WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3776 มู่หรงอวิ๋นเยว่
ตระกูลหลิงหูในฐานะตระกูลระดับจอมราชันเทพที่สืบทอดมายาวนาน ย่อมมีกฏเกณฑ์และข้อบังคับอันเข้มงวด ต่อให้เป็นผู้นำตระกูลเองก็ยังถูกจำกัดไว้ด้วยกฏของตระกูล
เพราะถ้าผู้นำตระกูลไม่ถูกจำกัดเอาไว้ เกิดเป็นคนไร้สามารถเล่า? นั่นไม่ทำให้ตระกูลหลิงหูประสบชะตาอนาถหรือไร?
ผู้อาวุโสของตระกูลหลิงหูนั้น ประกอบไปด้วยผู้อาวุโสหลักและผู้อาวุโสสูงสุด หากเกิดเรื่องคับขันสำคัญ เหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้ก็สามารถรวมตัวกันเพื่อถอดถอนผู้นำออกจากตำแหน่งได้ กล่าวได้ว่าหากอาวุโสหลักเห็นด้วยกับเรื่องปลดผู้นำเกินครึ่ง ผู้นำก็ต้องลงจากตำแหน่งทันที
และผู้นำตระกูลคนใหม่ก็จะถูกคัดเลือกโดยการลงคะแนนเสียงของอาวุโสเหล่านั้น
“อาวุโสเจิ้งซิง…”
ภายในเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวและเงียบสงบไร้ผู้คนสัญจรผ่านไปมาหลังหนึ่งในเขตจวนตระกูลหลิงหู ปรากฏร่างชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งวาดรูปบางอย่างลงบนเสาของศาลาชมบุปผาในสวน และนอกศาลาบัดนี้ก็มีร่างชายวัยกลางคนอีกคนยืนอยู่อย่างเรียบๆร้อยๆ เอ่ยคำเสียงเบา
ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างสูงใหญ่แลดูกำยำ หว่างคิ้วมากล้นไปด้วยความน่าเกรงขาม คนแลดูเคร่งขรึมจริงจังกับทุกเรื่อง
และมันก็คือหนึ่งในอาวุโสสูงสุดที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูลหลิงหู
“คุ้มค่าหรือไม่?”
หลังผ่านไปราวๆสิบกว่าลมหายใจ ในที่สุดชายัยกลางคนคลุมน้ำเงินเข้มก็หยุดมือ ก่อนจะหันมามองถามหลิงหูเหรินเจี๋ยที่อยู่นอกศาลาชมบุปผาเสียงเรียบ
“คุ้มค่ายิ่ง”
หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อืม”
หลิงหูเจิ้งซิงพยักหน้า “ในเมื่อ 2 เฒ่าเหิงฮวนนั่นยังช่วยเจ้า เช่นนั้นข้าไหนเลยจะไม่ช่วย…นอกจากนั้นข้าเองก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนคู่ควรให้ตระกูลหลิงหูของพวกเราลงทุน เพราะมันดูไม่เหมือนผู้ที่จักลืมกำพืดของตัวเองได้”
“ตำแหน่งผู้นำตระกูล ข้าไม่ได้ยึดติดอีกต่อไป”
หลิงหูเหรินเจี๋ยส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “ให้เทียบกับตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้ว ข้าอยากรอชมมากกว่าว่ามันจักก้าวไปได้ไกลเพียงใด…นอกจากนี้ข้าเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่ง ว่าหากวันนี้หตระกูลหลิงหูเราดูแลมันอย่างดี วันหน้ามันย่อมไม่ทำให้ตระกูลหลิงหูของพวกเราผิดหวังแน่”
