WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3755 บีบบังคับ
“เจ้าเป็นใครกัน!?”
แทบจะพร้อมๆกันกับที่โหวชิ่งหนิงตะโกนออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี มันก็พบว่าชายในชุดคลุมลมดำที่บุกรุกเข้ามา ได้ใช้พลังไร้สภาพอันน่าสะพรึงกลัวขุมหนึ่งสะกดกักร่างมันเอาไว้
พลังเทพที่พุ่งพล่านในร่างของมัน บัดนี้ไม่อาจเร่งเร้าใช้ออก ถูกพลังไร้สภาพมหาศาลดังกล่าวชำแรกแทรกซึมเข้ามาสะกดพลังเทพในร่างมันเอาไว้อย่างชะงัด ประหนึ่งทะเลคลั่งพบเจอเสาค้ำสมุทรหยุดยั้งก็ไม่ปาน
และพลังไร้สภาพที่สะกดกักร่างมันไม่เพียงสะกดพลังทั่วร่างมันเท่านั้น ยังมากล้นไปด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงจนมันหายใจไม่ออก
มันคิดจะอ้าปากร้องขอความช่วยเหลือ แต่กลับพบว่าตัวเองไม่อาจเปล่งเสียงอะไรออกมาได้อีก
กระทั่งเปลือกตายังถูกบังคับให้ปิดลง
ฟู่วว! ฮูวว! ฮูววว!!
…
จากนั้นหูของมันก็ได้ยินเสียงลมโกรกรุนแรง ทำให้โหวชิ่งหนิงตระหนักได้ทันทีว่ามันถูกลักพาตัวออกจากหอพัก กระทั่งอาจจะถูกอีกฝ่ายหอบหิ้วออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับเสียแล้ว
จังหวะนี้มันอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความหนาวเย็นจับใจ จนร่างสะท้าน
คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?
เป็นศัตรูของนิกายหมื่นจันทราหรือไร?
อย่างไรก็ตาม นิกายหมื่นจันทราของมันไปสร้างศัตรูที่ร้ายกาจขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน?
เพราะแม้แต่ลุงของมัน ที่เป็นยอดฝีมืออันดับ 1 ของนิกายหมื่นจันทรา ยังไม่มีปัญญาลักพาตัวมันออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับได้โดยที่ไม่ทำให้อาจารย์โดยเฉพาะคณบดีสถานศึกษาหมอกเร้นลับอย่างมู่หรงสุยเฟิงรู้ตัวกระมัง?
ต้องทราบด้วยว่าหอพักสำหรับนักศึกษา 10 ดาวที่มันพักอาศัยอยู่ ก็อยู่ใกล้สถานที่พักของเหล่าอาจารย์ไม่เว้นคณบดีสถานศึกษาอย่างมู่หรงสุยเฟิงมาก…
ปกติแล้วไม่ว่าจะความเคลื่อนไหวอันใดกระทั่งใบหญ้าไหวปลิวตามแรงลม ก็ไม่อาจรอดพ้นหูตาของเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย และต่อให้อาจารย์จะไม่ทราบ แต่คณบดีของสถานศึกษาหมอกเร้นลับอย่างมู่หรงสุยเฟิงมีหรือจะไม่ทราบ!
ท้ายที่สุดแล้วคณบดีสถานศึกษาอย่างมู่หรงสุยเฟิง ก็เป็นตัวตนขอบเขตจอมราชันเทพ!
‘มันเป็นใครกันแน่?’
‘นิกายหมื่นจันทราของเรา ไม่มีวันไปล่วงเกินตัวตนที่ร้ายกาจถึงระดับนี้แน่นอน!’
‘มันเป็นราชาเทพขั้นสูง?’
‘หรือ…เป็นจอมราชันเทพกันแน่!?’
วินาทีนี้ในใจของโหวชิ่งหนิงย่อมเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นทั้งวิตกกังวล ความคิดในหัวเริ่มโลดแล่นเร็วไว ‘กับตัวตนระดับนี้ คิดฆ่าข้าคงง่ายดายไม่ต่างตัดหญ้าฆ่าไก่…’
‘แต่แทนที่มันจะฆ่าข้าทิ้ง กลับเสี่ยงลักพาตัวข้าออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับ’
‘หมายความว่า เป้าหมายของมันไม่ใช่ชีวิตของข้า’
‘หรือว่า…ในสายตาของมัน ข้าจะมีคุณค่าอะไรบางอย่าง’
ตอนนี้ใจของโหวชิ่งหนิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความสับสน และมันไม่ทราบจริงๆว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ไฉนตัวตนอันทรงพลังระดับนี้ถึงบุกมาลักพาตัวมันจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับ
มันไปล่วงเกินใครกัน?
