เหลือ เพื่อลดคู่แข่ง”
หวูเฟิงกล่าว
“ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ข้าพยายามเสนอความเห็นด้านนอก…ในสายตาท่านข้าอาจคิดเล็กคิดน้อยเพื่อทำให้พวกมันรำคาญ แต่อันที่จริงแล้วข้าไม่อยากมีเรื่องกับพวกมัน”
“ข้าไม่คิดจะเผยพลังออกไปเร็วนัก”
“ด้วยวิธีนี้พวกมันก็จะเห็นว่าที่ข้าคิดเล็กคิดน้อย เพราะข้าที่เป็นเทพขั้นสูงกลัวตาย…ต่อไปหากพวกเราเจอพวกมันในเทพซ่อน และพบสิ่งดีๆอันใด พลังที่แท้จริงของข้าจะเป็นไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้พวกเราพลิกวิกฤตเป็นโอกาส!”
พอได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน สองตาหวูเฟิงก็เป็นประกายจ้าขึ้นมาทันที “ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าไฉนศิษย์น้องต้วนถึงได้ต่อรองกับพวกมัน…ที่แท้เจ้าคิดถึงเรื่องนี้แต่แรก”
“กลับเป็นข้าที่โง่งม…ไม่รู้เป้าหมายที่แท้จริง”
หวูเฟิงได้แต่คลี่ยิ้มขืนขม
เดิมทีมันคิดว่าการต่อรองเรื่องใครเข้าก่อนเข้าหลังของต้วนหลิงเทียนมันยุ่งยากวุ่นวายเกินจำเป็นอยู่บ้าง
แต่เป็นเพราะต้วนหลิงเทียนคือคนที่มันชวนมา ดังนั้นถึงในใจจะมีความคิดอะไร ก็ไม่ได้พูดแย้งออกมาแต่แรก
ทว่าพอมาตอนนี้ เมื่อได้ยินเจตนาของต้วนหลิงเทียน ว่าทำไปเพราะมีเหตุผลดังกล่าว หวูเฟิงก็พลันตระหนักได้ทันที
…
ด้านนอกตำหนักเทพซ่อน
พอเห็นว่าพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 4 หายเข้าประตูของตำหนักเทพซ่อนไปแล้ว หลิวตงหมิงที่เห็นว่าซือหม่าหานกลับไม่เคลื่อนไหว มันก็อดไม่ได้ที่จะหันไปกล่าวชวน “พวกเราก็ควรเข้าไปกันได้แล้ว”
“ไม่รีบ”
ซือหม่าหานคลี่ยิ้มบางๆ “หลิวตงหมิง เจ้าไม่คิดว่า…พวกเรา 6 คนที่นี่ หากเข้าไปกันแค่ 4 คนมันจะดีกว่าเข้าไป 6 คนหรอกหรือ?”
“หากมีแค่ 4 คนที่เข้าไป ก็หมายความว่าคู่แข่งลดน้อยลงไป 2 ไม่ใช่รึไร?”
พอซือหม่าหานเอ่ยวาจาดังกล่าวขึ้นมา ทีแรกหิวตงหมิงก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มเหลือบไปมองตู้เชียนจวินที่อยู่ไม่ไกล “เจ้าหมายความว่าอะไร…”
ทว่าหลิวตงหมิงพึ่งจะกล่าวถามออกมาไม่ทันจบคำดี ตู้เชียนจวินก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
“บัดซบ! ซือหม่าหานเจ้าคิดจะฆ่าพวกข้า เพื่อลดคู่แข่งกระมัง? เจ้าฝันไปเถอะ!!”
ตู้เชียนจวินที่อยู่ก็โพล่งออกมาเสียงดังยังระเบิดพลังลงมือเข่นฆ่าไปทางซือหม่าหานกับหลิวตงหมิงทันที คนยังพุ่งทะยานเข้ามาปานสายฟ้าฟาด!
และชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังตี้เชียนจวินก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด พลังเทพของมันลุกโชนขึ้นทั่วร่าง ปลดปล่อยพลังอำนาจของราชาเทพขั้นต่ำออกมาเต็มกำลัง
มองจากการเร่งเร้าพลังลงมือของชายวัยกลางคน รวมถึงกลิ่นอายความลึกซึ้งของกฏที่มันใช้ออก ก็บอกให้รู้ว่าที่แท้พลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยกว่าตู้เชียนจวินแม้แต่นิดเดียว
หลังจากค้นพบสิ่งนี้ หลิวตงหมิงที่ยังพูดไม่ทันจบคำดี ก็รีบระเบิดพลังชั่วชีวิตเตรียมรับมือทันที
“ตู้เหยียน เจ้าคิดว่าอาศัยพวกเจ้าแค่ 2 คนจะสู้กับพวกเรา 4 คนได้รึ? ฝันละเมอของตัวโง่งม!!”
หลิวตงหมิงโพล่งคำออกมาอย่างดุดัน จากนั้นก็เริ่มโจนร่างทะยานป้อนกระบวนท่าตอบโต้ เพราะมันรู้ด่าหากปล่อยให้อีกฝ่ายเร่งเร้าพลังสภาวะจู่โจมถึงขีดสุด มันต้องตกเป็นรองแน่แท้ จากนั้นก็คงทำได้แค่ต้านรับถ่ายเดียว
พลังฝีมือของอีกฝ่ายสูงกว่ามันเป็นทุน แม้ฝั่งมันจะมีคนมากกว่า แต่นั่นก็ไม่ได้ลดทอนความกดดันลงเท่าไหร่
เมื่อหลิวตงหมิงลงมือตอบโต้ คนที่ติดตามมันมาก็ชักอาวุธเข้าสู้ทันที
และทั้งคู่ก็เปิดเผยแผ่นหลังให้ซือหม่าหานกับชายหนุ่มชุดแดงโดยสมบูรณ์ เพราะแต่ต้นจนจบพวกมันยึดถือว่าตู้เชียนจวินกับคนข้างกาย เป็นคู่ต่อสู้ของพวกมัน 4 คน
ในสายตาของมัน
ซือหม่าหานหากให้ตัวเองมีหนทางรอด ก็มีแต่ต้องร่วมมือกับมันเพื่อจัดการตู้เชียนจวินกับสหายที่อีกฝ่ายพามาเท่านั้น
“หลิวตงหมิง พวกเราจะช่วยพวกเจ้าอีกแรง!”
