WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3795 การแข่งขันมังกรซ่อน
“ขอท่านอาจารย์อย่าได้ห่วง”
จงซ่านก็เอ่ยคำเสียงหนักว่า “ข้าไม่มีวันปล่อยให้ศิษย์น้องต้องตายเปล่าแน่!”
“ท่านอาจารย์ หากมีอะไรที่ข้าพอทำได้ขอแค่ท่านบอกมาคำเดียว หากเป็นเรื่องที่ข้าทำได้ข้าไม่มีอิดออดแน่!”
จงซ่านกล่าวอย่างมั่นใจ
พอกวงเทียนเจิ้งได้ยินดังว่า รอยยิ้มก็เริ่มคลี่กางบนใบหน้า เพราะมันรอคำนี้อยู่
“ท่านอาจารย์ ตอนนี้ท่านมีแผนเช่นไร?”
จงซ่านถาม
”ยังไม่มีแผนใด”
กวงเทียนเจิ้งส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “อย่างไรก็ตาม หลังจากสารเลวน้อยนั่นเข้ามาในนิกาย ข้าไม่มีวันให้มันอยู่ดีมีสุขแน่…หากก่อกวนการฝึกฝนบ่มเพาะของมันได้ย่อมดีที่สุด”
“มันอายุไม่ถึง 3,000 ปีกลับประสบความสำเร็จเช่นนี้ หากยังปล่อยให้มันเติบโตต่อไป ข้าเกรงว่าวันหนึ่งถึงพวกเราคิดจะจัดการมัน ก็คงไม่มีปัญญาจัดการมัน กระทั่งพวกเราอาจจะตกเป็นฝ่ายรอความตาย”
กวงเทียนเจิ้งเอ่ยคำเสียงหนักนัก และในน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“เจ้านั่น…ปล่อยให้มันเติบโตไม่ได้จริงๆ”
จงซ่านก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “พวกเราพยายามล่อให้มันออกไปทำภารกิจนอกนิกายดีหรือไม่ท่านอาจารย์ จะได้สะดวกจ้างคนไปฆ่ามัน! แต่ถ้ามันไม่คิดออกไปไหนจริงๆ พวกเราก็หาวิธียั่วยุมันให้หลงไปลงนามในการประลองเป็นตาย!!”
“หาทางล่อให้มันออกนอกนิกายดีกว่า”
กวงเทียนเจิ้งกล่าว “เรื่องจะยุให้มันลงนามในการประลองเป็นตายเกรงว่าคงทำไม่ได้…สุดท้ายมันก็ไม่ใช่ตั่วโง่งม ย่อมไม่คิดลงนามในสัญญาประลองเป็นตายกับคนที่มันไม่มั่นใจว่าจะชนะเป็นแน่”
“ดูจากที่มันเติบโตจนมีวันนี้ได้ ก็บอกให้รู้แล้วว่ามันไม่ใช่คนโง่งมที่จะหัวร้อนทำอะไรบุ่มบ่าม”
“จุดนี้ พวกเรามองจากเรื่องที่มันย้อนกลับไปนิกายหมอกเร้นลับ และฆ่าศิษย์หลักทั้ง 2 แต่รอดกลับออกมาได้ก็รู้”
ในขณะกล่าว ลึกลงไปในแววตาของกวงเทียนเจิ้งก็ฉายความประหวั่นขึ้นมา
“ล่อให้มันออกนอกนิกาย?”
จงซ่านย่นคิ้วเบาๆ “ท่านอาจารย์ มันเองก็รู้ว่ามีพวกเราเป็นศัตรู ไหนเลยจะเผลอตัวออกนอกนิกายง่ายๆ…มันจะออกไปด้านนอกจนเปิดโอกาสให้มีคนฆ่าหรือ?”