กล่าวให้ชัดคือ นิกายหมื่นจันทราที่อยู่เบื้องหลังของมันไปล่วงเกินผู้ใดเข้า?
มันไม่อาจขบคิดได้ออก ไม่มีเบาะแสใดๆเลย
ตุบ!
ในขณะที่โหวชิ่งหนิงยังเต็มไปด้วความสับสน มันก็ได้ยินเสียงกระแทกหนึ่งดังขึ้นอย่างแรง จากนั้นความเจ็บปวดก็วิ่งพล่านจากแผ่นหลัง เห็นได้ชัดว่ามันถูกอีกฝ่ายโยนทิ้งจนตกกระแทกพื้น
และหลังจากร่างมันถูกโยนทิ้งลงบนพื้นแล้ว มันก็สัมผัสได้ว่าพลังไร้สภาพมหาศาลที่สะกดกักร่างของมันเอาไว้ได้สลาหายไป บัดนี้พลังเทพในร่างของมันไม่ได้ถูกระงับและกลับมาโคจรเร่งเร้าได้อีกครั้ง กระทั่งเปลือกตาที่กลายเป็นหนักอึ้ง ก็สามารถยกขึ้นได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แม้พลังเทพทั่วร่างจะไม่ได้ถูกพลังของอีกฝ่ายระงับสะกด แต่โหวชิ่งหนิงก็ไม่มีความกล้าแม้แต่จะเร่งเร้าพลังแข็งข้อต่อต้าน เพราะความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายมันสูงล้ำเหนือมันเกินไป
บางทีอีกฝ่ายอาจลำบากแค่ยกนิ้ว ก็บดขยี้มันให้ตายได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตามไม่กล้าลงมือก็เรื่องหนึ่ง การลืมตาขึ้นมาดูก็เป็นอีกเรื่อง โหวชิ่งหนิงรีบลืมตาขึ้นมาหมายดูว่าคนที่ลักพาตัวมันมาที่แท้เป็นใครกันแน่ ใช่คนที่มันเคยล่วงเกินไว้โดยไม่ตั้งใจหรือ เป็นศัตรูเก่าของนิกายหมื่นจันทราที่กลับมาล้างแค้น
“ผู้อาวุโส…ไม่ทราบท่านพาข้ามาที่นี่ทำไม?”
และพอลืมตาขึ้นมา โหวชิ่งหนิงก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันถูกพามาถึงสถานที่เปลี่ยวร้างกลางป่าแห่งหนึ่ง และตอนนี้มันก็นั่งพิงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอยู่
เห็นได้ชัดว่าแผ่นหลังของมันไม่ได้กระแทกพื้น แต่ที่แท้เป็นต้นไม้ต้นนี้
ขณะเดียวกัน โหวชิ่งหนิงก็มองไปยังชายในชุดคลุมลมดำที่บัดนี้ได้หันหลังให้มันพลางกล่าวถามออกไปอย่างกล้ากลัวๆ สีหน้าฉายชัดถึงความสับสนระคนสงสัย
“เจ้าเห็นเมืองที่อยู่ตรงหน้าหรือไม่”
หากทว่าชายในชุดคลุมลมดำไม่ได้ตอบคำถามของมัน แต่กลับย้อนถามออกมาแทน แถมน้ำเสียงยังแหบพร่านัก
แต่ถึงน้ำเสียงจะแหบพร่าราวกับจงใจดัด โหวชิ่งหนิงก็พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นชายชรา
อย่างไรก็ตามพอได้ยินคำย้อนถามของอีกฝ่าย โหวชิ่งหนิงก็อดไม่ได้ที่จะละสายตาออกจากแผ่นหลังอีกฝ่าย และมองไปยังเบื้องหน้าโดยไม่รู้ตัว
และมองไปปราดเดียว โหวชิ่งหนิงก็อดตะลึงไม่ได้
“นี่มัน…เมืองหมื่นจันทร์!”
