WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3859 พวกเจ้าคิดจะทำอะไร
หลังได้ยินคาเตือนของต้วนหลิงเทียนลูกตาของติงเหยียนก็หดเล็กลงทันที่จากนั้นก็รีบกล่าวขอโทษออกมา “ต้วนหลิงเทียน เรื่องนี้ข้ากลับลุมไปสนิทเลย…ข้าถูกเรื่องเทพซ่อนของตัวตนระดับจักรพรรดิเทพบดบังสติหมดสิ้น จึงลืมนึกไปว่าเจ้าอาจตกอยู่ในอันตรายได้หากออกนอกเขตนิกายมังกรสวรรค์ …”
ในฐานะสหายของต้วนหลิงเทียน ตั้งแต่ที่ได้พบเจอต้วนหลิงเทียนอีกครั้งในนิกายมังกรสวรรค์ ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้เล่าเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างนิกายหมื่นปีศาจออกมาชัด ๆ แต่ติงเหยียนก็รู้เรื่องนี้จากโหวชิ่งหนึ่งอยู่ดี
“ไม่เป็นไรหรอก”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “อย่าว่าแต่ระนาบศึกจักรพรรดิเปิดออกแล้ว จนทุกคนเอาแต่สนใจเรื่องศึกจักรพรรดิเลย…ต่อให้จะมีคนคิดเล่นงานข้า พวกมันก็ไม่กล้าลงมือหรอก”
“หรือพวกมันจะเสี่ยงฆ่าข้าทันทีหลังข้าออกจากินกายมังกรสวรรค์พวกมันไม่กลัวฆ่าร่างอวตารกฏข้ารึไง ?”
“ข้าไม่ใช้ชนพื้นเมืองของระนาบเทพไร้สายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดไหลเวียนในกาย ข้าย่อมควบแน่นพลังสร้างร่างอวตาร กฏได้ตามใจชอบ…และการสูญเสียรู้างอวตารกฏ ก็ไม่ได้ส่งผล กระทบต่อร่างจริงข้ามากมายอะไร อย่างมากข้าก็แค่เสียเวลา ควบแน่นพลังสร้างร่างอวตารกฏที่ถูกทาลายใหม่เท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
“ต้วนหลิงเทียน”
ติงเหยียนเอ่ยออกเสียงขรึม “เช่นั้น นเจ้าให้ร่างอวตารกฏของเจ้าไปกับข้าเถอะ…หากเจ้าไปด้วยร่างจริงมันจะเสี่ยงเกินไป”
“ด้วยพลังของเจ้าตอนนี้ ข้าเชื่อว่าต่อให้ส่งแค่ร่างอวตารกฏมิติมาก็ไม่มีใครสามารถสู้ พวกเราได้ แน่นอน”
ติงเหยียนกล่าว
“ติงเหยียน แล้วเจ้ามั่นมใจได้อย่างไร…ว่าที่เจ้ากำลังเห็นอยู่ไม่ใช้ร่างอวตารกฏ”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังไปถามติงเหยียนด้วยรอยยิ้ม
ติงเหยียนที่ได้ยินดังนั้น สองตาก็หรี่ลงทันที่จากนั้นใบหน้าก็ค่อย ๆ ผ่อนคล้าย โล่งใจขึ้นมาไม่น้อย
“ไปกันเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนทักติงเหยียน
ติงเหยียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็เหินร่างออกจากินกายมังกรสวรรค์ไปกับต้วนหลิงเทียน
และไม่ทันที่ทั้งคู่จะออกจากินกายมังกรสวรรค์ อาวุโสฝ่ายในกวงเทียนเจิ้งก็ได้รับข่าวเรื่องความเคลื่อนไหวของทั้งคู่แล้ว “ต้วนหลิงเทียนกับติงเหยียนกำลังจะออกจากินกายมังกรสวรรค์เช่นั้นนรึ?”
“ใช้”
ผู้ที่มาแจ้งเรื่องราวความเคลื่อนไหวของพวกต้วนหลิงเทียนให้กวงเทียนเจิ้งทราบ ก็ไม่ใช้ใครที่ไหนี้เป็นจงซ่านศิษย์คนรองของกวงเทียนเจิ้งเอง
ในขณะที่ดวงตาของกวงเทียนเจิ้งกำลังทอประกายสุกใส จงซ่านก็ขมวดคิ้วกล่าวเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม ข้าได้ยินจากคนที่ข้าส่งไปลอบจับตาดูต้วนหลิงเทียน…เห็นว่าต้วนหลิงเทียนั่นน ก่อนที่มันจะออกเดินทางไปกับติงเหยียนมันได้เปิดใช้ค่ายกลปิดกั้นของบ้านพัก…”
กล่าวถึงจุดนี้จงซ่านก็หยุดลง ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าน้ำเสียงกังวล “ทานอาจารย์ เท่าที่ข้าทราบมาต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมีันไม่มี
สายเลือดของผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในกาย…ทั้งมันยังเคยใช้ร่างอวตารกฏมิติออกมาแล้วด้วย”
“ต้วนหลิงเทียนที่ออกจากบ้านพักแล้วไปกับติงเหยียน…จะเป็นแค่ร่างอวตารกฏมิติของมัน หรือไม่ ?”
