WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3756 ออกไปด้านนอก
เมื่อไม่นานมานี้ ต้วนหลิงเทียนรู้สึกอัดอั้นคันใจเป็นอย่างมาก
เพราะเวลามันก็ได้ล่วงเลยมา 2 ปีเต็มๆแล้ว แต่เขายังไม่ได้หลอมโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดออกมาสักเม็ดเลย เป็นธรรมดาว่าเขาอยากจะหลอมโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดมาโดยตลอด เพียงแต่เขาไม่อาจออกไปหลอมมันนอกตระกูลหลิงหูได้ และถ้าหลอมในตระกูลหลิงหูก็กลัวจะชักนำเภทภัยมาสู่ตัว
ไม่ต้องกล่าวใดให้มากความ หากเรื่องที่เขาหลอมโอสถเทะระดับราชาขั้นสุดยอดออกมาได้ และมีขุมกำลังอันธพาลระดับจักรพรรดิเทพบุกมาจับตัว เขาก็จบกัน
ยอดฝีมือบางคน แม้แต่ตระกูลหลิงหูกากต้านทาน
ตอนนี้ยังดีอยู่
เพราะขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่จริงๆยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ส่วนขุมกำลังที่ไม่แข็งแกร่งมากพอ อาศัยพลังของตระกูลหลิงหูก็ยังสะกดข่มพวกมันไว้ได้ไหว สามารถปกป้องเขาได้
‘ตามหลักแล้ว…ตอนนี้ข้าน่าจะหลอมโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดได้ง่ายๆ กระทั่งอาศัยพลังชีวิตที่สกัดจากพลังวิญญาณฟ้าดินรอบๆด้วยตัวเองก็ไม่น่าจะมีปัญหาไม่ต้องชักนำพลังชีวิตจากโลกใบเล็กด้วยซ้ำ…’
‘ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากใช้โอสถเทพระดับราชาช่วยเรื่องบ่มเพาะพลัง แต่มันก็ช่วยได้ไม่มากนัก…ยิ่งไปกว่านั้นการกินโอสถเทพระดับราชาชนิดเดียวกันซ้ำๆ ก็หลีกเลี่ยงอาการดื้อยาไม่ได้’
‘หากข้าสามารถหลอมโอสถเทพระดับราชาที่ช่วยในการบ่มเพาะหลายชนิดทั้งหมดให้กลายเป็นขั้นสุดยอด สมควรมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนเป็นอย่างมาก’
ตลอดช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา หลินย่าหลิน หัวหน้าปรมาจารย์หลอมโอสถเทพของตระกูลหลิงหู ก็ได้มาหาต้วนหลิงเทียนบ่อยครั้ง เพื่อดูว่าต้วนหลิงเทียนสามารถหลอมโอสถเทพระดับราชาขั้นยอดได้แล้วหรือยัง
อย่างไรก็ตาม เพาะต้วนหลิงเทียนได้ยั้งมือไว้ตลอด มันก็เลยผิดหวังกลับไปทุกครา
ครั้งล่าสุดก็เช่นกัน
และวันนั้นมันก็กล่าวปลอบต้วนหลิงเทียนไปว่า “อาจารย์ต้วน เป็นข้ากดดันมากเกินไป…เอาแค่โอสถระดับเทพขั้นสุดยอดก็จำต้องใช้ปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดัจอมราชันมือดีถึงจะหลอมได้ กับโอสถเทพระดับราชานั่น ลำพังปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิทั่วๆไปยังไม่อาจหลอมออกมาได้ด้วยซ้ำ”
“อย่างเช่นอดีตประมุขของนิกายมังกรสวรรค์นั่น ถึงแม้ว่าขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพอันดับต้นๆในเขตคฤหาสน์ตงหลิงจะมาชักชวนมัน แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามันสามารถหลอมโอสถเทพระดับราชาได้มาก่อน”
ทุกครั้งที่หลินย่าหลินพบว่าต้วนหลิงเทียนยังหลอมโอสถเทพระดับราชาไม่ได้ มันก็กลัวว่าต้วนหลิงเทียนจะเสียขวัญกำลังใจบังเกิดอาการท้อแท้ จึงกล่าวปลอบออกไปทุกครั้ง
มันไม่ได้รู้เลยว่าต้วนหลิงเทียนยั้งมือไว้
