WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3725 ให้ข้าลองดูไหม
ตระกูลหลิงหูเป็นตระกูลระดับจอมราชันเทพ และตั้งอยู่ในเมืองหลิงหู ซึ่งเป็นเมืองที่สร้างขึ้นมาเอง กล่าวได้ว่าเป็นรากฐานของเมืองเลยก็ว่าได้
ในพื้นที่กว้างขวางทางตะวันออกของเมืองหลิงหู ก็มีพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งที่กันไว้เป็นเขตของตระกูลหลิงหู และห้ามคนนอกเฉียดเข้าใกล้เด็ดขาด
ในพื้นที่ว่างดังกล่าว ก็มีผู้เฒ่าผู้แก่ไม่เว้นคนหนุ่มสาวทั้งวัยกลางคนลาดตระเวนเป็นพักๆ พอมีคนนอกที่เข้าใกล้ก็จะออกไปห้ามทันที
หากให้ความร่วมมือดีๆ พูดรู้เรื่องก็แล้วกันไป
แต่ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ คนของตระกูลหลิงหูที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนก็จะลงมือจู่โจมทันที อย่างดีก็สั่งสอน อย่างหนักก็ถึงขั้นเข่นฆ่า
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดเฉียดเข้าใกล้พื้นที่ส่วนตะวันออกที่เสมือนกันไว้เป็นเขตของตระกูลหลิงหูมากนัก เพราะหากเข้าไปใกล้แล้วพลั้งเผลอไม่ระวังจนล่วงล้ำเข้าไป ก็อาจกระตุ้นให้คนของตระกูลหลิงหูลงมือได้
ตระกูลหลิงหูเป็นดั่งจ้าวผู้ครองเมืองหลิงหูแห่งนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นคนของขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพมาเอง หาไม่แล้วตระกูลหลิงหูก็ไม่คิดจะไว้หน้าใครทั้งสิ้น
แม้แต่นิกายหมอกเร้นลับหรือนิกายหมื่นปีศาจ ที่เท่าเทียมกับตระกูลหลิงหูก็ตาม
‘ถึงแม้ข้าจะรู้ที่ตั้งตระกูลหลิงหู แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่สถานที่ๆข้าจะเข้าไปอย่างโจ่งแจ้งได้…ดูเหมือนต้องหาทางอื่น’
ต้วนหลิงเทียนที่มาถึงเมืองหลิงหูแล้ว ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด สุดท้ายจึงเลือกจะหาโรงเตี๊ยมที่พักก่อน จากนั้นค่อยออกไปสอบถามข้อมูล
‘เรื่องจะเข้าสู่ตระกูลหลิงหู ไม่ถือว่ายากอะไร เพราะมีคนงานทั่วไปคอยเข้าออก…จะปลอมตัวแอบแฝงเข้าไปไม่น่าจะมีปัญหา’
‘อย่างไรก็ตาม แม้จะแฝงตัวเข้าไปในตระกูลหลิงหูได้ แต่ยังยากที่ข้าจะหาตัวหลิงหูชูยินได้พบ’
‘นอกจากนี้ หากทำอะไรผิดพลาดก่อนที่จะได้พบเจอหลิงหูชูยิน ข้าไม่พ้นถูกยอดฝีมือของตระกูลหลิงหูจัดการ…ถึงข้าจะเป็นราชาเทพขั้นต่ำแล้ว แต่ในตระกูลหลิงหูก็มีคนที่ฆ่าข้าได้ในพริบตาเยอะปานเมฆบนฟ้า และไม่ว่าจอมราชันเทพคนไหน ก็ไม่ใช่อะไรที่จะรับมือได้…’
พอต้วนหลิงเทียนคิดถึงจุดนี้ เขาก็ล้มเลิกความคิดแฝงตัวเข้าไปในตระกูลหลิงหูทันที
‘ตอนนี้เหลือแค่ 2 ทางเท่านั้น…ทางแรกคือรอให้หลิงหูชินออกมา แล้วหาทางไปพบนางเพื่อจะได้ยืนยันตัวตน อย่างไรก็ตามทางนี้ค่อนข้างยาก เพราะข้างกายนางสมควรมีแม่เฒ่านางนั้นคอยติดตาม แถมนางยังเขม่นข้าแล้วด้วย’
