WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3732 2 ผู้เฒ่าเหิงฮวน
หลังผ่านไป 2 วันต้วนหลิงเทียนก็ได้ทำตามสัญญาที่เคยรับปากหลิงหูอวิ๋นไว้ ว่าจะบันทึกเรื่องราวของมหาจักรพรรดิตงหวงลงป้ายหยกเก็บความทรงจำแล้วมอบให้อีกฝ่าย
และตลอด 2 วันที่ผ่านมาเขาก็เอาแต่เฝ้ารอข่าวดีจากหลิงหูเหรินเจี๋ย
หวังว่าหลิงหูชูยินจะกลับมายังตระกูลหลิงหูอีกครั้ง
อนิจจาหลังผ่านไป 2 วัน พอมอบป้ายหยกเก็บความทรงจำให้หลิงหูอวิ๋นแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าตัวเองฝันเฟื่องเกินไป
“ต้วนหลิงเทียน เจ้าอย่าห่วงไปเลย”
หลังหลิงหูอวิ๋นรับป้ายหยกเก็บความทรงจำที่ต้วนหลิงเทียนมอบให้ มันก็เห็นชัดถึงอาการซึมเซาของต้วนหลิงเทียน จึงไม่ยากที่จะเดาได้ว่าต้วนหลิงเทียนคิดอะไรอยู่
“เจ้าลองคิดดูเถอะ…ถึงตอนนี้เจ้าจะยังไม่ได้พบเจอเปี่ยวเม่ยชูยิน แต่ให้ถอยไปหมื่นก้าว หากนางเป็นภรรยาของเจ้าจริงๆ เช่นนั้นหมายความว่าตอนนี้นางปลอดภัยแล้ว”
หลิงหูอวิ๋นกล่าวให้กำลังใจ “ลองนางติดตามอยู่ข้างกายท่านน้าข้าเช่นนี้ นางย่อมปลอดภัยหายห่วงแน่ เพราะท่านน้าข้าออกเดินทางท่องเที่ยวไปไหนมาไหนคนเดียวมานานมากแล้ว บ่งบอกให้รู้ว่าพลังฝีมือของท่านน้าร้ายกาจจนไม่พบเจออันตรายใดๆ”
กล่าวถึงจุดนี้ หลิงหูอวิ๋นก็เงียบไปครู่หนึ่ง พอพูดอีกครั้งในแววตาก็ฉายชัดถึงความเร่าร้อน “แถมข้าเองก็พึ่งจะรู้จากท่านปู่ซวนไม่นาน เห็นว่าท่านน้ากลับมารอบนี้ก็ได้ประมือกับอาวุโสสูงสุดคู่แฝดอย่างอาวุโสเหิงกับอาวุโสฮวนเรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่พ่ายแพ้ท่านน้าขาดลอย! เจ้าเองก็คงทราบแล้วว่ายามทั้งคู่ร่วมมือกัน ให้เป็นอาวุโสสูงสุดทั้ง 4 ของนิกายหมอกเร้นลับยังทำอะไรไม่ได้!!”