“ครั้งนี้ข้าได้ร้องขอให้อาวุโส 2-3 คนในตระกูลช่วย เช่นนั้นหากท่านช่วยปกปิดเรื่องสายแร่หินเทพที่สูญเสียไปอีกแรง ก็คงไม่มีใครกล่าวถึง…หรืออย่างน้อยๆก็รอให้ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ไปก่อน ข้าเกรงว่าหากให้มันรู้เรื่องตอนนี้ อาจะส่งผลต่อการทดสอบได้”
“ตอนนี้ในสายตาข้า มันไม่ต่างอะไรกับผลงานอันสมบูรณ์แบบ…และข้าหลิงหูเหรินเจี๋ยย่อมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ข้ามีส่วนปั้นแต่งผลงานไร้ที่ติดังกล่าวขึ้นมา และเมื่อผลงานชิ้นนี้โด่งดั่งไปทั่วหล้า ข้าหลิงหูเหรินเจี๋ยก็นับว่าใช้ชีวิตมาไม่เสียเปล่าแล้ว”
มุมปากหลิงหูเหรินเจี๋ยปรากฏรอยยิ้มคลี่กางขึ้นมา ในแววตาฉายชัดถึงความเชื่อมั่น
“เอาล่ะ เรื่องนี้ในเมื่อเจ้าคิดมาดีแล้ว…”
หลิงหูเจิ้งซิงพยักหน้า “เช่นนั้นข้าก็จะช่วยเจ้าอีกทาง”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสเจิ้งซิง”
หลิงหูเหรินเจี๋ยป้องมือประสานก่อนจะโค้งคำนับ ค่อยจากไป
หลังจากหลิงหูเหรินเจี๋ยจากไป หลิงหูเจิ้งซิงอดส่ายหัวไปมาไม่ได้ “เด็กน้อยต้วนหลิงเทียนผู้นั้น ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก…เจ้าหนูเหรินเจี๋ยผู้นี้แต่ก่อนล้วนพยายามอย่างหนักเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำ แต่วันนี้มิคาดกลับยินดีสละตำแหน่งที่เหน็ดเหนื่อยช่วงชิงมาได้อย่างไม่ลังเล”
หลิงหูเจิ้งซิงกล่าวถึงจุดนี้สองตาก็กลายเป็นเลื่อนลอย ในใจเริ่มย้อนนึกไปยังวันวาน ฉากชายหนุ่มผู้กล้าหาญเด็ดเดี่ยว และต่อสู้กับทุกคนอย่างไร้ครั่นคร้ามเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลปรากฏขึ้นเป็นฉากๆ
แต่วันนี้ไม่คาด คนๆเดียวกันกลับเต็มใจสละตำแหน่งที่เป็นดั่งผลงานชั่วชีวิตนั่น เพียงเพราะคนต่างแซ่
…
ตั้งแต่ออกจากห้องลับแห่งกฏ ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนกลับไปยังบ้านพักของเขา และนอกจากตอบข้อความของหลิงหูเหรินเจี๋ยแล้ว เขาก็เอาแต่จดจ่อกับการควบรวมพลังเพื่อสร้างร่างอวตารแห่งกฏ
การควบพลังสร้างร่างอวตารแห่งกฏไม่ได้ยากเย็นหรือซับซ้อนอะไร
แต่มันต้องใช้เวลานานพอสมควร
กล่าวได้ว่า หากคิดจะควบรวมพลังสร้างร่างอวตารแห่งกฏล่ะก็ จำต้องใช้พลังเทพเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็ควบรวมความเข้าใจของกฏ ไม่ว่าจะความลึกซึ้งหรือการผสานรวมความลึกซึ้ง จากนั้นก็แยกวิญญาณออกมาส่วนหนึ่งเพื่อให้เป็นตัวขับเคลื่อนร่างอวตารกฏประหนึ่งแขนขา
‘ยิ่งเข้าใจกฏไหน กฏนั้นก็ยากจะควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏมากขึ้นเป็นเงาตามตัว…อย่างกฏมิติของข้า หากคิดควบรวมพลังเทพทั้งหมดเพื่อสร้างร่างอวตารแห่งกฏ ข้าต้องใช้เวลารบรวมพลังมากกว่าสร้างร่างอวตารแห่งกฏที่เหลือทั้ง 8 เสียอีก’
หากจะถามว่า…หลังจากควบรวมสร้างร่างอวตารของกฏใดๆแล้ว มันจะส่งผลกระทบต่อร่างหลักหรือไม่?