“หากเป็นเรื่องทั่วไปก็คงไม่”
กวงเทียนเจิ้งเอ่ยตอบฉับไว “แต่ถ้าเป็นเบาะแสเทพซ่อนของตัวตนระดับจักรพรรดิเทพหรืออริยะเทพเล่า ถึงตอนนั้นเจ้าคิดว่ามันจะยังเฉยอยู่ได้หรือไม่?”
สองตาจงซ่านลุกวาวขึ้นมาทันที “ยังเป็นท่านอาจารย์ที่ฉลาด!”
…
3 วันผ่านไปในพริบตา
การแข่งขันมังกรซ่อน ทุกรอบร้อยปีของนิกายมังกรสวรรค์ ก็เริ่มเปิดม่านอย่างเป็นทางการวันนี้
ในปัจจุบัน ไม่เพียงแต่การทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในจะเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น แต่การทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์ก็จบลงแล้วเช่นกัน
และไม่ว่าใครก็ตาม ที่ผ่านการประเมินทดสอบเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์ได้สำเร็จ ก็มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนทั้งสิ้น
“คราวนี้ในการทดสอบประเมินศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ มีผู้ที่ผ่านการทดสอบและเป็นศิษย์ฝ่ายในแค่ 286 คนเท่านั้น”
3 วันต่อมา หลังต้วนหลิงเทียนออกจากบ้านพัก เขาก็เห็นว่าโหวชิ่งหนิงกำลังเดินมาหาเขาพอดี หลังจากอีกฝ่ายมาหยุดข้างกายเขาแล้ว มันก็หันมองไปยังบางคนที่พึ่งออกจากบ้านพักมา “ข้าว่าในบรรดาคนที่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในเกือบ 300 เป็น 5 คนนั่นที่ร้ายกาจที่สุด”
“อืม”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า สองตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา เพราะเขาเห็นร่างบางหนึ่งที่สวมผ้าคลุมหน้า และวันนี้อีกฝ่ายไม่ได้ใส่ชุดเหมือน 3 วันก่อน แต่เลือกจะสวมใส่ชุดจอมยุทธ์หญิงแลดูทะมัดทะแมงสีฟ้า ให้ความรู้สึกไม่ธรรมดายากตอแย
ขณะเดียวกันต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นว่ามีคนหนุ่มสาว 2-3 คนกำลังเดินไปชวนนางคุย แต่นางกลับเพิกเฉยทุกคน
สตรีนางนั้นเพียงมองผู้ที่เข้ามาชวนคุยด้วยสายตาเฉยเมย คล้ายไม่สนใจทุกสิ่ง แต่พิกลนักนางกลับไม่ได้ให้ความรู้สึกแปลกแยก แต่ชวนให้รู้สึกเสมือนนางหลอมกลืนเข้ากับสภาพแวดล้อมและฝูงคนได้อย่างประหลาด
หลังมองตามสายตาต้วนหลิงเทียนไป โหวชิ่งหนิงที่สังเกตเห็นสตรีนางนั้นด้วย ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากการทดสอบศิษย์ฝ่ายในจบลง มีคนเข้าไปหานางเยอะมาก แต่นางไม่เคยคุยกับใครเลย ทุกคนเหมือนโดนนางปิดประตูใส่หน้ากันหมด”
“หากจะพูดให้ชัด ยังไม่มีใครทำให้สีหน้านางเปลี่ยนไปได้สักคน”