ทันทีที่จงซ่านเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมา คิ้วของกวงเทียนเจิ้งก็ขดย่นี้เป็นปม “มันใช้ค่ายกลปิดกั้นบ้านพักทั้งหมด ?”
“ใช้”
จงซ่านพยักหน้า “เว้นเสียแต่ค่ายกลปิดกั้นบ้านพักของมันจะถูกทาลาย หาไม่แล้วพวกเราไม่อาจยืนยันได้เลยว่าร่างจริงของมันยังอยู่ในบ้าน หรือไม่”
“แต่เรื่องนี้ก็เสี่ยงเช่นกัน”
“แถมคนที่ข้าส่งไปจับตาดูมัน ก็ไม่อาจิตดตามมันไปทุกฝีก้าว…สุดท้ายก็เสี่ยงจะถูกมันค้นพบ”
“นอกจากนั้นระหว่างทาง มันก็มโอกาสทิ้งร่างจริงไว้ได้ทุกเมื่อ”
“เช่นั้นนมโอกาสเดียวเท่านั้น ที่จะยืนยันได้ว่าร่างที่กำลังออกไปตอนนี้ที่แท้เป็นร่างจริงหรือร่างอวตารกฏ…นั่นคือต้องไปตรวจสอบมันตอนนี้เลยว่าตกลงเป็นอะไรกันแน่”
“ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช้อะไรที่จะตรวจสอบได้ง่าย ๆ โดยใช้สำนึกเทวะ…อย่างน้อยหากมันตั้งใจปกปิด ต่อให้เป็นจอมราชันเทพขั้นสูงก็ยากค้นพบ”
“เว้นเสียแต่จะเป็นสำนึกเทวะของตัวตนระดับจักรพรรดิเทพขั้นสูง ที่มีระดับพลังฝึกปรือสูงกว่ามันถึง 2 ขอบเขต”
คำพูดของจงซ่านยิ่งมาก็ยิ่งทำให้คิ้วกวงเทียนเจิ้งขดเป็นปมแน่น
สุดท้ายกวงเทียนเจิ้งก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ข้าเข้าใจแล้ว”
“หลังจากนี้ข้าจัดการเอง…เจ้าเองก็ไปใช้เวลาอยู่กับศิษย์สะใภ้เถอะ ข้าเห็นแล้วว่านางให้ความสำคัญกับเจ้ามากขึ้นาดไหน”
“ดูแลนางให้ดี ใส่ใจนางให้มาก”
กล่าวจบ กวงเทียนเจิ้งก็ถอนหายใจ “เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถอะ”
“ทานอาจารย์ หากมีสิ่งใดอีก โปรดบอกข้ามาเถอะ”
ก่อนจากไป จงซ่านก็เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“อืม”
กวงเทียนเจิ้งพยักหน้ารับคาอย่างขอไปที่ไม่ทราบว่าได้ฟังหรือไม่ได้ฟังกันแน่
อย่างไรก็ตาม พอจงซ่านหันหลังและกำลังจะกลับ กวงเทียนเจิ้งก็ส่งข้อความออกไปทันที่
แน่นอนว่า ข้อความดังกล่าวไม่ได้ส่งให้จงซ่าน
“เหมิงซาน ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นมีิคาดกลับเล่นเลห์อาพรางไว้ก่อนไป…คราวนี้เกรงว่าข้าต้องรบกวนเจ้าแล้ว ช่วยไปยืนันให้ข้าหน่อยเถอะว่าต้วนหลิงเทียนที่กำลังออกเดินทางที่แท้เป็นร่างอวตารกฏหรือร่างจริง”
กวงเทียนเจิ้งกล่าวด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “หากเจ้าเปลื่ยนใจและไม่อยากทาเรื่องนี้เพียงบอกอาจารย์ อาจารย์จะได้หาคนอื่น”
พอกวงเทียนเจิ้งพูดมาแบบนี้อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเร็วไว “ทานอาจารย์ หากไม่ได้ท่านช่วยไว้ข้าคงตายไปเนิ่นนานแล้ว…อีกทั้งแม้
ข้าจักไร้พรสวรรค์ทั้งโง่งมอ่อนด้อยกว่าผู้ใดในบรรดาเหล่าศิษย์ของท่าน แต่ท่านก็ยังไม่ทอดทิ้งและยึดถือว่าข้าเป็นศิษย์คนหนึ่งอีกทั้งที่ข้าทะลวงมาถึงจอมราชันเทพขั้นต่ำได้ ก็เป็นเพราะทานอาจารย์เมตตาสนับสนุนข้าอย่างดี”
“แม้ตอนนี้ตัวข้าจะยังปลอดภัยอยู่ดี และมีชีวิตได้อีกสองสามพันปี…อย่างไรก็ตาม หายนะสวรรค์ครั้งสุดท้ายที่ผ่านมาก็ทำให้ข้าเห็นดเหนีอยมากแล้ว”
“คราวนี้หากข้าได้ทำอะไรที่สามารถช่วยทานอาจารย์กับศิษย์น้องได้ ย่อมถือเป็นเกียรติอันสูงสุดของข้า!”
