WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3794 ศิษย์คนที่ 2 ของกวงเทียนเจิ้ง จงซ่าน
แต่มีบางอย่างที่ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่อาจควบคุมได้
ยกตัวอย่างเช่น การที่หลิงหูเหรินเจี๋ยทำเพื่อเขาโดยที่ไม่ท้วงติงใดๆ ในขณะที่เขาใช้ห้องลับแห่งกฏเป็นเวลา 3 ปีติด จนทำให้ตระกูลหลิงหูสูญเสียสายแร่หินเทพไป 1 ใน 3 สิ่งนี้เขาไม่รู้เลย
หากเขารู้เขาคงไม่แช่อยู่ในห้องลับแห่งกฏของตระกูลหลิงหูนานขนาดนั้น
หรือไม่ขอแค่หลิงหูเหรินเจี๋ยบอกเขาสักคำ เขาก็สามารถเข้าใจได้ และไม่มีทางลากหลิงหูเหรินเจี๋ยให้ตกต่ำแบบนี้
แต่ปัญหาก็คือ…
แต่ต้นจนจบ หลิงหูเหรินเจี๋ยไม่พูดสักคำว่า กำลังลำบากขนาดไหน
น้ำใจเช่นนี้ หากมอบให้คนเห็นแก่ตัว คนๆนั้นไม่พ้นต้องมองว่าหลิงหูเหรินเจี๋ยโง่เอง แต่ต้วนหลิงเทียนนั้นไม่ใช่คนแบบนั้น
น้ำใจดังกล่าว เขาสลักมันไว้ในใจ
ก็เลยเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจทำข้อตกลงร้อยปีกับตระกูลหลิงหู
‘ภายในเวลาร้อยปี จะอย่างไรข้าก็ต้องทำให้หลิงหูเหรินเจี๋ยได้ตำแหน่งผู้นำกลับคืน’
สองตาต้วนหลิงเทียนฉายชัดถึงความมุ่งมั่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมารู้สึกตัว ด้านเชวียไห่ชวนเองก็ได้แต่มองเขาด้วยความสงสัย ด้วยไม่ทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่ ไฉนถึงได้ฟุ่งซ่าน
อย่างไรก็ตามเชวียไห่ชวนไม่ได้กล่าวถามเซ้าซี้อะไร เพียงกลับไปชมดูการทดสอบศิษย์ฝ่ายในบนม่านแสง
“เสี่ยวเทียน ดูท่าคู่ต่อสู้ของเจ้าคงไม่พ้นคนเหล่านี้…”
หลังเชวียไห่ชวนคุยกับต้วนหลิงเทียนไปสักพัก มันก็รู้สึกสนิทสนมกับต้วนหลิงเทียนมากขึ้น จึงเรียกหาอย่างเป็นกันเอง
และปัจจุบัน คนในม่านแสงที่เชวียไห่ชวนกำลังชี้อยู่ ก็คือตู้ปั้วจวินศิษย์หลักของนิกายหมื่นปีศาจ หัวเทียนตู้ นายน้อยนิกายบูรพารุ่งโรจน์ และโอวหยางเจี้ยนเฉิน นายน้อย 3 แห่งตระกูลโอวหยาง
“สตรีนางนี้ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว”
ตั้งแต่ต้นจนจบ มีไม่กี่คนนักที่ทำให้เชวียไห่ชวนรู้สึกสนใจได้ แต่สุดท้ายสายตาก็ไปสะดุดกับสตรีนางหนึ่ง
ต้วนหลิงเทียนมองตามสายตาอีฝ่ายไป ก็จดจำร่างบางดังกล่าวได้ทันที “สตรีนางนี้ เหมือนจะเป็น ศิษย์หลักคนที่ 7 ของหุบเขาหมื่นบุปผา ผู้คนมักเรียกนางว่า แม่นาง 7”
“หืม? หุบเขาหมื่นบุปผารึ?”