บอกได้เลยว่าไม่ส่งผล หลังจากต้วนหลิงเทียนควบสร้างร่างอวตารแห่งกฏมิติแล้วเสร็จ ต่อให้จะส่งร่างอวตารแห่งกฏมิติไปที่ไหน ร่างหลักของเขาก็จะยังใช้กฏมิติได้เหมือนเดิม
‘ร่างอวตารกฏที่ข้าสามารถควบสร้างได้ในปัจจุบัน ที่แข็งแกร่งที่สุดก็หนีไม่พ้นร่างอวตารกฏมิติ…และมีแต่ร่างอวตารกฏมิติเท่านั้น ที่จะช่วยต่อกรกับศัตรูของข้าได้’
‘เช่นนั้น ข้าจำต้องควบสร้างร่างอวตารกฏกมิติให้เสร็จก่อนใดอื่น…หากควบสร้างมันได้ทันก่อนการแข่งขันมังกรซ่อนจะเริ่ม เช่นนั้นความแข็งแกร่งของข้าก็จะเพิ่มมากขึ้น โอกาสได้อันดับสูงๆก็เพิ่มขึ้นตามเป็นธรรมชาติ’
ถึงแม้ว่าเป้าหมายของต้วนหลิงเทียนก็คือ อันดับ 1 ของการแข่งขันมังกรซ่อน
อย่างไรก็ตามเป้าหมายดังกล่าว ไม่ใช่ว่าต้องทำให้จงได้
และนี่ไม่ใช่ว่าเขาไม่มั่นใจในตัวเอง เพียงแต่พอถึงเวลาแล้วเขาต้องประเมินส่วนได้ส่วนเสียให้ดี ว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่จะเปิดเผยไพ่ตายอื่นๆของเขา
ระนาบเทพมันอันตรายเกินไป
เขาที่ตัวคนเดียว หากสามารถซุกซ่อนไพ่ตายไว้ได้ การซ่อนเอาไว้ต่อย่อมดีกว่า
และหากเขาควบสร้างร่างอวตารกฏมิติได้ล่ะก็ ความแข็งแกร่งของเขาก็จะเพิ่มขึ้นถึงแม้จะไม่ต้องใช้ไพ่ตายใบอื่น
เพราะหากควบสร้างร่างอวตารกฏมิติแล้วเสร็จ ก็จะเหมือนมีเขา 2 คนร่วมมือกันสู้กับศัตรู
‘เริ่มกันต่อเลย…’
หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนก็อุทิศตัวให้กับการควบสร้างร่างอวตารกฏมิติ และไม่สนใจเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น
…
ณ ตระกูลมู่หรง
เมื่อการทดสอบเข้านิกายมังกรสวรรค์รวมถึงการแข่งขันมังกรซ่อนใกล้เข้ามา รุ่นเยาว์ในตระกูลมู่หรงก็มักจะมารวมตัวกัน และหัวข้อสนทนาที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดช่วงนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องการแข่งขันมังกรซ่อนของนิกายมังกรสวรรค์
“ข้าหวังว่าครั้งนี้ข้าจะเข้านิกายมังกรสวรรค์ได้สำเร็จ…ถึงแม้จะเป็นแค่ฝ่ายนอกและเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่ง แต่คนในสายตระกูลข้าก็จะมีรางวัลให้ข้ามากมาย”
คนของตระกูลมู่หรงสายรองบางคนเอ่ยด้วยความวาดหวัง
“เฮ่อ เจ้ายังดี แต่ข้าสิ อาศัยพลังฝีมือเต่าถุยของข้างกับอีแค่ศิษย์ฝ่ายนอกยังไม่รู้จะไหวรึเปล่า…เมื่อร้อยปีก่อนข้าก็ทำพลาดไปทีนึงแล้ว ครั้งนี้ได้แต่ไปลองเสี่ยงโชคอีกครั้ง หวังว่าฟ้าจะเข้าข้าง”
คนในตระกูลมู่หรงสายรองอีกคน ก็กล่าวด้วยสายตาคาดหวัง
“เจ้าว่า…ครั้งนี้จะมีคในตระกูลมู่หรงเรากี่คนที่สามารถผ่านการทดสอบของฝ่ายในและกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ได้?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจนัก แต่น่าจะไม่เกิน 5 คนหรอก…ยิ่งไปกว่านั้น คราวนี้พี่น้องคู่นั้นไม่พลาดง่ายๆเพราะมัวแต่ปิดด่านบ่มเพาะเหมือนเมื่อร้อยปีก่อนแน่ คู่นั้นน่าจะผ่านการทดสอบและกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในนิกายมังกรสวรรค์ได้ไม่ยาก”