‘รออีกสัก 2-3 เดือนแล้วกัน…ตามปกติแล้วกวงเทียนเจิ้งอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์นั่น คงไม่อาจรั้งอยู่ในเมืองหลิงหูได้ตลอดเวลาหรอก’
‘หากข้าเป็นมัน เฝ้ารอมา 2 ปีแบบนี้ก็คงเจียนสิ้นความอดทนเต็มที’
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนต้องการโอสถเทพระดับราชาขั้นสุดยอดที่ส่งเสริมการบ่มเพาะทุกขนาน หาไม่แล้วหากเขาบ่มเพาะพลังไปตามอัตรานี้ เกรงว่าคงใช้เวลานานโขกว่าจะบรรลุถึงราชาเทพขั้นกลางก็คงอีกนาน
แต่เป็นธรรมดาว่าเวลาที่เขาคำนวณไว้ มันก็เร็วสำหรับคนอื่นๆแล้ว
แค่ในสายตาเขามันช้ามากก็เท่านั้น
เพราะตัวเขาไม่อาจใช้เส้นทางที่คนธรรมดาเดินได้ เขาต้องหาทางลัดยิ่งกว่าใคร มิเช่นนั้นก็คงากจะช่วยเค่อเอ๋อได้
ถึงแม้หลิงหูชูยินจะเป็นเค่อเอ๋อภรรยาเขา แต่เขาก็ต้องการความยอมรับจากตระกูลเซี่ยที่อยู่เบื้องหลังเค่อเอ๋อ ถึงแม้ว่าเค่อเอ๋ออาจจะไม่สนใจเรื่องนี้ก็ตาม
กล่าวได้ว่า สำหรับเขาเวลามันเหลือไม่มากแล้ว
เหลือเวลาอีกแค่ 300 กว่าปี หากเขาเลือกจะบ่มเพาะตามเส้นทางปกติ เกรงว่าคงไม่อาจทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องกล่าวถึงจักรพรรดิเทพกับอริยะเทพเลย
‘ตระกูลเซี่ยในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ…เป็นตระกูลระดับอริยะเทพ’
เดิมทีต้วนหลิงเทียนยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่หลังจากมาอยู่ในตระกูลหลิงหู และใช้เวลาในหอตำราของตระกูลหลิงหู เขาก็ได้รับทราบเรื่องดังกล่าวจากบันทึกโบราณ ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกับขุมกำลังระดับต้นๆของระนาบเทพทั้งมวล
ในบรรดาขุมกำลังที่ว่า ก็มีตระกูลเซี่ยจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพบันทึกไว้ด้วย
ในบันทึกดังกล่าว แต่ละระนาบเทพนั้น ได้มีขุมกำลังระดับแนวหน้าราวๆ 10 ขุมกำลัง และมีบบันทึกรายละเอียดของระนาบเทพไว้สิบกว่าระนาบ ทำให้เขารู้จักชื่อของขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ 100 กว่าขุมกำลัง
และขุมกำลัง 100 กว่าขุมที่ว่า ก็ล้วนแล้วแต่เป็นขุมกำลังระดับอริยะเทพอันร้ายกาจทั้งสิ้น
‘ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ นอกจากตระกูลเซี่ยแล้ว…กระทั่งตระกูลอวิ๋นเองก็เป็นขุมกำลังระดับอริยะเทพ กระทั่งในบันทึกโบราณนั่นยังหมายเหตุไว้ว่า ตระกูลอวิ๋นถือเป็น 1 ใน 8 ขุมกำลังระดับอริยะเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในระนาบเทพทั้งมวล’
หากว่าการช่วยเค่อเอ๋อ และได้รับการยอมรับจากตระกูลเซี่ยที่อยู่เบื้องหลังเค่อเอ๋อเป็นเป้าหมายหลักของต้วนหลิงเทียนล่ะก็
เช่นนั้นการฆ่าอวิ๋นชิงเหยียนก็เป็นเป้าหมายรองของต้วนหลิงเทียน
เขาไม่มีวันลืมใบหน้านั้นีท่เขาเคยเห็นในอดีตได้เด็ดขาด ใบหน้าของตัวตนที่อยยู่เหนือกว่าเขา และดูถูกหยันหยามเขา…สักวันเขาจะย่ำเหยียบใบหน้าของชายหนุ่มที่หยิ่งผยองลำพองผู้นั้นให้แบนราบไปกับพื้น! ให้มันได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกใครสักคนบดขยี้!!