ต้วนหลิงเทียนก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากเชวียไห่ชวนได้ยินคำพูดเขาแล้ว ท่าทีไร้แยแสก็เริ่มเผยความอื้ออึงทันที
ราวกับกำลังหวนนึกถึงอะไรบางอย่าง
“หืม? พี่ไห่ชวนเคยมีอดีตกับหุบเขาหมื่นบุปผาหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมสังเกตเห็นเบาะแสบางอย่าง
พอเชวียไห่ชวนกลับมารู้สึกตัว มันก็ได้แต่ส่ายหัวไปมาพลางถอนหายใจ “ในอดีต ข้าก็มีสหายคนหนึ่งมาจากหุบเขาหมื่นบุปผา”
พอกล่าวจบคำ เชวียไห่ชวนก็หันกลับไปมองแม่นาง 7 ของหุบเขาหมื่นบุปผาอีกครั้ง ในแววตายังฉายความอ่อนโยนให้เห็น “คล้ายนัก…ช่างคล้ายกันยิ่ง”
ถึงแม้เสียงพึมพำของเชวียไห่ชวนจะเบา แต่ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินชัดถนัดหู
ดูเหมือนว่า เชวียไห่ชวนคนนี้จะเคยมีอดีตบางอย่างกับสตรีในหุบเขาหมื่นบุปผาแน่นอน
ต่อมา อารมณ์ของเชวียไห่ชวนก็ซึมเซาลงอย่างเห็นได้ชัด ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะพูดอะไร เพียงแค่เฝ้าดูการทดสอบของรุ่นเยาว์ทั้งหลายเงียบๆ
หลังพบเจอด่าทดสอบด่านแล้วด่านเล่า รุ่นเยาว์ก็ถูกคัดออกมากขึ้นเรื่อยๆ
และตั้งแต่ต้นจนจบ เชวียไห่ชวนยังเอาแต่มองการทดสอบของแม่นาง 7 ไม่วางตา ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะสงสัย ‘หรือพี่ไห่ชวนจะเคยมีอดีตกับมารดาของแม่นาง 7?’
ต้วนหลิงเทียนเชื่อว่าเชวียไห่ชวนสมควรพึ่งเห็นแม่นาง 7 เป็นครั้งแรก
และที่ไหนเขาคิดไปแบบนั้น เพราะก่อนหน้าเชวียไห่ชวนบอกว่า ‘คล้ายนัก…ช่างคล้ายกันยิ่ง’
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ในที่สุดการทดสอบประเมินศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ก็จบลง
และโหวชิ่งหนิงกับมู่หรงอวิ๋นเยว่ ภายใต้การดูแลที่ตั้งใจแต่คล้ายไม่ตั้งใจของตงฟางเหยียนเหนียน ก็สามารถผ่านการทดสอบ จนกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ได้สำเร็จ
“จบแล้ว”
พอการทดสอบศิษย์ฝ่ายในจบลง เชวียไห่ชวนก็โบกมือเบาๆ จากนั้นม่านแสงที่ฉายฉากเรื่องราวอันก่อเกิดจากพลังเทพก็เริ่มสลายหายไป
ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นอีกด้วย ว่าที่หางตาของเชวียไห่ชวนคล้ายมีน้ำตาซึมออกมา เพียงแต่พึ่งจะปรากฏไม่ทันไรก็ถูกพลังเทพระเหยหายไปสิ้น
เกรงว่าหากไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนมีสายตาแหลมคม ก็คงยากจะมองเห็น
จุดนี้ทำให้ต้วนหลิงเทียนมั่นใจมากขึ้นเรื่องๆ ว่าเชวียไห่ชวนต้องมีเรื่องราวความหลังอะไรบางอย่างกับคนของหุบเขาหมื่นบุปผา และ 9 ใน 10 อีกฝ่ายก็สมควรเป็นมารดาหรือญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงของ แม่นาง 7 แน่นอน!