…
ภายในลานส่วนในสำหรับศิษย์ต่างแซ่ของตระกูลมู่หรง ปรากฏร่างชายหนุ่มคนหนึ่งยืนฟังบทสนทนาด้านนอกอยู่ข้างประตูบ้านตัวเอง ในแววตาของมันก็ฉายชัดถึงความคาดหวังอันแรงกล้า ‘อีกแค่เดือนเดียวก็จะถึงวันเปิดรับสมัครศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์…’
‘ถึงตอนนั้นข้าจะได้เจอต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง…’
‘แป๊บๆ ข้าก็ไม่ได้เจอต้วนหลิงเทียนมา 20 กว่าปีแล้ว…’
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือนายน้อยของนิกายหมื่นจันทรา โหวชิ่งหนิง
ในตอนนั้นหลังจากที่โหวชิ่งหนิงกลับจากตระกูลหลิงหูแล้ว มันก็กลับไปทำเรื่องลาออกจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับ จากนั้นก็กลับไปยังนิกายของมัน ก่อนที่จะไปเข้าร่วมกับตระกูลมู่หรง
“โหวชิ่งหนิง”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ ปรากฏร่างบางหนึ่งเดินตัดลานมา พลางเอ่ยทักโหวชิ่งหนิงที่ยืนข้างประตูบ้านเสียงใสมาแต่ไกล ทันใดนั้นผู้คนในลานก็หันไปมองโหวชิ่งหนิงด้วยสายตาแหลมคมปานมีดดาบทันที
แต่ดูเหมือนโหวชิ่งหนิงจะเคยชินกับสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว หลังคลี่ยิ้มแห้งๆ มันก็ก่าวทักทายร่างบางที่เดินมาหยุดลงหน้าบ้าน “คุณหนู 3…”
ร่างบางที่ยืนอยู่เบื้องหน้าโหวชิ่งหนิงบัดนี้ รูปร่างหน้าตานับว่าสะสวยไร้ที่ติ มากล้นไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนใจสุดที่ผู้ชายธรรมดาจะต้านทาน และนางก็คือลูกสาวคนเดียวของ มู่หรงอวิ๋นลิ่ว ผู้นำตระกูลมู่หรงคนปัจจุบัน และเป็นลูกสาวคนเล็ก ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของมู่หรงอวิ๋นลิ่ว ‘มู่หรงอวิ๋นเยว่’ ผู้คนในตระกูลมักเรียกหานางว่า ‘คุณหนู 3’
ด้านโหวชิ่งหนิงเองก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่บ้าง เพราะมู่หรงอวิ๋นเยว่หรือคุณหนู 3 ของตระกูลมู่หรงคนนี้ พอมันเข้าร่วมตระกูลมู่หรงมาไม่ทันไร ก็ถูกอีกฝ่ายให้ความสนใจ อีกทั้งยังขยันมาหามันทุกๆ 3 วัน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อการบ่มเพาะพลังของมัน แต่ตัวมันยังกลายเป็นหนามตำตาของหนุ่มๆในตระกูลมู่หรงอีก
สุดท้ายแล้วในบรรดาคนหนุ่มของตระกูลมู่หรง มู่หรงอวิ๋นเยว่ ก็ไม่ต่างอะไรจากภรรยาในฝัน
นางไม่เพียงมีรูปโฉมงดงามไร้ตำหนิ แต่นางยังเป็นลูกสาวสุดที่รักของผู้นำตระกูลอีก กล่าวได้ว่าผู้ใดได้ตบแต่งกับนาง ก็เสมือนช่วยประหยัดเวลาชีวิตในการไขว่คว้าหาความสำเร็จไปอย่างน้อย 3,000 ปี!
“โหวชิ่งหนิง การทดสอบเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ครั้งนี้ เจ้าจะเลือกเข้าทดสอบฝ่ายในหรือฝ่ายนอกเล่า?”