เมิงซานคนนี้ยังเป็นศิษย์คนโตของกวงเทียนเจิ้ง
และในเมือด่านพลังมันบรรลุถึงจอมราชันเทพขั้นต่ำ เมิ่งซานจึงได้เป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์ และมักอาศัยอยู่ในฝ่ายนอกของนิกาย
…
นอกเขตนิกายมังกรสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างเดินทางภายใต้คำชี้นาของติงเหยียนอย่างไม่รีบไม่ร้อน
ในที่สุดหลังจากเหาะเหินเดินทางกันมาครึ่งคือ นิวัน ต้วนหลิงเทียนที่ตามติงเหยียนก็มาถึงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง และได้พบเจอศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ 2 คนที่นัดกับติงเหยียนเอาไว้
นอกจากศิษย์ฝ่ายใน 2 คนั่นนแล้วยังมีอีก 4 คนที่ติงเหยียนไม่คุ้นหน้า
อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนไว้บริเวณเอวของทั้ง 4 เห็นได้ชัดว่าพวกมันก็เป็นศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์เช่นกัน
“ติงเหยียน”
พอติงเหยียนกับต้วนหลิงเทียนมาถึง ศิษย์ฝ่ายในทั้ง 2 คนที่ชวนติงเหยียนไปเทพซ่อนที่อาจเหลือไว้โดยจักรพรรดิเทพขั้นสูง ก็เร่งทักทายติงเหยียนกับต้วนหลิงเทียน และทำการแนะนำอีก 4 คนให้ติงเหยียนรู้จัก
ไม่นานติงเหยียนก็ได้รู้ชื่อของทั้ง 4 คน
“ส่วนคนผู้นี้ ข้าคงไม่ต้องแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักแล้วกระมัง ?”
กล่าวถึงจุดนี้ คนทั้ง 4 ก็โพล่งออกมาพร้อมกัน “ต้วนหลิงเทียน!”
สำหรับศิษย์ฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนคือตัวตนอันน่าสะพรั่งกลัว ต่อให้พวกมัน 4 คนมัดรวมกัน ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ได้
ล้อกันเล่น หรือไร!
ในสนามรบราชาเทพ ต้วนหลิงเทียนถึงกับเข่นฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะไป 100 คน!
นอกจากนั้นมีันยังได้ยินข่าวลือหนึ่งว่าต้วนหลิงเทียนเคยพบเจอกลุ่มศิษย์นิกายมหาเอกะที่มีจำนวนถึง 30 คนแต่สุดท้ายกลับลงมือเพียงลาพัง เข่นฆ่าอีกฝ่ายหมดสิ้น!
สิ่งนี้จะให้คิดอย่างไร ?
“ยินดีที่ได้พบศิษย์พี่ต้วน!”