‘อย่างไรเสีย แม่นาง 7 คนนี้ก็สวมผ้าคลุมปกปิดครึ่งล่างใบหน้าเอสไว้…ที่พี่ไห่ชวนทัมกว่าคล้าย ไม่พ้นต้องเป็นรูปร่าง หน้าผาก ดวงตา แล้วก็สันจมูกของนาง จุดนี้เป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมทั้งสิ้น…’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
“เสี่ยวเทียน”
เชวียไห่ชวนย่อมไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนกำลังคิดอะไรอยู่ พอเห็นว่าการทดสอบศิษย์ฝ่ายในจบลงแล้ว มันก็หันมามองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าต้องอยู่ปกป้องพี่ใหญ่ เช่นนั้นการแข่งขันมังกรซ่อน ข้าคงไม่ได้ไปดูเจ้าข้างสนาม…”
“อย่างไรก็ตาม ข้าจะใช้อาคมม่านแสงสะท้อนลักษณ์เพื่อดูเจ้าจากที่นี่”
“พยายามคว้าอันดับ 1 มาให้ได้เล่า…เพราะของรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศ ต่อให้เป็นข้าเองยังใจเต้น”
กล่าวถึงจุดนี้ สายตาที่เชวียไห่ชวนใช้มองต้วนหลิงเทียนก็บอกเป็นนัยบางอย่าง
พอต้วนหลิงเทียนได้ยิน สองตาเขาก็ลุกวาวทันที เพราะเขารู้ดีว่าเชวียไห่ชวนไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ต้องตาอีกฝ่ายต้องเป็นของดีแน่
“ข้าจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มรับอย่างสุภาพ
“มีอีกเรื่อง…”
ทันใดนั้นคล้ายเชวียไห่ชวนจะนึกอะไรขึ้นได้ ยังมองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาจริงจัง “หากเจ้าพบเจอ แม่นาง 7 ในการแข่งขันมังกรซ่อน…ถ้าเจ้ามีเปรียบและนางไม่เต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ ถึงตอนนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะเมตตานาง”
กล่าวจบประโยค เชวียไห่ชวนก็เอ่ยเสริมว่า “หากข้าเดาไม่ผิด…นางสมควรเป็นลูกสาวของสหายเก่าที่ล่วงลับไปแล้วของข้า”
ลูกสาวของสหายเก่าที่ล่วงลับไปแล้ว!?
คำพูดของเชวียไห่ชวน นับว่ายืนยันการคาดเดาก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนหลายส่วน และเป็นธรรมดาว่าเขาจะรับปากอีกฝ่าย
สุดท้ายเรื่องนี้ สำหรับเขาแล้วมันก็ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ
“เจ้านั่งคุยเล่นกับข้าต่อสักพักเถอะ อีกไม่นานเดี๋ยวศิษย์พี่ใหญ่ตงฟางก็คงมารับเจ้า จากนั้นก็พาเจ้าไปยังสถานที่พักของศิษย์ฝ่ายในชั่วคราวที่เตรียมไว้สำหรับศิษย์ใหม่ในเทือกเขาเหยียนหลง”
สถานที่พักบ่มเพาะของเชวียไห่ชวนไม่ได้อยู่ในเทือกเขาเหยียนหลง แต่เป็นอีกแนวเทือกเขาหนึ่งที่ติดกับเทือกเขาเหยียนหลง
อย่างไรก็ตามทั้งสองสถานที่มันก็อยู่ใกล้กันมาก เรียกว่าห่างจากจุดที่แนวเทือกเขาตัดกันไม่ได้ไกลเลย
ราวๆค่อนชั่วยาม ตงฟางเหยียนเหนียนก็เหินร่างมาถึง