มู่หรงอวิ๋นเยว่ เลิกคิ้วเล็กน้อยค่อยกล่าวถามด้วยรอยยิ้มสดใส
และเดิมทีมู่หรงอวิ๋นเยว่ก็งดงามมากอยู่แล้ว พอนางคลี่ยิ้มออกมาเช่นนี้ ด้วยพวงแก้มที่มีลักยิ้มนั่น ก็เสมือนปลดปล่อยอานุภาพทำลายล้างออกมาอย่างไรอย่างนั้น เล่นเอาหัวจิตหัวใจหนุ่มๆในลานที่ดูอยู่ถึงกับอ่อนยวบ อย่างไรก็ตามพอพวกมันละสายตาออกจากรอยยิ้มพิมพ์ใจของนางไปมองโหวชิ่งหนิง แววตาของพวกมันก็กลายเป็นดุร้ายปานมีดดาบ ทำราวกับรอจะจ้วงโหวชิ่งหนิงสักพันแผลไม่ไหวแล้ว
“ข้าคิดจะเข้าร่วมการประเมินทดสอบศิษย์ฝ่ายใน”
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าไฉนอยู่ๆโหวชิ่งหนิงถึงมาเอ่ยถามเรื่องนี้กับมัน แต่โหวชิ่งหนิงก็กล่าวตอบไปตามตรง “แต่ถ้าหากมันล้มเหลว ข้าก็จะเปลี่ยนไปทดสอบศิษย์ฝ่ายนอก”
“เช่นนั้น…หมายความว่าเจ้าตั้งใจจะเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ให้จงได้?”
มู่หรงอวิ๋นเยว่ย่นคิ้วเบาๆ ค่อยถามสืบต่อ “ในกรณีนี้…หากข้าสอบประเมินศิษย์ฝ่ายในไม่ผ่าน จนไม่ได้อยู่ในนิกายมังกรสวรรค์ ต่อไปข้าก็มิอาจพบเจอเจ้าได้อีกแล้ว…”
ตระกูลมู่หรงเองก็มีกฏข้อหนึ่ง
ทายาทสายตรงทั้งหมด ไม่ว่าจะชายหรือหญิง จำต้องอยู่ฝึกฝนบ่มเพาะภายในตระกูลเท่านั้น เว้นเสียแต่จะสามารถผ่านการทดสอบกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ได้
เหตุผลที่ทางตระกูลตรากฏข้อนี้ขึ้น ก่อนอื่นเลยทายาทสายตรงของตระกูลมู่หรงล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญ หากเป็นได้แค่ศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์ เช่นนั้นไม่ใช่จะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านให้ดูแคลนจนเสื่อมเสียมาถึงตระกูลหรือไร? ประการที่ 2 เพราะทายาทสายตรงของตระกูลมู่หรงนั้น เมื่ออยู่ในตระกูลก็จะได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์แม้แต่นิดเดียว ยังมากกว่าด้วยซ้ำ เช่นนั้นจะไปอยู่นอกตระกูลทำไม?
หากทายาทสายตรงของตระกูลระดับจอมราชันเทพ ดั้นด้นไปยังขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพเพื่อเป็นแค่ศิษย์ฝ่ายนอก กล่าวได้ว่าเป็นการเสียเปล่าจริงๆ
‘ไม่เจอกันจะดีกว่า…’
เป็นธรรมดาว่าประโยคนี้โหวชิ่งหนิงทำได้แค่พูดในใจเท่านั้น มันไม่กล้าพูดออกมาต่อหน้ามู่หรงอวิ๋นเยว่ และมันเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าไฉนมู่หรงอวิ๋นเยว่ถึงมาสนใจมันได้ เพราะเท่าที่มันนึกดูมันไม่มีอะไรที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายสนใจได้เลย
ในแง่ของอัตลักษณ์แล้ว ตัวมันก็เป็นแค่นายน้อยของนิกายระดับราชาเทพเท่านั้น เรียกว่าภายในตระกูลมู่หรง ในบรรดาศิษย์ต่างแซ่ 10 คน หากไม่ถึง 9 คนก็ต้องมี 8 คนที่มีอัตลักษณ์ระดับเดียวกับมัน