WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3799 ผู้อาวุโสมังกรดำ หลันอวี่ซาน!
ต้วนหลิงเทียนยังเบนสายตาไปเหลือบมองชายวัยกลางคนข้างๆตงฟางเหยียนเหนียนเช่นกัน และพบว่าบริเวณเอวอีกฝ่ายก็ได้ห้อยแขวนป้ายประจำตัวอาวุโสมังกรขาวเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามันก็เป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์เหมือนตงฟางเหยียนเหนียน
สำหรับชายชราเบื้องหน้าทั้งคู่ ป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนไว้ที่เอว รูปที่แกะสลักเอาไว้นั้นเหมือนวัตถุดิบเหมือนจะเป็นหยกดำบางอย่าง และแกะสลักรูปมังกรดำที่เหมือนจริงเอาไว้
“อาวุโสมังกรดำ!”
ต้วนหลิงเทียนหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาบอกได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายสมควรเป็นผู้อาวุโสมังกรดำที่ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลการแข่งขันมังกรซ่อนวันนี้
ผู้อาวุโสมังกรดำ หลันอวี่ซาน!
วันนั้นที่ต้วนหลิงเทียนนั่งคุยกับตงฟางเหยียนเหนียนและเชวียไห่ชวน เขาก็ได้รับทราบมาว่าคนที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการทดสอบเข้านิกายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นศิษย์ฝ่ายในหรือศิษย์ฝ่ายนอก ชนชั้นอาวุโสมังกรขาวก็เป็นแค่ผู้รับผิดชอบรองลงมาเท่านั้น
ผู้รับผิดชอบหลักจะเป็นผู้อาวุโสมังกรดำ หลันอวี่ซาน คนนี้!
“ผู้อาวุโสมังกรขาว ตงฟางเหยียนเหนียน!”
“คนผู้นั้นคืออาวุโส โหวจี้ฟาง เป็นผู้รับผิดชอบการทดสอบประเมินศิษย์ฝ่ายนอก”
…
หลังทั้ง 3 รวมถึง ตงฟางเหยียนเหนียน ปรากฏตัวออกมา พวกมันก็กลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทันที เหล่าศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งผ่านการทดสอบมา ย่อมรู้จักตงฟางเหยียนเหนียนกับโหวจี้ฟางดี
โหวจี้ฟางก็เป็นอาวุโสมังกรขาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตงฟางเหยียนเหนียน
“นั่นคือ…ผู้อาวุโสมังกรดำรึ!?”
ไม่นานนัก ก็มีผู้ที่ตาไวสังเกตเห็นป้ายที่ห้อยแขวนบริเวณเอวของชายชราที่ยืนอยู่ด้านหน้า จึงอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกๆด้วยความยำเกรง
ชายชราที่ยืนนำอยู่ด้านหน้า มีรูปร่างปานกลางหน้าตาธรรมดาๆ อย่างไรก็ตามทั่วร่างให้ความรู้สึกเสมือนภูเขาไฟที่หลับไหลพร้อมปะทุ สองตาแลดูสงบเฉยเมย ไร้ซึ่งความยินดียินร้ายใดๆ
“เจ้าหนูทั้งหลาย ข้าจะบอกให้ศิษย์หน้าใหม่อย่างพวกเจ้าฟัง…ท่านนั้นคืออาวุโสหลันอวี่ซาน หนึ่งในผู้อาวุโสมังกรดำของนิกายมังกรสวรรค์เรา เป็นยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพขั้นสูง!”
ศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ที่เห็นได้ชัดว่ามาชมดูการแข่งขันมังกรซ่อนเพื่อความสนุก ยิ้มกล่าวกับเหล่าศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งผ่านการทดสอบเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์รอบกาย
การแข่งขันมังกรซ่อนนั้น เป็นเวทีให้ศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งผ่านการทดสอบได้แสดงความสามารถ
และมักจะมีศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์มาร่วมชมการแข่งขันเสมอ ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกนั้น หากไม่ใช่ศิษย์ที่พึ่งเข้าใหม่ คงไม่มีสิทธิ์มาปรากฏตัวที่สังเวียนเหยียนหลงได้
เนื่องเพราะสังเวียนเหยียนหลงนั้น มันอยู่ในพื้นที่ส่วนในของนิกายมังกรสวรรค์ ส่วนศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายนั้นได้รับอนุญาตให้อยู่ในพื้นที่ด้านนอกของเทือกเขาแต่ละแห่งเท่านั้น
เป็นเพราะกฏเกณฑ์ดังกล่าว ทำให้นอกจากศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งผ่านการทดสอบมาหยกๆและมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนแล้ว จะไม่มีศิษย์ฝ่ายนอกที่อยู่ในนิกายมังกรสวรรค์คนเก่ามาปรากกฏตัวที่นี่อยู่เลย และศิษย์ฝ่ายในที่มาชมดูก็ไม่ได้มีมากมายอะไร
สำหรับชนชั้นผู้อาวุโสนั้นยิ่งโผล่มาร่วมชมการแข่งขันน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
รวมแล้วๆก็มีแค่ไม่กี่สิบหรือเต็มที่ก็หลักร้อยคนเท่านั้น ที่จะว่างมาชมดูการแข่งขันมังกรซ่อน พอเทียบกับศิษย์ใหม่และผู้อาวุโสที่ติดตามมาหลักพัน ก็ไม่อาจนับเป็นอะไรได้
“อาวุโสมังกรดำรึ?!”
“ยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันเทพขั้นสูง?!”
…
หลังได้รับทราบอัตลักษณ์ของหลันอวี่ซาน เหล่าศิษย์ที่พึ่งผ่านการทดสอบทั้งฝ่ายในฝ่ายนอกก็อ้าปากค้างกันด้วยความทึ่ง พวกมันจะไม่ตกใจได้อย่างไร
เพราะพวกมันกว่า 9 ส่วนที่ยืนอยู่ที่นี่ เกิดมายังไม่เคยพบเคยเจอตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นสูงเลย
ดังนั้นหลังได้รับทราบว่า ชายชราคนนั้นเป็นถึงผู้อาวุโสมังกรดำที่มีด่านพลังฝึกปรือขอบเขตจอมราชันเทพขั้นสูง ซึ่งจัดเป็นชนชั้นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของนิกายมังกรสวรรค์แล้ว พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะมองชมอีกฝ่ายด้วยสายตาเร่าร้อน มากล้นไปด้วยความเลื่อมใสยากหาใดเปรียบ
“นิกายมังกรสวรรค์ สมแล้วที่เป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ! ข้าพึ่งจะเข้าร่วมนิกายได้ไม่กี่วันก็ได้พบเจอตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นสูงแล้ว! นี่ข้าคงไม่ได้ฝันไปกระมัง?”
“ที่แท้ตัวตนระดับจอมราชันเทพขั้นสูง ก็เป็นเช่นนี้เอง”
“นี่น่ะหรือจอมราชันเทพขั้นสูง?!”
“ในนิกายมังกรสวรรค์ชนชั้นอาวุโสมังกรขาวนั้นมีพลังอำนาจหนือกว่าผู้อาวุโสฝ่ายใน…แต่สถานะของผู้อาวุโสมังกรดำ ยังเหนือกว่าผู้อาวุโสมังกรขาวเสียอีก!”
“ผู้ที่จะสามารถฝึกฝนจนบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นสูงได้ ก็คือผู้ที่ข้ามผ่านหายนะสวรรค์ทุกรอบพันปีมานับครั้งไม่ถ้วน ล้วนเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งททรงพลังทั้งสิ้น!”
“ไม่ทราบหลังจากข้าเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์แล้ว ข้าจะได้มีโอกาสเป็นอย่างท่านผู้อาวุโสหลันอวี่ซานหรือไม่! เป็นจอมราชันเทพขั้นสูง และกลายเป็นอาวุโสมังกรดำที่น่าเกรงขาม!!”