“ดูเหมือนว่าตลอดหลายปีที่ท่านน้าหนีออกจากตระกูลไปพเนจรด้านนอก พลังฝีมือของท่านน้าจะก้าวหน้าไปมาก…กล่าวได้ว่านางคือยอดฝีมืออันดับ 1 ของตระกูลหลิงหูเราก็ไม่เกินเลย”
หลิงหูอวิ๋นกล่าว
ต้องบอกเลยว่าคำปลอบใจของหลิงหูอวิ๋น พอต้วนหลิงเทียนได้ยิน เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา
ใช่
หากหลิงหูชูยินเป็นเค่อเอ๋อจริง หมายความว่าตอนนี้นางปลอดภัยแล้ว ทำให้เขาไม่ต้องคอยกังวลว่าเค่อเอ๋อจะอยู่ดีมีสุขในดินแดนการล่มสลายแห่งทยเทพหรือไม่
นอกจากนั้นพอหลิงหูอวิ๋นกล่าวถึงพลังฝีมือของนายหญิงรองตระกูลหลิงหู เขาก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
“ขอบคุณนายน้อย 4 ที่กล่าวปลอบใจข้า ตอนนี้ข้าไม่เป็นไรแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ต้วนหลิงเทียน ข้าจะรอเจ้ากลับมาตระกูลหลิงหูเรา…อันที่จริงข้ายังอยากฟังเรื่องราวอื่นๆนอกจากมหาจักรพรรดิตงหวงด้วย เพราะสุดท้ายไม่นานข้าก็คงอ่านเรื่องราวในป้ายหยกเก็บความทรงจำจบ”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนดึงสติกลับมาได้แล้ว หลิงหูอวิ๋นก็พอได้โล่งใจ ยังกล่าวเลียบๆเคียงๆออกมาด้วยรอยยิ้มร่า
“ไม่มีปัญหา”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็ลาหลิงหูอวิ๋นเพื่อกลับไปยังบ้านพัก
ตลอด 2 วันที่ผ่านมา เขาก็ได้พักอยู่ในบ้านของหลิงหูอวิ๋นเป็นการชั่วคราว
…
วันต่อมา
“ต้วนหลิงเทียน ท่านผู้อาวุโสสูงสุดเหิงฮวนทั้งสอง มารอเจ้าอยู่นอกบ้านข้าแล้ว”
พอเสียงหลิงหูอวิ๋นดังขึ้นจากด้านนอก ต้วนหลิงเทียนก็รู้ว่าถึงเวลาที่เขาจะเดินทางกลับไปยังนิกายหมอกเร้นลับแล้ว
หากบอกว่าก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าหลังกลับนิกายหมอกเร้นลับแล้วจะทำอย่างไร
แต่ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้ว
หากก่อนหน้าเขากลับไปนิกายหมอกเร้นลับเลย ไม่พ้นก็คงทำตามคำแนะนำของหวูเฟิง ขอเป็นศิษย์แต่ในนามของอาวุโสอวิ๋นหรืออาวุโสหวู่…
อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าถึงจะเป็นอาวุโสอวิ๋นกับอาวุโสหวู่ก็คงทำได้แค่ปกป้องเขาในที่แจ้ง ทำให้อาวุโสฟงกับอุโสเหล่ยไม่ลงมือทำอะไรเขาอย่างประเจิดประเจ้อ
แต่ในที่ลับ เกรงว่าพวกมันไม่พลาดแน่
ถึงตอนนั้นเกิดเขาตายไป แม้อาวุโสอวิ๋นกับอาวุโสหวู่จะสงสัย แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เลย กระทั่งต่อให้พบเจอหลักฐาน ก็ไม่คิดจะสู้กับอาวุโสเหล่ยและอาวุโสฟงเพื่อเขาแน่
สุดท้ายแล้วเขาก็แค่ศิษย์ของนิกายคนนึง…
เขา ต้วนหลิงเทียน ย่อมมีค่าต่อนิกายหมอกเร้นลับหากยังอยู่ แต่ถ้าตายไปแล้วก็ไม่อาจนับเป็นตัวอะไรได้
อาวุโสอวิ๋นกับอาวุโสหวู่ไม่มีวันแตกหักกับเสาหลักอีก 2 คนอย่างอาวุโสเหล่ยและหาวุโสฟงเพื่อคนตายแบบเขาแน่นอน
แม้ทั้งคู่จะออกหน้าเพื่อเขาจริง แต่ไม่พ้นคนอื่นๆต้องเข้ามาห้ามแน่นอน
สุดท้ายทุกสิ่งก็จะจบลงเพียงเท่านั้น