และภายใต้การส่งเสริมอย่างตั้งใจของเชวียไห่ชวน ความสัมพันธ์ระหว่างต้วนหลิงเทียนกับตงฟางเหยียนเหนียนก้เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น ไม่นานนักก็แลดูสนิทกัน
ตงฟางเหยียนเหนียนก็เรียกต้วนหลิงเทียนว่า ‘เสี่ยวเทียน’ เหมือนกับที่เชวียไห่ชวนเรียก ด้านต้วนหลิงเทียนก็เรียกหาอีกฝ่ายว่าพี่เหยียนเหนียน
เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็คิดจะเรียกหาอีกฝ่ายว่า อาวุโสตงฟาง แต่อีกฝ่ายโอดครวญร่ำร้องออกกมายกใหญ่ บอกว่าเขาจะห่างเหินเกินไปแล้ว สุดท้ายก็เลยเรียกหาเป็นพี่น้องเหมือนเชวียไห่ชวน
ต้วนหลิงเทียนเองก็รู้สึกเหนือคาดอยู่บ้าง เพราะไม่คิดเลยว่าอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ จอมราชันเทพขั้นกลางชนชั้นยอดฝีมือจะมีมุมงอแงเหมือนเด็กน้อยอยู่ด้วย
จะอย่างไรก็แล้วแต่ ด้วยท่าทีสบายๆแลดูเป็นกันเองของตงฟางเหยียนเหนียน ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกสบายๆ และถูกโฉลกกับอีกฝ่ายพอสมควร
หลังผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วยาม ฟ้าก็เริ่มมืดลง ต้วนหลิงเทียนกับตงฟางเหยียนก็ออกจากสถานที่พักบ่มเพาะของเชวียไห่ชวน และมุ่งหน้าไปยังสถานที่พักชั่วคราวของศิษย์ฝ่ายในที่เทือกเขาเหยียนหลงทันที
สถานที่พักชั่วคราวสำหรับศิษย์ฝ่ายในคนใหม่ของนิกายมังกรสวรรค์นั้น ก็ตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งหนึ่ง มีอาคารปลูกสร้างหนาตา ที่พักเรียงรายเป็นสัดส่วนราวหมู่บ้านจัดสรร และยังมีอาคารปลูกสร้างที่เตรียมไว้รองรับอาวุโสหรือญาติผู้ใหญ่ของเหล่าศิษย์ฝ่ายในที่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในได้สำเร็จอีกด้วย แน่นอนว่ามีแบ่งเขตสำหรับผู้ที่มาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพและไม่ใช่
การแข่งขันมังกรซ่อน จะเริ่มต้นขึ้นในอีก 3 วันหลังจากนี้
“เสี่ยวเทียน หลังจากนี้ 3 วันเจอกัน”
ตงฟางเหยียนเหนียนที่พาต้วนหลิงเทียนมาถึงสถานที่พักในหุบเขา ก็ยิ้มลาต้วนหลิงเทียน
“แล้วพบกัน”
ต้วนหลิงเทียนก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
หลังจากตงฟางเหยียนเหนียนจากไป ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาหลายคู่ที่กำลังมองมาที่เขา เป็นเหล่าศิษย์ฝ่ายในคนใหม่ของนิกายมังกรสวรรค์ รวมถึงเหล่าอาวุโสและคนใหญ่คนโตของขุมกำลังต่างๆ
“ต้วนหลิงเถียน”
ภายใต้สายตาของต้วนหลิงเทียน ร่างโหวชิ่งหนิงก็เหินออกจากกลุ่มคน และมาหยุดลงข้างเขา “นี่เจ้ารู้จักอาวุโสตงฟางเหยียนเหนียนด้วยหรือ! ไฉนถึงแลดูสนิทสนมกันนักเล่า!?”