เมืองหมื่นจันทร์ เป็นอะไรที่โหวชิ่งหนิงไม่อาจคุ้นเคยมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว เพราะนี่คือเมืองที่มันเติบโตขึ้นมา!
และเมืองหมื่นจันทร์แห่งนี้ ก็อยู่ภายใต้การปกครองของนิกายหมื่นจันทราที่บิดามันเป็นประมุขคนปัจจุบัน แม้จะไม่ได้ใหญ่โตเท่าเมืองวายุสวรรค์ แต่ก็มีความเจริญรุ่งเรืองพอสมควร
‘จากเมืองวายยุสวรรค์ มาถึงเมืองหมื่นจันทร์…’
ทันใดนั้นโหวชิ่งหนิงรู้สึกเสมือนหนังศีรษะกลายเป็นด้านชา เพราะมันนึกถึงระยะห่างระหว่างเมืองหมื่นจันทร์กับเมืองวายุสวรรค์ได้ออก
แต่อีกฝ่ายกลับพามันมาถึงที่นี่ได้ในเวลาอันสั้น!
เกรงว่าต่อให้เป็นสุดยอดฝีมือขอบเขตราชาเทพขั้นสูงก็ไม่มีปัญญาทำอะไรเช่นนี้ได้!
เว้นเสียแต่…
ยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพ!
‘มัน…มันเป็นจอมราชันเทพ!?’
พอโหวชิ่งหนิงมองไปยังแผ่นหลังชายชรราในชุดคลุมลมดำอีกครั้ง ในมันก็สะท้านไปทันใด ยังยากจะนึกได้ออก ว่าไฉนตัวตนอันทรงพลังขอบเขตจอมราชันเทพถึงต้องลักพาตัวมันออกมาจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังจับมันกลับมาเมืองหมื่นจันทร์อีก
มันไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใจดี อาสาพามันกลับมาเที่ยวบ้าน อีกฝ่ายต้องทำเพราะมีเจตนาบางอย่างแน่นอน!
“ท่านผู้อาวุโส…”
โหวชิ่งหนิงกล่าวถามออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆเสียงสั่น “ท่าน…พาข้ามาถึงที่นี่เช่นนี้ มิทราบต้องการอะไรกันแน่?”
“ตัวข้า หรือแม้แต่นิกายหมื่นจันทรา ไม่ควรล่วงเกินผู้อาวุโสให้ขุ่นเคืองกระมัง?”
ตอนนี้ในใจของโหวชิ่งหนิงเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
เพราะด้วยพลังอันแกร่งกล้าของยอดฝีมือเบื้องหน้า น่ากลัวว่าคิดฆ่ามันหรือทำลายล้างนิกายหมื่นจันทรา ก็คงเป็นเรื่องง่ายดายปานพลิกฝ่ามือ
“เจ้ากับนิกายหมื่นจันทราไม่เคยทำให้ข้าไม่พอใจอันใดหรอก…”
ชายชราในชุดคลุมมดำที่หันหลังให้โหวชิ่งหนิง ค่อยๆกล่าวออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“เช่นนั้นผู้อาวุโส…”
ได้ยินคำตอบของอีกฝ่ายโหวชิ่งหนิงก็พอได้วางใจไปเปราะหนึ่ง แต่ก็อดถามออกมาอีกครั้งไม่ได้
“เจ้ากับต้วนหลิงเทียนเป็นสหายกันกระมัง?”