โลกนี้มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน
เพราะเรื่องนี้เอง ทำให้เขาไม่ได้เลือกเดินทางกลับนิกายหมอกเร้นลับทันทีหลังทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ
เพราะเขาลังเล
แต่เป็นธรรมดาว่าหากไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้ว เขาก็ยังเลือกจะกลับไปเสี่ยงที่นิกายหมอกเร้นลับอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ดูเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอะไรอีก
“เจ้าคือต้วนหลิงเทียนเช่นนั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนถูกหลิงหูเหรินเจี๋ยพามาส่งถึงด้านนอกจวนตระกูลหลิงหู และที่ไฉนหลิงหูเหรินเจี๋ยมาส่งเขาได้ เพราะตอนที่หลิงหูอวิ๋นมาเรียกหาเขา พอออกมาเขาก็เจอหลิงหูเหรินเจี๋ยยืนรออยู่
และในปัจจุบันสูงขึ้นไปบนฟ้า หน้าจวนตระกูลหลิงหูก็ปรากฏชายชรา 2 คน และคนที่กล่าวทักเขา ก็เป็นชายชราร่างอ้วนมาในชุดคลุมสีแดงเพลิง และใบหน้าของมันก็คล้าจะยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
ชายชราร่างอ้วนดังกล่าว แม้กำลังมองจ้องมาที่เขา แต่เขากลับไม่อาจแลเห็นลูกตาอีกฝ่ายได้เลย เพราะแก้มอีกฝ่ายมันอุดมไปด้วยไขมันหนั่นเนื้อราวกับจะบีบให้สองตาหยีจนแทบปิด…
“เป็นข้าเองท่านผู้อาวุโส”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบเร็วไว ขณะเดียวกันก็มองไปยังร่างชราอีกร่างข้างๆ
ชายชราคนนี้ก็สูงพอๆกับชายชราร่างอ้วน เพียงแต่ร่างกายกลับผ่ายผอมกว่ากันมาก
ทว่าถึงหุ่นจะต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่เค้าโครงใบหน้าแต่เดิมของทั้งคู่ ท่าทางจะเหมือนกันจนแยกไม่ออกจริงๆ
ถึงขั้นที่หนึ่งอ้วนกล้มปานลูกบอล ส่วนอีกคนผ่ายผอมปานลำไผ่ ก็ยังเห็นได้ชัดว่าหน้าตาละม้ายคล้ายกันมาก
เป็นธรรมดาว่าถ้าไม่สังเกตให้ดี มองแค่รูปร่างก็คงยากจะบอกได้ว่าเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน
“ต้วนหลิงเทียน”
ขณะเดียวกัน หลิงหูเหรินเจี๋ย ผู้นำตระกูลหลิงหูคนปัจจุบัน ก็เร่งกล่าวแนะนำชายชราทั้ง 2 ให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก
คนแรกที่มันผายมือไปก็คือชายชราร่างอ้วน “นี่คือผู้เฒ่าเหิง”
จากนั้นก็ผายมือไปยังชายชราร่างผอม “ส่วนนี้คือพี่น้องฝาแฝดของผู้เฒ่าเหิง ผู้เฒ่าฮวน”
พอหลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวแนะนำชายชราร่างผอมให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก อีกฝ่ายก็พยักหน้าให้ต้วนหลิงเทียนเบาๆ เทียบกับชายชราร่างอ้วนที่กล่าวทักอย่างมากอัธยาศัยแล้ว เห็นได้ชัดว่าชายชราร่างผอมแลดูเข้มงวดกว่ามาก
“ท่านผู้เฒ่าทั้ง 2 นี่คือ…”
ในขณะที่หลิงหูเหรินเจี๋ยกำลังจะแนะนำต้วนหลิงเทียนให้ 2 แฝดเฒ่ารู้จัก ผู้เฒ่าเหิงก็ได้กมืออ้วนๆขึ้นมาหยุดไว้ “เสี่ยวเจี๋ยเจี๋ย เจ้าไม่ต้องแนะนำเจ้าหนุ่มนี่ให้พวกเรารู้จักหรอก เจ้าบอกพวกเราตั้งแต่เมื่อ 3 วันก่อนแล้วไม่ใช่รึ”