…
การปรากฏตัวของหลันอวี่ซาน ไม่เพียงแต่ทำให้สังเวียนเหยียนหลงที่แต่เดิมเงียบสงบ เริ่มเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงซุบซิบคุยกันเท่านั้น ฟังจากน้ำเสียงแล้วยังได้ยินความเคารพเลื่อมไสชัดเจน
และในปัจจุบันไม่ใช่แค่เหล่าศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายนอกที่พึ่งผ่านการทดสอบมาเท่านั้น กระทั่งผู้อาวุโสที่พาพวกมันมาไม่ว่าจะเป็นคนของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพก็ดี ไม่ใช่ขุมกำลังระดับจอมราชันเทพก็ช่าง แต่ละคนล้วนมองไปยังหลันอวี่ซานด้วยสายตายำเกรงทั้งสิ้น
“ผู้น้อย หัวชุนหมิง ประมุขนิกายบูรพารุ่งโรจน์ขอคารวะใต้เท้าหลันอวี่ซาน!”
ห่างออกไปจากจุดที่หันอวี่ซานยืนอยู่ไม่ไกล ประมุขนิกายบูรพารุ่งโรจน์ในชุดคลุมหรูหรา ได้ก้าวออกมาประสานมือโค้งหัวให้หลันอวี่ซานเล็กน้อยเป็นการคารวะทักทาย ถึงแม้มันจะเป็นถึงประมุขของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพแห่งหนึ่ง แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงผู้อาวุโสมังกรดำ เช่นนั้นไม่เพียงแต่สถานะ กระทั่งพลังฝีมือยังเหนือกว่ามันมาก
และพอหัวชุนหมิงริเริ่มกล่าวคำคารวะออกมา คนอื่นๆก็เริ่มคารวะทักทายหลันอวี่ซานตามๆกัน ท่าทีสุภาพนอบน้อมนัก
กับคนที่ไม่ได้มาจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพยิ่งไม่ต้องพูดถึง
จนเมื่อหลันอวี่ซานยกมือขึ้น ผู้คนโดยรอบจึงเงียบเสียงลง
“ยินดีที่ได้พบทุกท่าน เรื่องทักทายไม่ต้องแล้ว”
หลันอวี่ซานกล่าวคำด้วยน้ำเสียงเฉยเมย แฝงอาการเกียจคร้านอยู่บ้าง “กฏการแข่งขันมังกรซ่อน ข้าเชื่อว่าทุกคนก็คงจะรู้กันดี เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดจะกล่าวใดให้มากความ”
“ต่อไป ข้าจะเปิดใช้ค่ายกลเพื่อสร้างสังเวียนประลอง 10 สังเวียน ชื่อผู้ใดปรากฏขึ้นในสังเวียนไหนก็ให้ขึ้นไปสู้ในสังเวียนนั้น”
“หาก 10 ลมหายใจผ่านไปยังไม่ขึ้นสังเวียน ก็จักถือว่าสละสิทธิ์”
กฏในการแข่งขันมังกรซ่อนนั้น ทุกคนได้รับทราบกันตั้งแต่ 3 วันก่อนตอนที่ผ่านการทดสอบแล้ว
ในรอบแรกของการแข่งขันมังกรซ่อนนั้น ก็คือการเฟ้นหายอดฝีมือ 100 คนในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอก เพื่อไปแข่งขันร่วมกับศิษย์ฝ่ายใน
และหลังการแข่งขันมังกรซ่อนจบลง ศิษย์ฝ่ายนอกคนใดที่สามารถรั้งอยู่ใน 200 อันดับแรกได้ พวกมันก็จะได้รับการยกระดับให้เป็นศิษย์ฝ่ายในทันที
และหลายร้อยคนที่อยู่ด้านล่าง 200 อันดับแรกนั้น จะเป็นศิษย์ฝ่ายนอกอยู่แล้วก็ดี หรือพึ่งผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในมาก็ช่าง ล้วนถือว่าเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์ทั้งหมด
แน่นอนว่าหากใครไม่พอใจที่อุตส่าห์ผ่านการทดสอบศิษย์ฝ่ายในมาได้แต่กลับถูกลดระดับไปเป็นศิษย์ฝ่ายนอก ก็สามารถถอนตัวออกจากนิกายมังกรสวรรค์ได้เลย
กับคนจำพวกนี้ นิกายมังกรสวรรค์ไม่ต้องการ