โหวชิ่งหนิงที่พึ่งระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ทันไร พอได้ยินคำพูดประโยคต่อมาของชายชราในชุดคลุมลมดำ สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปทันที ขณะเดียวกันใจมันก็ตระหนักได้เร็วไวว่าที่แท้อีกฝ่ายมาหามันเพราะต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียน
การที่ได้รู้จักทั้งเป็นเพื่อนกับต้วนหลิงเทียน เป็นอะไรที่โหวชิ่งหนิงภาคภูมิใจมาโดยตลอด
กระทั่งหลังจากต้วนหลิงเทียนออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปยังตระกูลหลิงหู ท่ามกลางเสียงก่นด่าสาปแช่งของคนนิกายหมอกเร้นลับว่าเป็นคนทรยศเนรคุณ แต่โหวชิ่งหนิงก็ไม่เชื่อข่าวลือแต่อย่างใด มันที่ถามตัวเองดูว่าตั้งแต่รู้จักต้วนหลิงเทียนมาต้วนหลิงเทียนเป็นคนแบบไหน ในใจก็ยังเชื่อในตัวต้วนหลิงเทียนไม่สั่นคลอน
ถึงแม้มันจะรู้จักกับต้วนหลิงเทียนและเป็นเพื่อนกันได้ไม่นาน แต่มันรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่คนทรยศหรือคนเนรคุณแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นตัวมันเองก็มีความเป็นมาไม่ใช่ชั่ว จึงรู้เรื่องของนิกายหมอกเร้นลับดี
การที่ต้วนหลิงเทียนฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวทิ้งแบบนั้น เกรงว่าอาวุโสสูงสุดแซ่ฟงกับเหล่ยของนิกายหมอกเร้นลับ ไม่มีทางปล่อยต้วนหลิงเทียนไปแน่!
การที่ต้วนหลิงเทียนสามารถออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปยังตระกูลหลิงหูได้ราบรื่น ไม่ใช่เพราะอาวุโสฟงกับเหล่ยปล่อยไปด้วยตัวเองแน่นอน
แต่ไม่ว่าเรื่องราวเบื้องหลังจะเป็นอย่างไร สุดท้ายประมุขนิกายหมอกเร้นลับเฉียนหยิ่น ก็ได้ออกมาปฏิเสธข่าวลือเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นคนทรยศเนรคุณ กระทั่งนิกายหมอกเร้นลับยังอวยพรให้ต้วนหลิงเทียนประสบความสำเร็จในตระกูลหลิงหู!
ตอนนั้นมันก็ทราบได้ทันที ว่าเรื่องราวระหว่างต้วนหลิงเทียนกับนิกายหมอกเร้นลับได้ยุติแล้ว
หรืออย่างน้อยๆนิกายหมอกเร้นลับก็ไม่ได้ต่อต้านต้วนหลิงเทียนอย่างเปิดเผยอีกต่อไป
‘ต้วนหลิงเทียนช่างยอดเยี่ยมนัก!’
ในเวลานั้นใจมันก็ได้แต่ชื่นชมต้วนหลิงเทียน ขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่าไฉนอยู่ๆนิกายหมอกเร้นลับถึงเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อต้วนหลิงเทียน
และไม่กี่เดือนต่อมา ข่าวจากเมืองหลิงหูก็มาถึง ทำให้มันกระจ่างแจ้งแก่ใจทันที
ต้วนหลิงเทียนสามารถหลอมโอสถเทพขั้นสูงสุด หรือที่เรียกว่าโอสถเทพขั้นสุดยอดได้!
แม้ว่านั่นจะเป็นแค่โอสถระดับเทพ แต่การที่จะหลอมมันให้ออกมาเป็นขั้นสุดยอดได้นั้น ก็เป็นอะไรที่ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้งหลายไม่อาจเอื้อม
‘อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจอมราชันมือพระกาฬ หรือไม่ก็ต้องเป็นปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิเท่านั้น ถึงจะหลอมโอสถระดับเทพขั้นสุดยอดได้!’
โหวชิ่งหนิงที่เป็นนายน้อยนิกายระดับราชาเทพ ย่อมทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงเข้าใจ ‘การยอมลง’ ของนิกายหมอกเร้นลับ!
กล่าวกันชัดๆว่า…
นิกายหมอกเร้นลับกลัว!