สองตาของโหวชิ่งหนิงฉายชัดถึงความอยากรู้อยากเห็น
“พี่เหยียนเหนียนเป็นเพื่อนของพี่ไห่ชวน และตอนที่เจ้ากำลังทดสอบวันนี้ข้าก็อยู่กับพี่ไห่ชวน”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มกล่าว “หลังพวกเจ้าทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในจบ พี่เหยียนเหนียนก็มาหาข้ากับพี่ไห่ชวน พวกเรานั่งคุยกันพักใหญ่ๆ พึ่งจะกลับมา”
“แบบนี้นี่เอง”
โหวชิ่งหนิงเองก็ได้ฟังเรื่องเล่าจากต้วนหลิงเทียนมากมาย จึงรู้ว่าต้วนหลิงเทียนรู้จักกับเชวียไห่ชวน และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันพอสมควร
จากนั้นโหวชิ่งหนิงก็เปลี่ยนเรื่อง ยังถอนหายใจกล่าวออกมาเสียงอ่อนว่า “การทดสอบวันนี้มันยากจริงๆ ข้าเกือบจะไม่ผ่านด่านทดสอบสุดท้ายด้วยซ้ำ”
“แต่โชคดีนัก ที่ในที่สุดข้าก็ผ่านมันมาได้”
ประโยคท้ายขณะกล่าว โหวชิ่งหนิงยังยืดไม่น้อย เห็นชัดว่าภูมิใจมาก
เห็นท่าทางยืดของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้บอกเรื่องที่เชวียไห่ชวนขอให้ตงฟางเหยียนเหนียนลอบให้การช่วยเหลือ และลดระดับความยากในการทดสอบของโหวชิ่งหนิงกับมู่หรงอวิ๋นตามความเหมาะสม
เพราะในสายตาต้วนหลิงเทียน เรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่จำเป็นต้องพูดถึง
กับเพื่อนกับฝูง บางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องพูด
…
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนและศิษย์ฝ่ายในคนใหม่ของนิกายมังกรสวรรค์กำลังพักผ่อนอยู่ในสถานที่พักชั่วคราวของเทือกเขาเหยียนหลงนั้น กวงเทียนเจิ้งอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ ก็ได้รับรายงานเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนผ่านการทดสอบเรียบร้อย
“เดียรัจฉานน้อยนั่นมันทะลวงถึงราชาเทพขั้นกลางแล้วหรือ?!”
สีหน้าของกวงเทียนเจิ้งเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากนัก และหากไม่ใช่ว่าศิษย์คนรองของมันนั่งอยู่ด้วย มันคงอดทุบโต๊ะจนแหลกไม่ได้
ในตอนนี้กวงเทียนเจิ้งก็นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนตัวหนึ่งในลานกว้าง และฝั่งตรงข้ามโต๊ะก็มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงินนั่งอยู่
ชายหนุ่มคนนี้รูปร่างสูงใหญ่แลดูกำยำ คิวคมเข้มปานดาบกับใบหน้าแลดูหนักแน่นจริงจังของมัน เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นเด็ดขาดประการหนึ่ง
และมันก็คือศิษย์คนที่ 2 ในสำนักกวงเทียนเจิ้ง จงซ่าน
ยังเป็นลูกเขยของรองประมุขเซวียของนิกายมังกรสวรรค์!
“ในตอนนั้นหากคนที่ตายเป็นมันไม่ใช่หานเอ้อ…และถ้าหานเอ้อได้รับโชควาสนาดังกล่าว ป่านนี้ผู้ที่ประสบความก้าวหน้าครั้งใหญ่ก็คงเป็นหานเอ้อไม่ใช่มัน!”
ในดวงตาของกวงเทียนเจิ้งนั้นฉายชัดถึงความคับแค้นและจงเกลียดจงชังปนเปกันไป ที่มากที่สุดก็คือโทสะ!
“ซ่านเอ๋อ เจ้าอย่าได้ลืมเสียเล่า…แต่ก่อนหานเอ้อปฏิบัติกับเจ้าอย่างไร มิใช่ยังดูแลเจ้าดีเหมือนพี่น้องหรอกหรือ?”
แววตาของกวงเทียนเจิ้งอ่อนลงเล็กน้อยขณะมองไปยังจงซ่านเบื้องหน้า เอ่ยถามออกมาเสียงต่ำ