“ไม่ว่าจะมาชวนคุยกับนางดีๆ หรือพูดกับนางอย่างไม่สบอารมณ์ นางก็แค่ทำเมิน”
“และยังมีบางคนที่รู้สึกอับอายเพราะนางไม่เหลียวแล ถึงขั้นคิดใช้กำลังทำรุ่มร่ามกับนาง แต่ไม่มีใครรอด…ล้วนถูกนางกระทืบหมด! และคนที่โดนนางกระทืบ ข้าว่าคงไม่มีแรงเข้าร่วมการแข่งขันมังกรสวรรค์แน่”
ได้ยินคำพูดของโหวชิ่งหนิง ต้วนหลิงเทียนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ดูเหมือนว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์จากหุบเขาหมื่นบุปผา ‘แม่นาง 7’ คนนี้จะไม่ธรรมดาจริงๆ
และความเย็นชาของอีกฝ่าย ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนอดคิดถึงฮ่วนเอ๋อขึ้นมาไม่ได้
ต่อหน้าเขา ฮ่วนเอ๋อ นั้นแลดูอ่อนโยนว่าง่าย ทว่ากับคนอื่นนางจะเย็นชามาก กระทั่งต่อหน้าครอบครัวของเขาแม้นางจะแลดูอ่อนโยนงพอสมควร แต่ก็ยังหลงเหลือความเฉยชาที่ทำราวกับจะผลักไสทุกคนให้ล่าถอยไปพันลี้อยู่บ้าง
‘ฮ่วนเอ๋อ…’
พอคิดถึงฮ่วนเอ๋อขึ้นมา ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ทอดถอนในใจ พริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบ 30 ปีแล้วตั้งแต่เขามาถึงดินแดนดาราพิศวง 1 ใน 18 ระนาบเทพ
และอีกไม่นานก็จะครบรอบ 30 ปีที่เขาแยกจากฮ่วนเอ๋อและเสี่ยวเฟยเอ๋อ
’30 ปี…หากผ่านไป 30 ปีอีก 10 ครั้ง ช่องทางเชื่อมต่อระหว่างระนาบเทพกับระนาบเทวโลกก็จะเปิดออกแล้ว’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนทอดถอนในใจ สองตาเขาก็เริ่มเหม่อลอย ความคิดยังเหินบินราวกับจะเหาะออกจากระนาบเทพที่ยังคงไม่คุ้นชินสักเท่าไหร่ หวนกลับไปหาฮ่วนเอ๋อ ลี่เฟย และเฟิ่งเทียนหวู่…
เขาไม่รู้สึกตัวจนกระทั่งโหวชิ่งหนิงเอ่ยทัก
“เฮ่! ต้วนหลิงเทียน นางเดินมาทางพวกเราแน่ะ”
และนั่นเป็นคำพูดของโหวชิ่งหนิงที่ปลุกสติเขา
“หืม?”
ไม่ทันรู้ตัว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าแม่นาง 7 ที่เดิมทีอยู่ไกลๆ กำลังเดินมาทางนี้
กล่าวให้ชัดคือ เหมือนนางกำลังเดินมาหาเขา
กระทั่งดวงตาที่สงบเฉยเมยคู่นั้นของนาง ก็มองจ้องมาทางเขา
ครู่ต่อมา ท่ามกลางสายตาอิจฉามากมาย แม่นาง 7 ก็มาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน
ด้านโหวชิ่งหนิงที่อยู่ข้างๆ ก็ชมดูเรื่องราวด้วยความตกตะลึง หลังผ่านไปครู่หนึ่ง พอรู้สึกตัวมันก็รีบถอยออกห่างจากต้วนหลิงเทียนทันที “เจ้าคุยไปนะ”
จากนั้น มันก็ยืนดูเรื่องราวด้วยสายตาสนใจ
“ต้วนหลิงเทียน นี่เจ้ารู้จักกับนางมาก่อนหรือ?”