“ในการทดสอบเมื่อ 3 วันก่อน มี 300 กว่าคนที่สามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายในมาได้…และมีมากกว่า 800 คนที่ผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ฝ่ายนอก”
โหวชิ่งหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียน กล่าวพึมพำออกมาเบาๆ “เฟ้นหายอดฝีมือจำนวน 100 คนจากบรรดาคนทั้ง 800…ข้าเกรงว่ารอบแรกของการแข่งขันมังกรซ่อนจะใช้เวลานานพอสมควร”
ในขณะที่โหวชิ่งหนิงกล่าวพึมพำออกมา หลันอวี่ซานที่ลอยร่างอยู่ในอากาศก็สะบัดมือเบาๆ ส่งจานค่ายกล 10 ให้เหินบินไปหยยุดลงกลางฟ้าห่างกันพอสมควร จากนั้นจานค่ายกลก็เปล่งแสงเรืองรอง ก่อนจะสร้างพื้นที่ดั่งห้องสีเหลี่ยมขนาดใหญ่พอสมควร 10 ห้อง เมื่อจบสิ้นกระบวนการดังกล่าวหลันอวี่ซานก็เอ่ยออกมาสืบต่อว่า “เริ่มการแข่งขันมังกรซ่อนได้”
เรียบง่าย รวบรัด!
ไม่วุ่นวาย ไม่ยุ่งยาก!
ในสายตาของต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆ การแข่งขันมังกรซ่อนอาจเป็นเรื่องจริงจัง แต่ในสายตาของอาวุโสมังกรดำอย่างหลันอวี่ซานแล้ว สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับการละเล่นของเด็กน้อย…
เป็นธรรมดาว่าทุกคนย่อมเข้าใจดี ว่าการแข่งขันมังกรซ่อนในสายตาของตัวตนระดับอาวุโสมังกรดำ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการละเนของเด็กน้อยจริงๆ
พื้นที่กักกันดั่งห้องสี่เหลี่ยมทั้ง 10 ห้องที่กระจายอยู่ทั่วน่านฟ้าสังเวียนเหยียนหลงอย่างไม่แออัด อันเป็นสังเวียนกลางหาวนั้น หลังสิ้นคำกล่าวของหลันอวี่ชิง อยู่ๆมันก็เริ่มเปล่งแสงออกมต่างสีสันกัน
และในตอนนี้เอง แต่ละสังเวียนก็เริ่มปรากฏชื่อ 2 ชื่อขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนยังเห็นร่างทั้ง 10 ร่างที่เหินมาจากขอบฟ้าไกลๆ อยู่ๆก็ไปหยุดลงเบื้องหน้าสังเวียนกลางหาวทั้ง 10
มองจากป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนไว้ที่เอวของแต่ละคน ต้วนหลิงเทียนก็บอกได้ว่าทั้ง 10 เป็นผู้อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์
กวงเทียนเจิ้งที่คิดฆ่าเขา และมาหาเขาถึงตระกูลหลิงหู ก็เป็นชนชั้นอาวุโสฝ่ายในเช่นกัน
แน่นอนว่า เนื่องจากตอนนี้กวงเทียนเจิ้งเสมือนได้เข้าร่วมกับสายของรองประมุขเซวียแล้ว ฐานะของมันในนิกายมังกรสวรรค์ก็ไม่ได้ง่ายดายเหมือนอาวุโสฝ่ายในธรรมดาๆอีกต่อไป
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
พริบตาต่อมา ก็ปรากฏเงาร่าง 20 ร่างเหินขึ้นไปจากพื้นที่รอบๆสังเวียนเหยียนหลง และไม่มีข้อยกเว้น แต่ละคนห้อยแขวนป้ายศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์เอาไว้ทั้งสิ้น
นอกจากนั้นบนป้ายของพวกมันยังมีวดลายพิเศษ บ่งบอกว่าเป็นศิษย์ฝ่ายในที่พึ่งผ่านการทดสอบประเมินศิษย์ฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์ และมีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อน
