WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3835 3 เมืองหย่าศึก
ตอนที่ 3,835 : 3 เมืองหย่าศึก
ครืนนนน!!
วู้มมม!!
…
ทันใดนั้นเอง เสียงกึกก้องหนึ่งพลันดังขึ้นจากเทือกเขาแห่งหนึ่งของนิกายมังกรสวรรค์ จากนั้นช่องทางมิติที่เปิดให้คนไม่กี่คนได้เข้าสู่ระนาบสนามรบก่อนเพื่อเตรียมการ แต่เดิมที่ไม่เสถียร ก็เสถียรในที่สุด
ตอนนี้ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง ปรากฏประตูมหึมาลอยล่องกลางหาว แม้จะบอกว่าเป็นประตูแต่มันก็คือวังวนมิติอันมืดดำลักษณะคล้ายหลุมดำอันน่ากลัว ที่ไม่ทราบจะนำไปสู่ที่ใด…
ขณะเดียวกันพื้นที่ด้านล่าง ก็ปรากฏอาคารใหม่เอี่ยมอ่องปลูกสร้างเรียงรายเต็มไปหมด และทุกอาคารก็เต็มไปด้วยผู้คน
ผู้คนเหล่านี้จะผลัดกันมานั่งเฝ้าประตูมิติซึ่งเป็นช่องทางเข้าสู่ระนาบสนามรบศึกจักรพรรดิของนิกายมังกรสวรรค์ และอย่างน้อยๆก็ต้องเป็นชนชั้นอาวุโสฝ่ายใน ยังมีอาวุโสมังกรขาวมากมาย และจะมีอาวุโสมังกรดำที่ทำหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อยหลักอีกคนสองคนเป็นประจำ
ฟุ่บ!
เหนือเทือกเขา ปรากฏร่างสูงใหญ่หนึ่งเหินลอยขึ้นมาบนฟ้า จากนั้นพลังทั่วร่างก็ลุกโชนขึ้นมาปานเพลิงไฟ ก่อเกิดเงาร่างมหึมาหนึ่งที่ค่อยๆกลับกลายเป็นมีสภาพยืนหยัดอยู่บนพื้น
ผู้ที่สร้างร่างมหึมาดังกล่าว เป็นชายวัยกลางคนสูงใหญ่ไม่ต่ำกว่า 2 หมี่ แต่เนื่องจากตัวมันหนาเกินไป ทำให้มองจากไกลๆไม่คล้ายคนสูง 2 หมี่สักเท่าไหร่ เสมือนคนทั่วไปที่สูงราวๆ หนึ่งหมี่เจ็ดเท่านั้น
เพราะมันไม่ได้สูงอย่างเดียวแต่ตัวยังหนาบึก เรียกว่าขนาดตัวของมันให้สตรี 2 คนยืนเคียงข้างกันยังบังมิด
ใบหน้าของมันฉายชัดถึงความหนักแน่นมั่นคง แม้จะเฉยๆไม่ได้มีโทสะอะไร แต่ก็ให้ความรู้สึกสง่างามน่าเกรงขาม เสมือนเป็นเจ้าคนนายคนมานาน
และมันก็คือประมุขนิกายมังกรสวรรค์คนปัจจุบัน หลงฉิงชง
หลงฉิงชงคนนี้ยังเป็นศิษย์ปิดสำนักของอดีตประมุขเฒ่าแห่งนิกายมังกรสวรรค์ ตัวมันเดิมทีเป็นเด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตร แต่ถูกอดีตประมุขผู้เฒ่าเก็บมาเลี้ยง เดิมทีมันก็อยากใช้แซ่เดียวกับอดีตประมุขเฒ่า แต่อดีตประมุขเฒ่ากลับให้มันใช้แซ่ ‘หลง’ ซึ่งมาจากชื่อนิกาย ที่แปลว่ามังกร
ส่วนชื่อของมันก็เป็นอดีตประมุขผู้เฒ่าตั้งให้เช่นกัน
แม้มันจะเข้านิกายมาทีหลัง แต่หลงฉิงชงที่ไม่ได้มีพรสวรรค์กับความเข้าใจอะไรมากมาย กลับใช้ความขยันหมั่นเพียรและความอุตสาหะมากกว่าคนธรรมดาหลายเท่า จนในที่สุดก็มีวันนี้ได้
ตัวมันวันนี้ แม้ความแข็งแกร่งจะยังเทียบอาจารย์ไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอดีตประมุขเฒ่ามากนัก
อย่างน้อยๆก็มีข่าวลือว่า พลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสมังกรทอง
“3 วันหลังจากนี้ ศึกจักรพรรดิจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ”
หลงฉิงชงที่ใช้พลังสร้างร่างมหึมาปานมหายักษ์ จนสูงตระหง่านเทียมฟ้า สะบัดมือขึ้นฟ้าจนความว่างเปล่าสะท้านสะเทือน หมู่เมฆกระจัดกระจาย ก่อนจะประกาศคำออกมาเสียงดัง
“ศิษย์นิกายขอบเขตราชาเทพทั้งหลาย จงเตรียมตัวให้พร้อมและปฏิบัติตามกฏที่ทางนิกายกำหนด…หากพวกเจ้าคนใดปฏิบัติตามกฏของนิกายอย่างเคร่งครัด ทางนิกายย่อมไม่เอาเปรียบ แต่หากผู้ใดคิดเล่นไม่ซื่อหมายลากถ่วงนิกาย ก็อย่าได้โทษที่นิกายอำมหิต!”