ทั้งหมดเป็นแรงผลักดันที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนก้าวไปข้างหน้า
…
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ถึงก็คือ ไม่กี่วันต่อมา เขาก็ได้รับทราบข่าวของกวงเทียนเจิ้งจากหลิงหูเหรินเจี๋ย ผู้นำตระกูลหลิงหู!
ที่สำคัญน้ำเสียงของหลิงหูเหรินเจี๋ยยามเล่าเรื่องนี้ก็ฟังดูวิตกกังวลไม่น้อย “ต้วนหลิงเทียน ข้าได้รับบัตรเชิญจากกวงเทียนเจิ้ง อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ผู้นั้น”
“และในบัตรเชิญที่ว่า ก็ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าศิษย์คนรองของมัน กำลังจะแต่งงานกับลูกสาวคนเดียวของรองประมุขนิกายมังกรสวรรค์แซ่เซวีย…มันส่งบัตรเชิญให้ข้าไปร่วมงานแต่ง”
“อีกทั้งในบัตรเชิญยังระบุไว้ให้ข้าพาเจ้าไปด้วย”
ถึงท้ายประโยคน้ำเสียงในข้อความที่หลิงหูเหรินเจี๋ยส่งมาก็ตึงเครียดนัก
จากนั้นหลิงหูเหรินเจี๋ยก็ส่งข้อความมาอีกว่า “ข้าไม่มีทางพาเจ้าไปเข้าร่วมงานแต่งศิษย์มันแน่นอน…เพราะหากข้าพาเจ้าไปที่นั่น ต่อให้ระหว่างพิธีสมรสจะไร้เรื่องราว แต่ข้าเกรงว่าเจ้าคงยากจะกับมาตระกูลหลิงหูพร้อมข้าได้”
“ข้าส่งข้อความนี้มาถึงเจ้าเพียงเพราะให้เจ้าเตรียมใจ…ว่าตอนนี้กวงเทียนเจิ้งนั่นมันกำลังจะมีความสัมพันธ์กับรองประมุขเซวียของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว จุดนี้ทำให้เรื่องราวมันต่างออกไปจากก่อนหน้าใหญ่หลวง”
“เพราะวันหน้า หากมันคิดจะเล่นงานเจ้า มันก็สามารถระดมยอดฝีมือมาจัดการเจ้าได้มากขึ้น”
หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าว
“แต่เป็นธรรมดาว่าตระกูลหลิงหูเราก็หยั่งรากในนิกายมังกรสวรรค์มานานแล้ว ต่อให้กวงเทียนเจิ้งจะมีเส้นสายมากขึ้น พวกเราก็หาได้หวาดกลัวมันไม่ เพราะตระกูลหลิงหูของพวกเราก็มีคนที่ตบแต่งกับศิษย์และบุตรหลานของรองประมุขคนอื่นในนิกายมังกรสวรรค์เช่นกัน”
“ยิ่งไปกว่านั้น อาวุโสของตระกูลหลิงหูเราที่แต่งงานกับลูกชายคนหนึ่งของรองประมุขนิกายมังกรสวรรค์นั้น…ลูกชายของรองประมุขนิกายมังกรสวรรค์ที่ว่าก็เป็นถึงอาวุโสมังกรขาวแล้ว”
หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าว
อาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์นั้น ย่อมมีสถานะสูงส่งกว่าผู้อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์มาก ต้วนหลิงเทียนก็เคยได้ยินหลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้แล้ว
“ท่านผู้นำตระกูล ข้าทราบ”
ต้วนหลิงเทียนยตอบกลับข้อความเร็วไว ขณะเดียวกันก็ลอบยินดีในใจอยู่บ้าง เพราะสิ่งนี้หมายความว่ากวงเทียนเจิ้งจะไม่อยู่เฝ้าเขาที่เมืองหลิงหู ทำให้เขาสามารถปลีกตัวออกจากตระกูลหลิงหูเพื่อไปหลอมยาได้!