และพอหลิวตงหมิงกับเพื่อนเริ่มลงมือ ซือหม่าหานก็โพล่งคำออกมาเสียงดัง จากนั้นก็โจนร่างทะยานออกไปพร้อมชายหนุ่มชุดแดง
หลิวตงหมิงกับเพื่อน พอได้ยินเสียงจากด้านหลัง พวกมันก็รู้สึกคึกคักปานฉีดเลือดไก่ พลังเทพพวยพุ่งออกมาถึงขีดสุด
ราวกับว่า 2 คนด้านหลังได้หนุนเสริมความมั่นใจให้พวกมัน
เวิงงง!!
ดาบเทพในมือหลิวตงหมิงเปล่งประกายขึ้นมาเจิดจ้า อาบไล้ไปด้วยแสงพลังสีทองปานเพลิงไฟ
สหายข้างกายของมันก็ชักอาวุธเทพออกมาเช่นกัน เป็นหอกยาว 7 ฉื่อสีดำสนิท ตัวหอกเมื่อได้รับพลังถ่ายทอดก็เปล่งพลังออกมาปานมังกรคะนองศึก พลังจากกฏแห่งน้ำเริ่มม้วนพันไปทั่วตัวหอกราวกับอสรพิษวารีดุดัน
“ตั๊กแตนคิดหยุดรถม้า!”
ตู้เชียนจวินแค่นยิ้มเย้ยหยัน จากนั้นในมือของมันก็ปรากฏกระบี่ 3 ฉื่อสีน้ำเงิน ตัวดาบเปล่งแสงสีฟ้าเข้มเรืองรองออกมา จ้วงแทงสร้างรังสีกระบี่สายหนึ่งพุ่งจ้วงออกไปปานภูตผี!
ด้านชายวัยกลางคนก็ไม่รอช้า แววตาที่ปกติไร้แยแสบัดนี้ฉายแววแหลมคมดุร้าย สองมือกางออกคว้าจับค้อนดาวตกอันเขื่องคู่หนึ่งออกมาถืออย่างดุดัน
เปรี๊ยงงงง!!
ปงงง!!!
…
พริบตาหลิวตงหมิงกับสหายที่โจนทะยานสวนมาทั้งป้อนกระบวนท่าเข้าใส่ตู้เชียนจวิน คลื่นดาบสะบั้นทั้งพลังหอกก็พวยพุ่งออกไปปะทะกับกระบวนท่าเปิดฉากของตู้เชียนจวินและสหายโดยตรง! พลังจากกฏแหล่งแสงสีสันงดงาม ระเบิดขึ้นกลางอากาศปานพลุไฟ!!
“อั๊ค—!”
“พรูด—!!”
อย่างไรก็ตาม พอพลังกระบวนท่าปะทะหักหาญกันอย่างจัง หลิวตงหมิงกับสหายก็ถึงกับกระเด็นล่าถอยกลับมา โลหิตยังพุ่งออกมาจากปากเป็นสาย เพราะพลังจากอุปกรณ์เทพระดับต่ำของมัน ไม่อาจสู้พลังจากอุปกรณ์เทพขั้นกลางอีกฝ่ายได้!
“แย่แล้ว! ซือหม่าหาน ตู้เชียนจวินกับเพื่อนมันใช้อุปกรณ์เทพขั้นกลาง! รีบหนีเร็ว!!”
หลิวตงหมิงกับสหายที่แพ้การปะทะครั้งแรกจนกระเด็นถอยมา หันมาสบตามองกันปราดหนึ่งก่อนจะรีบทุ่มพลังทั้งหมดล่าถอยทันที! เพราะมันกับสหายรู้ซึ้งถึงช่องว่างระหว่างพวกมันกับตู้เชียนจวินและสหายดี และในขณะที่ล่าถอยมันก็ไม่ลืมหันไปตะโกนบอกซือหม่าหานให้รีบหนีเข้าเทพซ่อนเช่นกัน!!
เพราะมันรู้สึกว่าต่อให้จะมีซือหม่าหานกับชายหนุ่มชุดแดงช่วยเหลือ ก็ยังไม่ใช่คู่มือของตู้เชียนจวินกับพวก!
อย่างไรก็ตาม มันที่หันกลับมาตะโกนเตือนซือหม่าหานด้วยความหวังดี มิคาดฉากที่มันเห็นกลับเป็นซือหม่าหานกับสหายของซือหม่าหาน ได้ออกกระบวนท่าจู่โจมเข้าใส่มันกับคนที่มันพามา!
ซัวว!!
ฉัวะะ!!
หนึ่งดาบหนึ่งกระบี่ เปล่งแสงพลังงดงามตระการตา เพียงแต่แสงพลังดังกล่าวนั้นได้พุ่งเข้ามาตัดหัวมันกับสหายไปพร้อมๆกัน…
และก่อนตาย ในหัวของหลิวตงหมิงก็หลงเหลือแค่ความคิดเดียวเท่านั้น…
เพราะอะไร?