วาจาท้ายประโยคของหลงฉิงชง คล้ายแผ่พลังกดดันออกมาไม่น้อย ทำให้คนของนิกายมังกรสวรรค์ที่ออกมาชมดูเรื่องราวหลายคนหน้าเปลี่ยนสี
“ในที่สุด…ศึกจักรพรรดิก็จะเริ่มขึ้นแล้ว!”
“ข้าแทบรอเข้าไปลุยไม่ไหวแล้วเนี่ย!”
“หลังจากนี้ 3 วันรึ? เช่นนั้นข้าหยุดบ่มเพาะพลังแล้วไปใช้คะแนนอุทิศแลกเปลี่ยนของจำเป็นดีกว่า…ใช้ให้หมดไปเลยก็น่าจะดี สุดท้ายถ้าข้าตายไป คะแนนอุทิศที่เหลือไว้ไม่ได้ใช้ก็เท่ากับสูญไปเปล่าๆ เอาไปแลกของช่วยชีวิตดีกว่า”
“ในที่สุดก็ได้เวลาเสียที ในเมื่อมิอาจหลีกเลี่ยง…เช่นนั้นก็สู้กันสักตั้ง! 3 วันหลังจากนี้ลองหาดูว่ามีใครจะร่วมกลุ่มเข้าไปลุยด้านในกับพวกเรา!”
…
ในฐานะที่เป็นถึงประมุขนิกายของนิกายมังกรสวรรค์ เมื่อหลงฉิงชงประกาศออกมาว่าศึกจักรพรรดิจะเริ่มต้นขึ้นในอีก 3 วันหลังจากนี้ ทั่วทุกแห่งหนของนิกายมังกรสวรรค์ที่เคยสงบ ก็กลับกลายเป็นตึกตักมีชีวิตชีวากันทันที
สถานที่พักของศิษย์ฝ่ายในก็เช่นกัน
เสียงของหลงฉิงชงประมุขนิกายมังกรสวรรค์ ไม่เพียงจะดังไปทั่วเขตนิกายมังกรสวรรค์เท่านั้น ยังมีพลังอำนาจทะลุทะลวงข่ายอาคมปิดกั้นเสียงจากค่ายกลป้องกันอีกด้วย ต่อให้เป็นผู้ที่กำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ เสียงของมันก็ส่งตรงถึงหูแน่นอน
กระทั่งมีหลายคนในนิกายมังกรสวรรค์ ที่เร่งรุดส่งข้อความไปหาสหายหรือเหล่าศิษย์ที่ไม่ได้อยู่ในนิกายให้กลับมาทันที เพื่อไม่ให้พลาดการเข้าศึกสนามรบศึกจักรพรรดิ
แน่นอนสำหรับเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสที่ได้รับมอบหมายให้ไปดูแลกิจการห้างร้าน หรือทำหน้าที่ต่างๆนอกนิกาย แม้ว่าจะต้องกลับมาเข้าร่วมศึกจักรพรรดิเช่นกัน แต่ข้อกำหนดหรือภารกิจที่พวกมันต้องทำในศึกจักรพรรดิก็ลดน้อยลงอย่างมาก
อย่างเช่นศิษย์ของนิกายมังกรสวรรค์ที่อยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ เพียงแค่ต้องฆ่าศิษย์ของนิกายมหาเอกะขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำเหมือนกัน 1 คน ทุกๆ 3 เดือนเท่านั้น จากนั้นก็นำป้ายประจำตัวของอีกฝ่ายมาเป็นเครื่องพิสูจน์
นี่คือภารกิจหลักสำหรับพวกมัน
สำหรับศิษย์ที่ได้รับมอบหมายให้ออกไปดูแลกิจการด้านนอก แม้จะมีภารกิจเช่นกัน แต่ก็ง่ายกว่ากันมาก เพราะแค่ต้องฆ่าศิษย์ของนิกายมหาเอกะที่มีด่านพลังสอดคล้องกับตัวเอง 1 คนทุกๆครึ่งปี และนำป้ายประจำตัวอีกฝ่ายมาส่งภารกิจเท่านั้น
หากราชาเทพขั้นต่ำคนใด ไม่อาจทำตามภารกิจที่ทางนิกายกำหนดได้ทันเวลา ก็จะถูกบีบบังคับให้เข้าสู่สนามรบราชาเทพ จนกว่าจะทำตามภารกิจได้สำเร็จ ถึงจะกลับออกมาได้