พอนึกถึงหญิงชราที่อยู่กับหลิงหูชูยินในเมืองจวินหลิงวันนั้น ต้วนหลิงเทียนก็อดกลัวไม่ได้
เพราะนั่นคือจอมราชันเทพอันทรงพลัง ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เขาไม่อาจต่อกรกับนางได้เลย
‘ทางที่ 2 คือตีสนิทใครสักคนในตระกูลหลิงหู โดยเฉพาะทายาทสายตรงของตระกูลหลิงหูที่มีฐานะในตระกูลไม่ใช่ชั่ว…ด้วยวิธีนี้ข้าสามารถขอติดตามมันเข้าไปในตระกูลหลิงหูอย่างเปิดเผย แถมในฐานะที่เป็นทายาทสายตรง ย่อมไม่ตกเป็นเป้าของยอดฝีมือในตระกูลหลิงหู’
‘กระทั่งหากทาทสายตรงของตระกูลหลิงหูให้ความช่วยเหลือ เช่นนั้นเรื่องจะพบเจอหลิงหูชูยินก็ไม่น่ายากเย็นแล้ว’
สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะเสี่ยง เพียงเริ่มสืบข่าวและหาข้อมูลของตระกูลหลิงหูให้ได้มากที่สุด ไม่นานเขาก็ได้รู้จักรายละเอียดของทายาทสายตรงของตระกูลหลิงหูมากมาย
ครึ่งเดือนต่อมา เขาก็กำหนดเป้าหมายได้คนหนึ่ง
ลูกชายคนที่ 4 ของผู้นำตระกูลหลิงหูคนปัจจุบัน หลิงหูอวิ๋น
หลิงหูอวิ๋นนั้นเป็นเพียงจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศเท่านั้น แต่เสียงเล่าลือกันว่ามันไร้โอกาสทะลวงถึงขอบเขตเทพแล้ว เนื่องเพราะอาการบาดเจ็บภายใน ทำให้ไม่อาจบ่มเพาะพลังสืบต่อ ด่านพลังจึงหยุดอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศไปชั่วชีวิต
และอาการบาดเจ็บร้ายแรงดังกล่าว ก็เกิดขึ้นเพราะบิดามันเป็นเหตุ…มันเคยเข้ารับการโจมตีอันร้ายแรงจากศัตรูที่มุ่งเป้าไปยังบิดา ทำให้แม้จะรอดมาได้จากโอสถเทพมากมาย แต่สุดท้ายชีพจรพลังในร่างก็เสียหายจนไม่อาจบ่มเพาะพลังสืบต่อ
กล่าวได้ว่ามันช่วยชีวิตบิดา โดยแลกกับอาการบาดเจ็บสาหัสดังกล่าว
หลังจากเหตุการณ์นั้น ผู้นำตระกูลหลิงหูคนปัจจุบันก็รักและเอ็นดูมันมากที่สุด ถึงแม้ระดับพลังฝึกปรือของมันจะอ่อนด้อยก็ตามที
และทายาทสายตรงคนอื่นๆของตระกูลหลิงหู ก็คอยช่วยเหลือและดูแลหลิงหูอวิ๋นเป็นอย่างดี เพื่อทำให้ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลหลิงหูพึงพอใจ
แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องดีกับหลิงหูอวิ๋นอย่างยิ่ง และยังมีอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทุกคนทำแบบนั้น
หลิงหูอวิ๋น เนื่องจากอาการบาดเจ็บร้ายแรงในอดีตทำให้ด่านพลังไร้ความก้าวหน้า สิ่งนี้ลิขิตให้มันไม่อาจแข่งขันกับใครเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลหลิงหูรุ่นต่อไปได้
ในเมื่อไม่มีความขัดแย้งอะไร แถมยังเป็นพี่น้อง และการดีต่อหลิงหูอวิ๋นก็ทำให้ผู้นำตระกูลหลิงหูคนปัจจุบันพึงพอใจ เช่นนั้นย่อมไม่มีใครในตระกูลหลิงหูโง่งมถึงขั้นหาเรื่องหลิงหูอวิ๋น