“เป็นอะไรไป? เจ้ากลัวจะถูกลดระดับจนกลายไปเป็นศิษย์ฝ่ายนอกงั้นรึ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามโหวชิ่งหนิงด้วยรอยยิ้ม
ถึงแม้ผิวเผินโหวชิ่งหนิงจะแลดูสงบ แต่ต้วนหลิงเทียนยังสังเกตเห็นความไม่มั่นใจในส่วนลึกของดวงตาอีกฝ่าย
ศิษย์ฝ่ายใน หากทำผลงานได้ไม่ดีจนร่วงไปอยู่อันดับท้ายๆ จะถูกลดระดับเป็นศิษย์ฝ่ายนอกของนิกาย
แน่นอนว่าที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามก็เลือกใช้การส่งเสียงผ่านพลัง ไม่ได้เอ่ยถามออกมาตรงๆ
โหวชิ่งหนิงที่ได้ยินคำพูดผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน ก็ได้แต่หันมาคลี่ยิ้มแหยๆ “ก็กังวลอยู่บ้าง…”
“เอานี่ไป”
ต้วนหลิงเทียนขยับเข้าไปใกล้โหวชิ่งหนิง ก่อนจะยื่นส่งแหวนพื้นที่วงหนึ่งให้อีกฝ่าย
“อะไรหรือ?”
โหวชิ่งหนิงแปลกใจอยู่บ้าง
“ก็ไม่อะไรหรอก”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยคำเสียงเบา “แค่อุปกรณ์เทพขั้นสูง”
“หา! อุปกรณ์เทพขั้นสูง!?”
พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หน้าโหวชิ่งหนิงก็เปลี่ยนสีไปทันที กระทั่งแหวนที่รับมาถือไว้ยังเสมือนมีน้ำหักเพิ่มขึ้นหลายพันชั่ง “ต้วนหลิงเทียน นี่มันมีค่ามากเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก…”
“ข้าให้ยืมเฉยๆ”
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่บ้าง “ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าไปเลยรึ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นของโหวชิ่งหนิง เริ่มเปลี่ยนเป็นสีตับหมูด้วยความอายทันที แต่จากนั้นไม่นานนักมันก็สงบลง และกล่าวขอบคุณต้วนหลิงเทียนออกมา “แม้จะผิดหวังอยู่บ้าง…แต่น้ำใจนี้ของเจ้าข้าขอบคุณมาก”
จังหวะนี้โหวชิ่งหนิงก็ไม่คิดเกรงใจต้วนหลิงเทียนอีกต่อไป
ถึงแม้ในความคิดมัน 9 ใน 10 ต้วนหลิงเทียนอาจมีอุปกรณ์เทพขั้นสูงในครอบครองแค่ชิ้นเดียว แต่การแข่งขันมังกรซ่อนก็จัดการได้ดีไม่น้อย คงไม่คิดส่งศิษย์ฝ่ายในที่แข็งแกร่งออกไปสู้กันตั้งแต่ช่วงแรกๆ
และด้วยพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน หากพบเจอศิษย์ที่พลังฝีมืออ่อนด้อย ต่อให้ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เทพขั้นสูงก็คงเอาชนะได้ง่ายดาย
กว่าที่ต้วนหลิงเทียนจะพบเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจนต้องใช้อุปกรณ์เทพขั้นสูง มันไม่พ้นคงต้องถูกกำจัดไปนานแล้วถึงแม้จะมีอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ต้วนหลิงเทียนให้ยืมก็ตาม เช่นนั้นก็แค่คืนไปก็จบ
มันย่อมตระหนักถึงเรื่องนี้ดีจึงไม่เกรงใจ
“เจ้ายังมีหน้ามาผิดหวังอีกรึ? เจ้านี่มันจริงๆเลย”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหน้าไปมาพลางถลึงตากล่าว
จากนั้น ในขณะที่โหวชิ่งหนิงกำลังคลี่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน สายตาต้วนหลิงเทียนก็เบนไปตกยังร่างมู่หรงอวิ๋นเยว่ ก่อนจะส่งเสียงผ่านพลังไปถึงนาง