กล่าวได้ว่าหากเป็นราชาเทพขั้นต่ำ ที่ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลกิจการภายนอกของนิกาย ถ้าไม่อาจฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำได้เลยภายในเวลา 3 เดือน มันก็จะถูกบีบบังคับให้เข้าสู่สนามรบราชาเทพ และต้องอยู่ในนั้นจนกว่าจะทำภารกิจได้สำเร็จ…
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่แค่ต้องฆ่าส่วนของ 3 เดือนที่ผ่านมา ยังต้องฆ่าส่วนของ 3 เดือนใหม่อีกด้วยถึงจะออกมาได้
กล่าวได้ว่าต้องทำภารกิจในรอบ 3 เดือนให้เสร็จถึง 2 รอบถึงจะออกมาได้นั่นเอง
ส่วนราชาเทพขั้นกลางหรือสูงกว่านั้น พวกมันยังต้องทำตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายเช่นกัน…อย่างไรก็ตามราชาเทพขั้นกลางนั้นไม่จำเป็นต้องฆ่าราชาเทพขั้นกลาง 1 คนเพื่อจบภารกิจ แต่สามารถเลือกจะฆ่าราชาเทพขั้นต่ำ 5 คนได้แทน
สำหรับราชาเทพขั้นสูง หากไม่มีพลังมากพอจะฆ่าราชาเทพขั้นสูงของนิกายมหาเอกะ ก็จำต้องฆ่าราชาเทพขั้นกลาง 5 คนแทน หรือจะฆ่าราชาเทพขั้นต่ำ 25 คนแทนก็ไม่ว่ากัน
สรุปได้ว่ายิ่งด่านพลังฝึกปรือสูง เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์ก็ต้องทำภารกิจที่ยากขึ้น
และนี่เป็นกฏเกณฑ์อันเข้มงวดของนิกายมังกรสวรรค์ในการทำศึกจักรพรรดิ…ไม่มีใครสามารถฝ่าฝืนได้
อย่างมากที่สุด ก็คือเหล่าศิษย์และอาวุโสที่มีหน้าที่ดูแลกิจการนอกนิกาย ที่ได้รับอภิสิทธิ์บางอย่าง แต่ก็แค่มีเวลาเพิ่มกว่าเท่าตัวเท่านั้น พวกมันก็ยังต้องเข้าสู่สนามรบศึกจักรพรรดิ เพื่อฆ่าคนของนิกายมหาเอกะอยู่ดี
“ภารกิจขั้นพื้นฐานไม่อาจนำไปแลกแต้มรบได้…มีแต่ต้องทำภารกิจขั้นพื้นฐานให้เสร็จก่อน หลังจากนั้นป้ายประจำตัวของศิษย์นิกายมหาเอกะที่ฆ่าได้ถึงจะนำไปแลกแต้มรบในเมือง ‘สันติ’ ที่มีขุมพลังระดับจักรพรรดิเทพของขุมกำลังจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าในเขตคฤหาสน์ตงหลิงเฝ้าอยู่….แถมแต้มรบของพวกเรายังสามารถแลกเปลี่ยนได้ทั้งทรัพยากรของนิกายมังกรสวรรค์เราเองกับนิกายมหาเอกะ”
“และในฐานะที่พวกเราเป็นศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ แต้มรบที่พวกเราได้มาก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นคะแนนอุทิศของนิกายได้เช่นกัน…เพราะหากแต้มรบเหลือและศึกจักรพรรดิจบลง เพื่อไม่ให้เสียเปล่า ทางนิกายจึงอนุญาตให้พวกเราสามารถใช้แต้มรบแลกเป็นคะแนนอุทิศได้…”
ตอนนี้ ติงเหยียน โหวชิ่งหนิง และมู่หรงอวิ๋นเยว่ ก็ได้มารวมตัวกันในลานบ้านของต้วนหลิงเทียน ด้านนอกก็เห็นเหล่าศิษย์ฝ่ายในมากมายกำลังประลองชี้แนะกันอยู่