‘หลิงหูอวิ๋น เนื่องจากอาการบาดเจ็บจึงไม่อาจก้าวหน้า เช่นนั้นมันก็ไม่ใช้เวลาไปกับการบ่มเพาะ…งานอดิเรกที่มันชอบทำที่สุด ก็คือไปโรงน้ำชาแห่งหนึ่งในเมืองหลิงหู เพื่อฟังเหล่าวณิพกพเนจรมาเล่าเรื่องราว’
ในเมืองหลิงหูมีโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง และทุกๆ 2-3 วันจะมีวณิพกพเนจรแวะเวียนมาเล่าเรื่องราวที่นั่น เรื่องราวที่เล่าก็ออกแนวนิทานในโลกเก่าของต้วนหลิงเทียน
อันที่จริงโรงน้ำชาแห่งนี้ก็เป็นกิจการของตระกูลหลิงหูเอง และสร้างขึ้นให้หลิงหูอวิ๋นโดยเฉพาะ
จุดมุ่งหมายของมันก็คือหาคนมาเล่าเรื่องราวให้หลิงหูอวิ๋นฟัง
โรงน้ำชานั้นแม้จะได้กำไรจากการขายน้ำชาอยู่บ้าง แต่มันเป็นอะไรที่น้อยมาก เอาแค่ค่าบำรุงรักษากับค่าจ้างคนงานก็แทบไม่พอด้วยซ้ำ แต่มันกลับเปิดมาได้เป็นพันปี…
…
โรงน้ำชา ท่องเมฆ โรงน้ำชาที่เป็นกิจการของตระกูลหลิงหูแห่งนี้ ตั้งอยู่ในสถานที่อโคจร ทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ ในโรงน้ำชามักมีแขกมานั่งพักผ่อนไม่กี่สิบคนเท่านั้น
ด้านหลังของโถงรวม มีห้องส่วนตัวที่อาศัยม่านกั้นไว้ห้องหนึ่ง เพียงมองลอดม่านเข้าไปก็จะเห็นโต๊ะเก้าอี้หรูหราตั้งอยู่
“พอพูดถึงยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิเทพที่ร้ายกาจในเขตตงหลินแล้ว มีอยู่คนหนึ่งที่บุกตะลุยเข่นฆ่าไปทั่วเขตคฤหาสน์ตงหลินเมื่อ 2,000 ปีก่อนแล้ว เรื่องราวนี้แม้ทำให้รู้สึกฮึกเหิมยิ่งนัก อนิจจาแม้คนจะพลังฝีมือจะร้ายกาจมากแค่ไหน แต่อาศัยตัวคนเดียวย่อมไม่อาจปิดฟ้าบังตะวัน สุดท้ายหลังท้าทายยอดฝีมือของนิกายระดับจักรพรรดิมากเข้า…ก็โดนดีเข้าให้ เป็นประมุขนิกายระดับจักรพรรดิเทพคนหนึ่งสยบมันได้ กระทั่งยังถูกสังหาร”
“สุดท้ายยอดฝีมือผู้นั้นก็ถูกบีบให้กล่าวคำสาบานต่อโลหิตมารหัวใจ ว่าจะภักดีต่อนิกายระดับจักรพรรดิเทพนั้นเป็นเวลาหมื่นปี…”
“เล่าถึงตรงนี้พี่น้องทั้งหลายคงเริ่มสงสัยกันแล้วกระมังว่ายอดฝีมือที่ข้าพูดถึงเป็นใคร…แต่ข้าเชื่อว่าไม่มีผู้ใดรู้จักแน่นอน เนื่องเพราะที่ข้าเล่ามาล้วนเป็นเรื่องที่ข้าแต่งขึ้นเอง…”
มุมหนึ่งของห้องโถง ปรากฏร่างชายวัยกลางคนนั่งอยู่ รูปร่างของมันไม่อ้วนไม่ผอมไม่สูงไม่เตี้ย นั่งไขว่ห้างถือหนังสือเล่มหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างกำลังลูบเคราะแพะที่คางเบาๆ
และแขก 3 โต๊ะที่นั่งอยู่ด้านหน้ามัน ก็อดไม่ได้ที่จะถลึงมองมันตาขวางหลังได้ยินวาจาประโยคสุดท้าย “ให้ตายเถอะ คนเล่าเรื่องที่โรงน้ำชาท่องเมฆจ้างมานับวันยิ่งเลอะเทอะสิ้นดี เรื่องไร้แก่นสารพรรค์นี้ยังเอาออกมาเล่าผู้คนได้ อีกทั้งพอมาพูดให้พวกเราอยากรู้แล้ว แต่สุดท้ายกลับมาบอกว่าเป็นเรื่องแต่งเนี่ยนะ?”