“ไปๆ เจ้ากลับไปทำงานทำการของเจ้าเถอะ”
“ด้วยมีพวกเราอยู่ ไม่มีผู้ใดแตะต้องต้วนหลิงเทียนได้แม้แต่ปลายผม”
เทียบกับผู้เฒ่าฮวนที่แลดูเคร่งขรึมแล้ว ผู้เฒ่าเหิงร่างอ้วนแลดูใจดีกว่ากันมาก
“เอ่อ เช่นนั้นข้าขอฝากผู้เฒ่าทั้ง 2 ด้วย”
ในแง่ลำดับอาวุโสแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลิงหูเหิงหรือหลิงหูฮวนก็มีอายุมากกว่าหลิงหูเหรินเจี๋ยมากกระทั่งยังเป็นคนรุ่นก่อนหลิงหูเหรินเจี๋ยหลายรุ่น เช่นนั้นหลิงหูเหรินเจี๋นจึงเรียกหาทั้งคู่ง่ายๆว่าผู้เฒ่า
และทั้งคู่ก็เป็นเสาหลักของตระกูลหลิงหู สถานะในตระกูลยังสูงส่งนัก เหนือกว่าอาวุโสสูงสุดอีกคนของตระกูลหลิงหูเสียอีก
“พวกเราไปกันเถอะ”
หลังจากหลิงหูเหรินเจี๋ยกลับไปแล้ว หลิงหูเหิงก็โบกมืออ้วนๆแลดูป้อมๆของมันอีกรอบ จากนั้นเรือเหาะลำหนึ่งก็ผุดออกมาลอยล่องกลางอากาศ
และไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้ทำอะไร ร่างอ้วนของหลิงหูเหิงก็วูบมาหุดลงข้างๆต้วนหลิงเทียน มืออ้วนๆของมันยังวางไว้บนไหล่เขา จากนั้นพอต้วนหลิงเทียนรู้ตัวอีกทีก็ถูกอีกฝ่ายพาขึ้นเรือเหาะมาแล้ว “เจ้าหนุ่มยืนเหม่ออะไรอยู่เล่า? รีบไปกันเร็ว!”
ด้านหลิงหูฮวนเองก็วูบร่างผอมบางของมันขึ้นมาอยู่ในเรือเช่นกัน ต้วนหลิงเทียนเองก็มองไม่เห็นความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย รู้สึกเสมือนมีสายลมพัดผ่านเท่านั้น
ซู่มมม!!
กว่าต้วนหลิงเทียนจะรู้ตัว เรือเหาะก็พุ่งทะยานออกไปแล้ว แม้จะมีม่านพลังครอบคลุม แต่ฉากเรื่องราวโดยรอบก็กลับกลายเป็นเส้นแสงสีขาวเทา ไม่อาจแลเห็นสิ่งใดได้เลย
กล่าวได้ว่าความเร็วของเรือเหาะมันรวดเร็วจนสายตาต้วนหลิงเทียนมองตามไม่ทัน
“ผู้เฒ่าเหิง…นี่เป็นเรือเหาะระดับจอมราชันเทพหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามร่างอ้วน หรือก็คืออาวุโสสูงสุดตระกูลหลิงหู อาวุโสเหิง ที่พึ่งผละออกไปด้วยความสงสัย
“เป็นเช่นไรเล่า? มันรวดเร็วจนเจ้ามองอะไรไม่เห็นเลยล่ะสิ?!”
หลิงหูฮวนคลี่ยิ้มจนสองตาหยีแทบปิด เรียกว่ายิ้มทีไขมันบนแก้มมันก็บีบลูกตาจนหาไม่เจอ “ตอนนี้เรือเหาะกำลังบินด้วยความเร็วระดับจอมราชันเทพขั้นกลาง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็พาเจ้ากลับไปถึงนิกายหมอกเร้นลับแล้ว”
“เร็วเพียงนี้เชียว?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปอยู่บ้าง ต้องทราบด้วยว่าระยะทางระหว่างตระกูลหลิงหูไปยังนิกายหมอกเร้นลับนั้น มันไกลกว่าระยะทางจากนิกายหมอกเร้นลับไปยังเทพซ่อนของจักรพรรดิเทพฉินหวู่มาก แม้จะไม่ถึง 2 เท่าแต่ก็เกือบ!
ความเร็วของจอมราชันเทพขั้นกลางมันมากขนาดนี้เชียวหรือ?
ในขณะเดียวกันร่างต้วนหลิงเทียนก็อดสะท้านไปไม่ได้ เมื่อนึกถึงหินเทพที่ต้องจ่ายเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อน เพื่อรักษาความเร็วดังกล่าว
ในเวลาครึ่งวันนี้ น่ากลัวหินเทพที่ต้องใช้เป็นเชื้อเพลิงต้องมีต่ำๆพันตำลึง!