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนได้เปิดใช้ค่ายกลกระจกสองด้าน ซึ่งทำให้สามารถแลเห็นเรื่องราวด้านนอกได้ โดยที่ด้านนอกไม่อาจแลเห็นเรื่องราวภายในลานของต้วนหลิงเทียน แต่สิ่งนี้เป็นธรรมดาว่าไม่อาจปิดกั้นสำนึกเทวะของผู้ที่สอดรู้สอดเห็นได้
แต่โดยปกติแล้ว ก็ไม่มีใครคิดจะทำอะไรแบบนั้น เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องผู้อื่น
“สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดก็คือ…แต้มรบนั่นหากไม่ถึงเวลาใกล้จบศึกจักรพรรดิจริงๆ ไม่ต้องรีบแลกเป็นคะแนนอุทิศจะดีกว่า เพราะอะไรก็ตามที่คะแนนอุทิศใช้แลกได้ แต้มรบก็ใช้แลกได้เช่นกัน เว้นแต่มันจะเหลือเศษตอนใกล้จบแล้วจริงๆ”
“อีกทั้งสิ่งที่สามารถใช้แต้มรบแลกได้ ไม่ใช่ว่าจะใช้คะแนนอุทิศแลกได้เสมอไป”
“เพราะตอนมีศึกจักรพรรดิ ไม่ว่าจะนิกายมังกรสวรรค์เราหรือนิกายมหาเอกะก็ได้เปิดคลังสมบัติ เปิดเผยทรัพยากรออกมาหมดสิ้นไม่มีหมกเม็ด และไม่อาจหมกเม็ดใดๆโดยง่าย เพราะขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าในเขตคฤหาสน์ตงหลิงได้ส่งคนมาตรวจสอบโดยละเอียด…เช่นนั้นในเมืองสันติ แต้มรบย่อมมีคุณค่ามากกว่าคะแนนอุทิศจมหู เพราะมันสามารถใช้แลกเปลี่ยนของดีๆที่พวกเราไม่เคยเห็นได้!”
“คะแนนอุทิศที่แต่ก่อนคนบ่นว่าหายากนักยากหนา ตอนนี้พอมามีแต้มรบเสมือนกลายเป็นไร้ค่าไปเลย…”
ฟังจากสิ่งที่โหวชิ่งหนิงพูด เห็นได้ชัดว่ามันเข้าใจสภาพเรื่องราวการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ของศึกจักรพรรดิดี
“แล้วหลังจากเข้าสู่สนามรบศึกจักรพรรดิแล้วพวกเจ้าจะเอาอย่างไร จะไปกับข้าหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเองก็คงรู้กันแล้ว ว่าภายในสนามรบย่อยต่างๆไม่อาจส่งข้อความหากันได้…มีแต่กลับออกมายัง ‘3 เมืองหย่าศึก’ เท่านั้น ถึงจะใช้ลูกแก้ววิญญาณติดต่อกันได้”
3 เมืองหย่าศึกที่ว่า ก็คือเมืองมังกรสวรรค์ที่นิกายมังกรสวรรค์สร้างไว้เป็นสถานที่พักของคนนิกายมังกรสวรรค์ นอกจากนั้นก็มีเมืองมหาเอกะ ที่นิกายมหาเอกะสร้างไว้ให้คนนิกายมหาเอกะใช้พัก สุดท้ายก็เป็นเมืองสันติที่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าของเขตคฤหาสน์ตงหลิงรวมถึงนิกายหยางพิสุทธิ์สร้างไว้เป็นที่พัก
เมืองมังกรสวรรค์ แน่นอนว่าไม่อนุญาตให้คนของนิกายมหาเอกะเข้ามา ด้านเมืองมหาเอกะก็ไม่อนุญาตให้คนของนิกายมังกรสวรรค์เข้าไปเช่นกัน
ส่วนเมืองสันตินั้น ผู้คนจากทั้ง 2 นิกายสามารถเข้าไปได้ แต่ไม่อาจลงมือต่อสู้ใดๆทั้งสิ้น เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ลงมือ จะถูกคนจากขุมกำลังระดับจักรพรรดิชั้นแนวหน้าของเขตคฤหาสน์ตงหลิงฆ่าทิ้งทันที
แม้แต่จอมราชันเทพขั้นสูงก็ไม่เว้น!