“นั่นสิ น่าเบื่อจริง”
“ข้าได้ยินมาว่าคนๆนี้เดิมทีก็คร้านจะมานั่งเล่าเรื่องราวอะไร ออกทำนองบัณฑิตที่ชอบแต่งกวีไปเรื่อยมากกว่า เพียงแต่เห็นว่าทางโรงน้ำชาท่องเมฆจ่ายหินเทพให้มันหนักมือ สุดท้ายมันก็เลยออกมาเล่าเรื่องน่าเบื่อเช่นนี้ให้พวกเราฟังอย่างไรเล่า…”
…
ในขณะที่แขกทั้ง 3 โต๊ะกำลังคุยกันอยู่ ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มนุชดสีม่วงเดินเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นก็เลือกไปนั่งโต๊ะว่างๆ เพื่อฟังแขกทั้ง 3 โต๊ะคุยกัน
และหลังจากชายวัยกลางคนเล่าเรื่องจบไปสักพัก ชายหนุ่มในชุดผ้าทอปักลายแลดูหรูหราที่นั่งในห้องส่วนตัวที่กั้นไว้ด้วยม่านผ้า ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “คนผู้นี้ ในเมื่อไม่เต็มใจ จะไปบีบมันมาเล่าทำอะไร? สุดท้ายทักษะการเล่าเรื่องของมันยังห่วยบรม”
“และในเมื่อมันไม่ไหวจะเล่าเรื่องราวดีๆ เช่นนั้นก็ให้มันออกไปเถอะ!”
ชายหนุ่มในชุดผ้าทอหรูหราสีน้ำเงินคนนี้ แม้ใบหน้าจะแลดูซีดเซียวคล้ายคนป่วยออดๆแอดๆ แต่นับว่ามันหล่อเหลาไม่น้อย เพียงแต่ตอนนี้สีหน้ามันไม่ค่อยจะดูดีสักเท่าไหร่ เพราะฟังจากเสียงก็รู้ว่ามันมีโมโหขึ้นมาแล้ว
“ขอรับ นายน้อย 4”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าฝ้ายเรียบง่าย ที่ยืนเฝ้าระวังอยู่ด้านข้าง เร่งรับคำและเลิกม่านเดินออกไปด้วยความเคารพ
บนเก้าอี้ข้างๆชายหนุ่ม มีชายชราคนหนึ่งที่คล้ายหลับตาพักผ่อนอยู่
“เจ้าหนูอวิ๋น…หากเจ้าให้มันไปวันนี้ ข้าเกรงว่าวันนี้คงไม่มีใครมาเล่าเรื่องราวให้เจ้าฟังแล้ว”
หลังชายวัยกลางคนในชุดผ้าฝ้ายเดินเลิกม่านออกไป ชายชราก็ลืมตาขึ้นมากล่าวคำกับชายหนุ่มด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เฮ่อ ไม่มีก็ไม่มีสิ อย่างดีข้าก็แค่รออีกสองสามวันเดี๋ยวก็มีคนมาเล่าเรื่องให้ฟังเอง…แม้เรื่องที่คนผู้นี้เล่าจะมีบางตอนฟังดูน่าลุ้นอยู่บ้าง แต่สุดท้ายมันกลับมาบอกว่าเป็นเรื่องปั้นแต่ง สิ่งนี้ทำให้ข้ารู้สึกปวดตับอย่างไรชอบกล…”
ชายหนุ่มกล่าวคำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ข้าฟังจบทีไร ยังอยากออกไปทุบตีมันสักครา…”
ด้านนอก
หลังจากชายวัยกลางคนในชุดผ้าฝ้ายเรียบง่ายออกจากห้องด้านในมา มันก็บึ่งตรงไปหาชายวัยกลางคนเคราแพะที่นั่งไขว่ห้างบนเวทีเล็กๆด้านหนึ่งของโถงทันที พอไปถึงก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ กล่าวคำเสียงหนักว่า “นายน้อย 4 ให้เจ้าไปได้แล้ว!”
“ส่วนนี่เป็นรางวัลสำหรับวันนี้ของเจ้า”
ชายวัยกลางคนในชุดผ้าฝ้ายแลดูธรรมดาคนนี้ ที่แท้เป็นเจ้าของโรงน้ำชาท่องเมฆ หลังโยนหินเทพให้ชายวัยกลางคนเคราแพะ 2-3 ก้อน มันก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงใกล้สิ้นความอดทน “ในเมื่อรับรางวัลแล้ว ก็รีบไสหัวไปเสีย!”