โหวชิ่งหนิงคล้ายนึกอะไรได้ออก ยังเร่งส่งเสียงผ่านพลังไปถามต้วนหลิงเทียนทันที
เหตุไฉนที่มันเอ่ยถามออกไปแบบนั้น เพราะมันเองก็สังเกตเห็นแม่นาง 7 ผู้นี้ตั้งแต่เมื่อ 3 วันก่อนแล้ว และไม่มีใครที่นางสนใจจะคุยด้วยเลย…แถมมันยังได้ยินมาว่า กระทั่งในรอบคัดเลือก นางก็ทำตามคนหมู่มาก โดยเข้าร่วมกับคนที่ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ แต่ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้คุยกับใครเลย
ถึงกับมีคนสงสัยว่านางเป็นใบ้ด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตาม เรื่องนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะต่อให้นางจะเป็นใบ้จริงๆ แต่หลังจากบรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว ก็มีหลายวิธีที่จะทำให้ตัวเองพูดได้อีกครั้ง
ดังนั้นเห็นได้ชัดว่านางไม่ตั้งใจจะพูดกับใคร
“ข้าไม่รู้จักนะ”
ต้วนหลิงเทียนเองก็ได้แต่ยืนงง หลังส่งเสียงผ่านพลังตอบโหวชิ่งหนิงแล้ว เขาก็เอ่ยถามสตรีเบื้องหน้าออกไปด้วยใบหน้าสงสัย “แม่นาง…เจ้ามีอะไรรึเปล่า?”
“ข้าได้ยินคนพูดกัน…เจ้ารู้จักเชวียไห่ชวนเช่นนั้นรึ?”
สตรีดังกล่าวเปิดปากเอ่ยถามออกมา น้ำเสียงของนางยังไพเราะเสนาะหูไม่เบา ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนนั้น พอได้ยยินคำถามดังกล่าวของนางก็อดผงะไปไม่ได้ เพราะไม่คิดเลยว่านางจะมาหาเขาเพื่อถามเรื่องนี้
“ก็ใช่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าตอบคำ ก่อนจะเอ่ยถามนางกลับไปว่า “แล้วเจ้าไปได้ยินมาจากใครเล่า”
ในความคิดเขา มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ว่าเขากับเชวียไห่ชวนรู้จักกัน และถ้าพูดถึงคนที่รู้จริงๆ ก็มีแต่คนในตระกูลหลิงหูเท่านั้น
พอสตรีเบื้องหน้ากล่าวตอบออกมา เขาก็ยืนยันได้ว่า นางได้ยินมาจากคนของตระกูลหลิงหูจริงๆ
ในวันนั้น เขากับเชวียไห่ชวนและเชวียไห่ชานออกไปดื่มกินในเหลาที่เป็นกิจการของตระกูลหลิงหู คนที่พบเห็นก็ไม่ได้มีแต่ผู้ดูแลเหลาเท่านั้น กระทั่งเสี่ยวเอ้อและพนักงานในเหลาก็เห็นกันชัดเจน และด้วยความที่หลิงหูเหรินเจี๋ยแจ้งไปแต่แรก ทุกคนก็รู้ว่าคนที่ไปดื่มกินเขาเป็นใคร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ผู้ดูแลเหลารู้จักเชวี่ยไห่ชวนอยู่ก่อนแล้วด้วยซ้ำ
พอคิดๆดูแล้ว เรื่องพวกนี้ก็คงถูกคนเอาไปพูดกันแต่แรก
“เจ้าติดต่อมันได้หรือไม่?”