สำหรับเรื่องที่กวงเทียนเจิ้งจะมีสัมพันธ์กับรองประมุขเซวียของนิกายมังกรสวรรค์นั้น ตอนแรกเขาก็หวั่นเกรงอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม พอได้ยินหลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวว่าคนในตระกูลหลิงหูก็มีไปตบแต่งกับบุตรของรองประมุขนิกายมังกรสวรรค์เช่นกัน แถมคนที่แต่งด้วยยังเป็นถึงอาวุโสมังกรขาวแล้ว ไม่ใช่ศิษย์ต๊อกต๋อยของอาวุโสฝ่ายใน
กล่าวได้ว่า ถึงตอนนี้เขาจะเข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ แต่ในแง่อำนาจแล้ว ตระกูลหลิงหูก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากวงเทียนเจิ้งแม้แต่นิดเดียว เขาจะไม่ถูกครอบงำเพราะเบื้องบน
‘ช่วงนี้รีบเก็บสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถเทพระดับราชาหลายขนานตุนไว้ดีกว่า…นอกจากนั้น เตรียมวัตถุดิบสมุนไพรสำหรับหลอมโอสถเทพระดับจอมราชันด้วยเลยก็ดี’
‘หากโชคดี เผลอๆจะได้โอสถเทพระดับจอมราชันขั้นสุดยอดสักเม็ดสองเม็ด!’
ในช่วงไม่กี่วันต่อมา ต้วนหลิงเทียนก็ตั้งหน้าตั้งตารอเวลาที่จะได้ออกไปข้างนอกนัก ทั้งหมดเพื่อออกไปหลอมโอสถเทพระดับราชาและระดับจอมราชันอย่างสุดกำลัง!
3 วันต่อมา หลิงหูเหรินเจี๋ยก็กล่าวแจ้งต้วนหลิงเทียน ก่อนจะเดินทางออกจากตระกูลหลิงหู มุ่งหน้าไปยังนิกายมังกรสวรรค์เพื่อเข้าร่วมงานมงคลสมรสของศิษย์คนรองอาวุโสฝ่ายในกวงเทียนเจิ้ง
หากศิษย์คนรองของกวงเทียนเจิ้งสมรสกับสตรีทั่วไป ต่อให้ได้รับบัตรเชิญแบบนี้ หลิงหูเหรินเจี๋ยก็ไม่คิดจะไปให้เสียเวลา
หากทว่าคู่สมรสของมันกลับเป็นถึงบุตรีของรองประมุขเซวียแห่งนิกายมังกรสวรรค์ เมื่อได้รับบัตรเชิญมาแล้วไม่ไป งต่างอะไรกับไม่ไว้หน้ารองประมุขเซวีย?
กล่าวได้ว่าหากมันตั้งใจหลบเลี่ยงการไปเข้าร่วมงานแต่งครั้งนี้ รองประมุขเซวียต้องเพ่งเล็งคนตระกูลหลิงหูแน่นอน
และนี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับมันรวมถึงตระกูลหลิงหูเลย
เผลอๆเรื่องนี้อาจเป็นเหตุให้ประมุขเซวียที่แต่เดิมก็วางตัวเป็นกลาง อาจหันไปเข้าร่วมกับฝ่ายนิกายหมื่นปีศาจและต่อต้านฝ่ายตระกูลหลิงหูของมัน
หลังจากหลิงหูเหรินเจี๋ยจากไป ต้วนหลิงเทียนก็เตรียมการอีก 2-3 วัน ก่อนจะออกจากตระกูลหลิงหู
อย่างไรก็ตาม การออกจากตระกูลหลิงหูคราวนี้ เขาไม่ได้บอกใคร
กระทั่งพ่อบ้านอย่างหวางฟู่ ไม่เว้นเหล่าสาวใช้ในบ้านทั้งหลาย ก็ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาออกไปแล้ว
เพราะเขาใช้การเคลื่อนย้ายข้ามมิติในการหลบออกไป
และเนื่องจากเขามีป้ายอาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลหลิงหู ทำให้ค่ายกลที่ปกคลุมทั่วตระกูลหลิงหูจะไม่เพ่งเล็งหรือจำกัดเขา ปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนสามารถใช้ความลึกซึ้งเคลื่อนมิติผ่านเข้าออกตระกูลหลิงหูได้ทุกเมื่อ