พอได้ทราบเรื่องนี้ โหวชิ่งหนิงก็รู้สึกยินดีกับต้วนหลิงเทียนจากก้นบึ้งของใจ เพราะตอนต้วนหลิงเทียนออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปยังตระกูลหลิงหูมันก็กังวลไม่น้อย
เดิมทีมันก็คิดจะส่งข้อความไปถามต้วนหลิงเทียนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่พอนึกถึงความสำเร็จรวมถึงสถานะของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน และย้อนมามองดูตัวเอง สุดท้ายมันก็ตัดสินใจไม่ส่งข้อความไปถาม
ในอดีตมันยังพอพูดคุยกับต้วนหลิงเทียนได้บ้าง กระทั่งยังสามารถช่วยเหลืออะไรต้วนหลิงเทียนได้ในระดับหนึ่ง
แต่ไม่ทันที่มันจะรู้ตัว เพื่อนที่พึ่งห่างกันไปไม่นาน ก็ได้เติบโตจนทิ้งมันไว้เบื้องหลังเสียแล้ว…
“ไม่อาจเรียกว่าเพื่อนได้หรอก…”
เผชิญกับคำถามของชายชราในชุดคลุมลมดำ โหวชิ่งหนิง ที่ตื่นตัวแล้ว ก็ส่ายหัวตอบกลับไปเสียงอ่อน “ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นจะไปยังนิกายหมอกเร้นลับ อีกฝ่ายก็เป็นนักศึกษา 10 ดาวเหมือนกันกับข้าเท่านั้น ข้าเองก็แค่เคยคุยด้วยไม่กี่คำ”
“เป็นเช่นนั้น?”
น้ำเสียงของชายชราในชุดคลุมลมดำเปลี่ยนไปทันที ยังเริ่มเย็นชาไร้ปราณีมากขึ้นทุกขณะ “แล้วเจ้ามีลูกแก้ววิญญาณของมันหรือไม่?”
“ไม่มีหรอก”
โหวชิ่งหนิงส่ายหัวไปมา พอตระหนักว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งเป้าไปที่ต้วนหลิงเทียน มันก็ระวังตัวเป็นธรรมดา
และมันยังตระหนักเรื่องราวได้ทันที ว่าอีกฝ่ายไม่พ้นคิดใช้มันเพื่อเล่นงานต้วนหลิงเทียน!
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง”
ชายชราในชุดคลุมลมดำพูดขึ้นมาอีกรอบ น้ำเสียงยังฟังดูอึมครึมอยู่บ้าง “และหากคราวนี้เจ้าไม่ตอบตามความสัตย์จริง…หลังจากนี้ 2 เค่อข้าจะพาเจ้าไปพบบิดาเจ้าที่เป็นประมุขนิกายหมื่นจันทรา!”
พอชายชราในชุดคลุมลมดำกล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าของโหวชิ่งหนิงก็เปลี่ยนไปร้ายแรง มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าตัวตนระดับจอมราชันเทพอันร้ายกาจคนนี้ จะต่ำช้าถึงขั้นคิดเอาบิดาของมันมาขู่
มันย่อมไม่สงสัยในพลังฝีมือของอีกฝ่าย
อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะมีพลังสามารถจัดการบิดามันได้เท่านั้น กระทั่งจะลบนิกายหมื่นจันทราทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“พูดมา”
ชายชราในชุดคลุมลมดำเอ่ยเสียงเรียบ
“มี”
สุดท้ายแม้โหวชิ่งหนิงจะไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำได้แค่พูดความจริง
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่บัดนี้สองหมัดของมันกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อจนเลือดไหล ในใจยังรู้สึกผิดนัก
‘ต้วนหลิงเทียน ข้าขอโทษ ข้าไม่มีทางเลือก’
“ประเสริฐ!”
ชายชราในชุดคลุมลมดำพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ค่อยกล่าวสืบต่อ “หลังจากนี้ เจ้าจะไปเมืองหลิงหูกับข้า”
“ตราบใดที่เจ้าให้ความร่วมมือกับข้าเป็นอย่างดี ข้าสัญญาจะไม่แตะต้องนิกายหมื่นจันทราของเจ้าแม้แต่ปลายผม…แต่หากเจ้าไม่ให้ความร่วมมือกับข้า เช่นนั้นก็อย่าได้โทษข้าที่จะทำลายนิกายหมื่นจันทราของเจ้าจนย่อยยับ!”
ขณะกล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของชายชราในชุดคลุมลมดำก็เย็นชานัก พาลให้ผู้คนรู้สึกเสมือนร่งตกลงไปในหล่มน้ำแข็ง ร่างโหวชิ่งหนิงยังอดสะท้านไปไม่ได้ ลูกตายังหดเล็กลง บังเกิดความหวาดกลัวจับใจ
“ท่าน…ท่านเป็นใครกันแน่? และคิดจะทำอะไร?”
โหวชิ่งหนิงมองชายในชุดคลุมลมดำด้วยสีหน้ามืดมน เอ่ยถามออกมาเสียงเย็น