สตรีนางนั้นเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง
“ก็…ได้อยู่หรอก”
ต้วนหลิงเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดก็พยักหน้า เพราะเขายังจำได้ว่าเชวียไห่ชวนบอกเขาไว้เมื่อ 3 วันก่อน ว่าให้เขาเมตตานางด้วยหากพบเจอในการแข่งขันมังกรซ่อน
เขาลองคิดดูแล้ว เชวียไห่ชวนก็ไม่น่าจะรังเกียจที่จะให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าเขาสามารถติดต่อได้
“เจ้าบอกมันให้ข้าที ว่าหลังจากการแข่งขันมังกรซ่อนจบลง ข้าอยากพบเจอมัน”
พอสตรีนางนั้นกล่าวถึงจุดนี้ นางก็หยุดลงครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวเสริมว่า “บอกมัน…ว่าข้าเป็นลูกสาวของ ฝูชิงลี่”
แทบจะทันทีที่สตรีเบื้องหน้ากล่าวจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ส่งข้อความไปหาเชวียไห่ชวนทันที ด้านเชวียไห่ชวนก็ตอบกลับมาเร็วไว “เจ้าบอกนางไปว่า หลังการแข่งขันมังกรซ่อนจบลง เจ้าจะพานางมาหาข้าที่นี่”
“ถึงตอนนั้น รบกวนเจ้าพานางมาด้วย”
ถึงแม้ว่าเชวียไห่ชวนจะพยายามสงบอารมณ์เต็มที่ ทว่าต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ชัดเจนจากน้ำเสียง ว่าตอนนี้อีกฝ่ายอารมณ์แปรปรวนนัก
เห็นได้ชัดว่าใจของเชวียไห่ชวนหาความสงบไม่เจอ
หลังกลับมารู้สึกตัว ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับสตรีเบื้องหน้าว่า “ข้าบอกพี่ไห่ชวนแล้ว…พี่ไห่ชวนให้ข้าพาเจ้าไปหาที่บ้าน หลังจบการแข่งขันมังกรซ่อน”
“ขอบคุณเจ้า”
หลังสตรีนางนั้นกล่าวขอบคุณ นางก็เดินจากไป ยังเดินตามผู้คนกลุ่มใหญ่เพื่อไปยังสถานที่จัดการแข่งขันมังกรซ่อน
การแข่งขันมังกรซ่อนนั้นก็จัดขึ้นในเทือกเขาเหยียนหลงเช่นกัน และจัดขึ้นบนยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาเหยียนหลง ยอดเขาที่ว่า เสมือนถูกดาบหันผ่าตามแนวนอน และพื้นที่ครึ่งหนึ่งก็ถูกตระเตรียมอย่างดี จนแลเห็นเป็นเวทีขนาดใหญ่แต่ไกล
สถานที่แห่งนี้ก็เรียกว่า สังเวียนเหยียนหลง เป็นสถานที่ๆนิกายมังกรสวรรค์ใช้จัดการแข่งขันมังกรซ่อนโดยเฉพาะ
ในยามปกติ สังเวียนเหยียนหลงก็จะเปิดให้ศิษย์ในนิกายมังกรสวรรค์มาประลองชี้แนะกันตามอัธยาศัย หลายๆคนก็ชอบนัดกันมาต่อยตีที่นี่
อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันต้องใช้ในการแข่งขันมังกรซ่อน เช่นนั้นก่อนหน้านี้หลายเดือนมันก็ถูกผู้คนมาทำความสะอาดและดูแลปรับปรุงจนแลดูสะอาดสะอ้านใหม่เอี่ยม พอต้วนหลิงเทียนกับโหวชิ่งหนิงมาถึง บนเวทีก็ยังว่างไม่มีใครยืนอยู่
ทว่าไม่มีคนบนเวที แต่รอบๆเวทีเริ่มมีผู้คนทยอยกันมายืนรออยู่แล้ว
ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองผ่าน ก็นับได้ว่ามีผู้คนมาถึงแล้วราวๆ 200 กว่าคน
“ต้วนหลิงเทียน เจ้ามาเร็วยิ่ง”
ทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งดังทักขึ้นจากด้านข้าง ทำให้ต้วนหลิงเทียนหันไปมองตามเสียงโดยไม่รู้ตัว
มองไปปราดเดียวเขาก็เห็นชายหนุ่มในชุดคลุมหรูหรา กำลังเดินมาทางเขาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า ด้านหลังของมันยังมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีดำกับชายวัยกลางคนในชุดเรียบง่ายสีน้ำเงิน
กว่าต้วนหลิงเทียนจะทักกลับ อีกฝ่ายก็มาหยุดลงใกล้ๆเขาแล้ว
“ประมุขน้อย”
คนที่มาหาเขาไม่ใช่ใคร เป็นนายน้อยนิกายบูรพารุ่งโรจน์ หัวเทียนตู้