ภายในเมืองสันติ จะมีมหาอำนาจขอบเขตจักรพรรดิเทพดำรงอยู่ แถมยังมีมากกว่า 1 คน กล่าวได้ว่าขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าในเขตคฤหาสน์ตงหลิง อย่างน้อยๆก็จะส่งตัวตนระดับจักรพรรดิเทพมาเฝ้าเมืองสันติไว้ 1 คน เพื่อควบคุมดูแลความเรียบร้อย
และมีทางเข้าออก 3 ทาง ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองมังกรสวรรค์ เมืองมหาเอกะ และเมืองสันติ
“ข้าไม่ไปกับเจ้าดีกว่า”
โหวชิ่งหนิงส่ายหน้าไปมาพลางกล่าว “ข้าเป็นแค่ศิษย์ใหม่ขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น ข้าติดตามผู้ดูแลที่ทางนิกายจัดหาให้จะดีกว่า…เพราะหากข้าตามเจ้าไป ก็มีแต่จะลากถ่วงเจ้าเปล่าๆ”
โหวชิ่งหนิงรู้ตัวดี
ระนาบสนามรบศึกจักรพรรดิไม่เพียงแต่เป็นโอกาสดีสำหรับมันเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสดีของต้วนหลิงเทียนอีกด้วย
หากมันติดตามต้วนหลิงเทียนไป ก็มีแต่จะลากถ่วงต้วนหลิงเทียนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง นั่นไม่ใช่อะไรที่เพื่อนควรทำ
ในฐานะที่เป็นเพื่อนของต้วนหลิงเทียน มันก็หวังว่าต้วนหลิงเทียนจะได้รับสิ่งดีๆมากเท่าที่จะทำได้ ในช่วงเวลาสั้นๆ
“เอาแบบนั้นก็ได้”
เมื่อเห็นสายตาแน่วแน่ของโหวชิ่งหนิง ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ จึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความ เพียงพยักหน้าตอบรับ “ศิษย์ขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำที่เป็นศิษย์ใหม่ของนิกาย ไม่เพียงจะมีผู้ดูแลฝ่ายนอกที่เป็นราชาเทพขั้นสูงนำ ยังมีศิษย์ขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำอีกหลายคนไปด้วย มีคนเยอะอันตรายที่พบเจอก็จะน้อยลง”
สำหรับมู่หรงอวิ๋นเยว่นั้นต้วนหลิงเทียนไม่ถาม เพราะอีกฝ่ายเลือกที่จะอยู่กับโหวชิ่งหนิงแน่นอน
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนดูก็รู้ว่าม่านสุดท้ายระหว่างทั้งคู่ยังไม่ถูกทำลาย เพียงแต่ทั้งคู่ก็แลดูสนิทสนมกันมากขึ้นถึงแม้จะยังไม่ได้มีอะไรกันก็ตาม
“ติงเหยียนแล้วเจ้าล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองถามติงเหยียนต่อ
ติงเหยียนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ข้าไม่คิดจะติดตามผู้ดูแลฝ่ายนอก…ข้าได้กลุ่มเล็กๆของข้าแล้ว ซึ่งเป็นเพื่อนที่ข้ารู้จักในนิกายหลังข้ามาอยู่ที่นี่ได้สักพัก ข้านัดกับพวกมันไว้แล้วว่าศึกจักรพรรดิเริ่มขึ้นเมื่อไหร่จะเข้าไปลุยด้วยกัน”
“ที่สำคัญความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้ก็ด้อยกว่าเจ้ามาก ไปกับเจ้าก็มีแต่ฉุดรั้งเจ้าเท่านั้น”
กล่าวถึงจุดนี้ ติงเหยียนก็สังเกตเห็นคิ้วที่ขดย่นของต้วนหลิงเทียน จึงเร่งกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้วนหลิงเทียน ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบให้พวกเราพูดว่าพวกเราเป็นตัวถ่วง และเจ้าก็ไม่เคยคิดว่าพวกเราเป็นตัวถ่วง แต่เจ้าเองก็ต้องเข้าใจพวกเราด้วย”
“เพราะพวกเราเป็นสหายเจ้า ในเมื่อเป็นสหายกัน พวกเราก็อยากให้สหายได้ดี”
“เจ้าไปกับพวกเรา พวกเราแน่นอนว่าต้องช้ากว่า แถมศัตรูที่สู้ได้ก็มีจำกัด แถมเจ้าต้องยังมารอพวกเราสู้อีก…นี่ไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาเปล่าหรือ?”
“ที่สำคัญถ้ามีเจ้าอยู่พวกเราก็เสมือนมีขาใหญ่พาไปเดินเล่น ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหน สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเรายากจะก้าวหน้าเช่นกัน”
��