ตั้งแต่วันที่มันได้รับมอบหมายให้มาดูแลกิจการโรงน้ำชาท่องเมฆแห่งนี้ มันก็รู้ดีว่าการคงอยู่ของโรงน้ำชาท่องเมฆแห่งนี้ เพียงเพื่อสร้างความบันเทิงให้นายน้อย 4 ของตระกูลหลิงหูของพวกมันคนเดียว
หากไม่ใช่เพราะนายน้อย 4 ชมชอบฟังเรื่องราวของผู้คน ไม่ว่าจะนิทานหรือประสบการณ์ทั้งหลาย เกรงว่าโรงน้ำชาท่องเมฆแห่งนี้คงไม่มีอยู่แต่แรก
อันที่จริงแค่พาคนไปเล่าเรื่องราวให้นายน้อย 4 ฟังถึงตระกูลอวิ๋นก็ได้ โรงน้ำชาแห่งนี้ก็ไม่ได้มีความจำเป็นมากมายอะไรนัก
“เดิมทีข้าก็แต่งเรื่องอย่างขอไปทีเพื่อมาเล่าเพราะโดนบังคับอยู่แล้ว…จะเอาอะไรนักหนา?”
ชายวัยกลางคนกล่าวบ่นออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากรับหินเทพมาแล้วมันก็ลุกขึ้นและเดินออกไปทันที ไม่มีหันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว “และพอดีข้าเป็นคนมีหลักการ หากเป็นเรื่องแต่งข้าก็ไม่เคยพูดว่าเป็นเรื่องจริง”
หลังชายวัยกลางคนจากไป แขกทั้ง 3 โต๊ะก็อดไม่ได้ที่จะเบ้ปากมองบน…
ด้านชายวัยกลางคนในชุดผ้าเรียบง่ายก็หันไปกล่าวขอขมาแขกทั้ง 3 โต๊ะ “ขออภัยท่านทั้งหลายด้วย วันนี้พวกท่านคงมาโรงน้ำชาท่องเมฆเราเสียเที่ยวแล้ว แต่ขอทุกท่านมั่นใจได้เลย ว่าในอีกไม่กี่วันทางเราจะหาคนเล่าเรื่องราวเก่งๆมาเล่าให้พวกท่านฟังแน่นอน”
“เถ้าแก่ โรงน้ำชาท่องเมฆท่านสมควรไล่เจ้าบ้านั่นไปนานแล้ว…ก่อนที่เจ้านั่นจะมาเล่าเรื่องราวที่นี่ ปกติมีแขกมานั่งจิบชารอฟังเรื่องราวไม่น้อยกว่า 10 โต๊ะ…แต่พอเจ้าเคราะแพะนั่นมา นับว่ามันเล่าเรื่องไล่แขกไปหมดสิ้น”
แขกโต๊ะหนึ่งกล่าวคำออกมาพลางส่ายหน้า ยังไม่ลืมหันไปมองโต๊ะอื่นรวมถึงชายหนุ่มชุดม่วง ราวกับจะให้เถ้าแก่เห็นว่าตอนนี้ในโรงน้ำชามีคนน้อยขนาดไหน
และชายหนุ่มชุดม่วงที่ว่า ก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นต้วนหลิงเทียนนั่นเอง
ตอนที่ต้วนหลิงเทียนมาถึง เขาก็ทันได้ยินแค่ชายวัยกลางคนเคราแพะนั่นพูดว่า ‘เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าแต่งขึ้นเอง’ แต่แค่คำพูดดังกล่าว ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนแทบจะคาดเดาอารมณ์ผู้ฟังได้ทันที
ในเมื่อผู้คนมาฟังเรื่องราวจะนิทานก็ดีประสบการณ์ก็ดี ไม่ว่าผู้ใดก็จะพาตัวเข้าไปอยู่ในเรื่องราว และมักคิดไปว่าหากเป็นตัวเองจะทำอย่างไร แล้วมันจะเป็นอย่างไรต่อ กระทั่งสงสัยว่าเรื่องแบบนี้มีจริงๆหรือ
ทั้งหมดทำให้บังเกิดความคาดหวัง
แต่พอมาโพล่งบอกว่า ข้าแต่งเอง ไม่ใช่ว่าทำลายอรรถรสของผู้รับฟังสิ้นไปในคำเดียวหรือไร ความคาดหวังอันใดนับว่าจบกัน ยังจะมีใครไม่เกลียดได้บ้าง?
“ให้ข้าลองดูไหม?”
ในขณะที่ชาวัยกลางคนชุดผ้าเรียบง่ายกำลังกล่าวคำขอโทษแขกโต๊ะที่เหลือ ต้วนหลิงเทียนก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปยังเวทีเล็กๆดังกล่าว
แม้สิ่งที่เขาพูดออกมาจะเป็นคำถาม แต่การกระทำของเขาดูอย่างไรก็ไม่เหมือนอยากได้ความเห็นของผู้คน…