ครึ่งวันใช้หินเทพไปเป็นพันตำลึง?
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะมีหินเทพเป็นแสนตำลึง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวการบริโภคด้วยอัตราดังกล่าว
หินเทพทั้งหมดที่เขามีติดตัว เกรงว่าคงพอให้ใช้ขับเคลื่อนเรือเหาะด้วยความเร็วระดับนี้ได้ไม่กี่สิบวันเท่านั้น
ไม่น่าจะพอให้เรือเหาะบินถึงร้อยวันด้วยซ้ำ
นอกจากตกใจแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มมองสำรวจเรือเหาะลำนี้ทันที
ในแง่ความหรูหรามันก็ไม่ได้ดีไปกว่าเรือเหาะระดับราชาเทพที่ตู้เชียนจวินศิษย์ของนิกายหมื่นปีศาจใช้สักเท่าไหร่ แต่ต้วนหลิงเทียนก็พอจะสัมผัสได้คร่าวๆว่าวัสดุที่ใช้สร้างเรือมันดีกว่าพอสมควร แต่เรือเหาะเช่นนี้จะหรูไม่หรูก็เท่านั้น มันสำคัญที่ความเร็ว
และภายในห้องโดยสาร ก็มีแค่โต๊ะกับเก้าอี้เรียบง่าย และเว้นแต่เรือเหาะจะได้รับความเสียหายหรือโดนโจมตี หาไม่แล้วโต๊ะเก้าอี้เหล่านี้ก็จะไม่ขยับเขยื้อนเลย
ในปัจจุบันผู้เฒ่าฮวนที่ไร้รอยยิ้มก็กำลังนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นมุมหนึ่งของห้องโดยสารเรือเหาะ สองตาหลับลง ไม่ทราบบว่าแค่พักสายตาหรือกำลังบ่มเพาะพลังกันแน่
ด้านหลิวหูเหิง ก็เอาแต่กวาดตามองทิวทัศน์รอบๆด้วยความสนใจ
แน่นอนว่าทิวทัศน์ดังกล่าว ด้วยความเร็วในปัจจุบันของเรือเหาะกับสายตาของต้วนหลิงเทียนเขาก็ไม่อาจแลเห็นอะไรได้เลย จับภาพไม่ทัน เห็นแต่เส้นแสงวูบๆวาบๆ
“ผู้เฒ่าเหิง…”
ครู่ต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็นึกอะไรได้ออก จึงหันไปเอ่ยถามผู้เฒ่าเหิงร่างอ้วนว่า “ท่านคิดจะเข้าไปในนิกายหมอกเร้นลับกับข้าอย่างไรหรือ?”
พอหลิงหูเหิงได้ยินคำถามดังกล่าว มันก็เอียงคอย้อนถามกลับมาว่า “ซ่อนอยู่ในโลกใบเล็กของเจ้าไม่ได้รึ?”
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย ในใจก็ร่ำร้องผิดท่าทันที แต่ภายนอกยังแลดูปกติ กล่าวถามออกไปเสียงเรียบแฝงกังวลว่า “นั่นก็ได้อยู่หรอก…อย่างไรก็ตาม ข้าเกรงว่าข้าจะไม่ทันมีเวลาได้ปล่อยพวกท่านออกมา หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น และถ้าข้าตายขึ้นมาพวกท่านไม่เดินทางไปเสียเปล่าหรือ?”
“อะไรกันเจ้าหนุ่ม นี่เจ้าเฉื่อยชาขนาดนั้นเชียวรึ?”
หลิงหูเหิงพูดไม่ออกอยู่บ้าง “เจ้าหนุ่ม หากเจ้าไม่มั่นใจเรื่องนี้ เช่นนั้นพวกเราทั้งคู่จะตามเจ้าเข้าไปเอง”
สิ่งที่ต้วนหลิงเทียนกำลังรอ ก็คือคำพูดนี้ของหลิงหูเหิง
โลกใบเล็กภายในกายเขามีความลับมากเกินไป เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ปล่อยให้หลิงหูเหิงกับหลิงหูฮวนเข้าไป