หลังจากเคลื่อนย้ายข้ามมิติไม่กี่ครั้งต้วนหลิงเทียนก็ออกจากจวนตระกูลหิงหู และมาปรากฏตัวในตรอกร้างไกลห่างแห่งหนึ่งทางส่วนตะวันออกของเมืองหลิงหู
พอมาถึงตรอกร้างเล็กๆแห่งนี้เขาก็ไม่รีบไปไหน เพียงหยุดรอดูความเคลื่อนไหวสักพัก
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นไปไม่ได้ที่กวงเทียนเจิ้งจะรั้งอยู่ที่นี่เพื่อเล่นงานเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนของนิกายหมอกเร้นลับซุ่มรอเขาอยู่
ถึงทางด้านนิกายหมอกเร้นลับจะประกาศออกมาต่อสาธารณชนแล้วว่าจะไม่ต่อต้านเขาอีก แต่มีคำกล่าวที่ว่า ‘พึงระวังจึงแล่นเรือข้ามฟากได้หมื่นปี’ การที่เขาจะระวังตัวให้มากเข้าหน่อย ก็เป็นเรื่องดี
หลังจากหยุดรอเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวโดยรอบราวๆหนึ่งเค่อ เมื่อยืนยันได้แล้วว่าไม่มีใครเฝ้าจับตาดูเขา ต้วนหลิงเทียนก็ใช้เคลื่อนมิติอีกครั้ง และไปปรากฏตัวที่อื่นในเมืองหลิงหู
หลังจากนั้นเขาก็อาศัยการเคลื่อนมิติติดๆกัน จนออกจากเมืองหลิงหูได้ในที่สุด
หลังจากต้วนหลิงเทียนออกจากเมืองหลิงหูไปแล้ว ทางด้านตระกูลหลิงหู ผู้อาวุโสของตระกูลหลิงหูที่มีหน้าที่กำกับดูแลความเรียบร้อยของค่ายกลพิทักษ์ตระกูล ก็พบความผันผวนบางอย่างหลังจากต้วนหลิงเทียนใช้เคลื่อนมิติออกจากตระกูลหลิงหูไป
มันก็รีบปฏิบัติตามกฏและขั้นตอนการตรวจสอบของตระกูลทันที จากนั้นเมื่อมองม่านแสงสะท้อนลักษณ์เพื่อดูว่าใครเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดความผันผวนของค่ายกลพิทักษ์ตระกูล จนเห็นหน้าตาของชายหนุ่มชุดม่วงชัดถนัดตา มันก็อ้าปากค้างทันที
“นะ…นี่มิใช่อาคันตุกะต้วนหรือไร!?”
หน้าของอาวุโสตระกูลหลิงหูเปลี่ยนสีไปทันที หลังจากนั้นมันก็เร่งติดต่อไปหาผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าทันที ไม่ทันไรหนึ่งในอาวุโสสูงสุดของตระกูลหลิงหูก็ทราบเรื่อง
เพราะตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนมาอยู่ในตระกูลหลิงหู ผู้นำตระกูลหลิงหูของมันก็ได้กล่าวกำชับไว้แล้ว ว่าให้ใส่ใจกับความเคลื่อนไหวของต้วนหลิงเทียนเป็นพิเศษ และไม่อาจปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนออกนอกตระกูลหลิงหูเพียงลำพังได้โดยเด็ดขาด เพราะกริ่งเกรงจะเกิดเรื่องขึ้น
และอาวุโสสูงสุดที่ได้รับแจ้ง ก็ถึงกับลุกพรวดจากเก้าอี้ด้วยความตกใจ
สุดท้ายนี่ก็เป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว ที่อาคันตุกะต้วนทำให้มันสบายใจเพราะไม่เคยไปไหนเลย เรียกว่าอีกฝ่ายไม่แม้แต่จะก้าวออกจากส่วนในของตระกูลด้วยซ้ำ
จนกระทั่งวันนี้
“ว่าอะไร!? อาคันตุกะต้วนออกจากตระกูลหลิงหูไปแล้วเรอะ!?”
ด้านหลิงหูเหรินเจี๋ยเองที่กำลังนั่งอยู่ในเรือเหาะเพื่อมุ่งหน้าไปยังนิกายมังกรสวรรค์ และใกล้จะถึงนิกายมังกรสวรรค์เต็มที ก็หน้าเสียไปทันที