“ศิษย์พี่ต้วน ครั้งนี้ต้องรบกวนท่านดูแลข้าแล้ว”
“ศิษย์พี่ต้วนิทานสบายดีนะ”
…
ศิษย์ทั้ง 4 เร่งกล่าวคาทักทายต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม แต่ละคนแลดูกระตือรือร้นมาก
หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครกล้าให้ต้วนหลิงเทียนกล่าวคาสาบานต่อโลหิตมารหัวใจว่าจะไม่ลงมือทำอะไรพวกมัน หรือฮุบกลืนทุกสิ่งอย่างที่ได้รับจากเทพซ่อนแห่งนั้น
สุดท้ายทั้ง 4 ก็ลอบส่งเสียงผ่านพลังให้ศิษย์ฝ่ายในทั้ง 2 ที่เป็นตัวตั้งตัวตีกล่าวเรื่องนี้
ต้วนหลิงเทียนเอง ที่ได้ยินติงเหยียนพูดถึงเรื่องนี้แต่แรก ก็ไม่ได้อิดออดอะไร กล่าวคาสาบานต่อโลหิตมารหัวใจออกมาด้วยอิริยาบถผ่อนคล้ายราวกับไม่ได้สนใจอะไรเลย
เห็นดังนี้ ศิษย์ฝ่ายในทั้ง 4 ที่ถูกชวนมาก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าสมควรนาทางไปยังเทพซ่อนที่อาจเหลือทิ้งไว้โดยจักรพรรดิเทพขั้นสูงที่พวกเจ้าพบเจอได้แล้วกระมัง ?”
ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปยังศิษย์ฝ่ายในทั้ง 2 ที่เป็นตัวตั้งตัวตีพลางถาม
ทั้งคู่ ก็คลี่ยิ้มพลางพยักหน้า “ในเมือศิษย์พี่ต้วนรีบร้อน พวกเรากอย่าได้เสียเวลาอีกเลย…เอาล่ะ ไปกันเถอะ!”
ต่อมาทั้ง 8 ก็เหินร่างขึ้นฟ้า และภายใต้การนำของชายหนุ่ม 2 คนทั้งกลุ่มก็เหินร่างเดินทางไปเรื่อยราวแมลงวันหัวขาด
“จนถึงตอนนี้พวกเจ้ายังวนเวียนไปเรื่อยไม่เริ่มมุ่งหน้าไปที่นั่นเสียที่…นี่พวกเจ้าจะระวังกันเกินไปหรือไม่ ?”
1 ใน 4 ศิษย์ฝ่ายในเอ่ยถามออกมาพลางส่ายหัว
“ย่อมไม่อาจไม่ระวัง”
1 ใน 2 ชายหนุ่มที่นาทางเอ่ยกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด “อาศัยพลังฝีมือของพวกเรา 2 คนย่อมไม่อาจต่อกรกับพวกเจ้าได้…ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่ายังมีศิษย์พี่ต้วนอยู่อีกคนเลย”
“อ้อระวังตัวให้มากเช่นนี้ดีแล้ว…”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบาง ๆ พลางกล่าว
หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียนอีก 4 คนก็ไม่พูดอะไร
ฟู่มฟู่มฟู่มฟู่มฟู่มฟู่ม
…
ทั้ง 8 คนไม่มีใครเอาเรือเหาะออกมาใช้อาศัยการเหาะไปด้วยตัวเอง กระนั้นความเร็วในการเดินทางก็ไม่ได้ช้าอะไร
ถึงแม้ติงเหยียนจะเป็นแค่ราชาเทพขั้นกลาง แต่ความเข้าใจในกฏของมัน ไม่ใช้อะไรที่ศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ส่วนใหญ่จะเทียบได้ เช่นั้นนความเร็วของมันจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าราชาเทพขั้นสูงทั่วไปเลย
พริบตาเดียว หนึ่งวันก็ผ่านพ้นไป
“นี่ก็วันนึงเต็ม ๆ แล้วยังไม่ถึงเสียที่…นี่ต้องเดินทางกันอีกนานเท่าไหร่กัน ?”
ติงเหยียนเอ่ยถาม
“ไม่ต้องกังวลไป”
1 ใน 2 ที่เหินร่างนาทาง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ด้วยความเร็วของพวกเราในตอนนี้อีกแค่ราว ๆ 2 วันก็ถึงแล้ว”
“มิผิด”
อีกคนก็กล่าวเสริมออกมา “อีกแค่ 2 วัน พวกเราก็จะไปถึงเทพซ่อนที่อาจเหลือไว้โดยตัวตนระดับจักรพรรดิเทพขั้นสูง!”
จากนั้น 1 ใน 4 ศิษย์ฝ่ายในก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้าได้ยินพวกเจ้าพูดหลายครั้งแล้วว่าเทพซ่อนที่ว่าอาจเหลือไว้โดยจักรพรรดิเทพขั้นสูง…หวังว่าพอไปถึงมันจะเป็นจริงอย่างที่พวกเจ้าพูด”
“ใช้ เทพซ่อนของจกรพรรดิเทพขั้นสูงไม่ใช้อะไรที่เทพซ่อนของจกรพรรดิเทพขั้นต่ำกับจักรพรรดิเทพขั้นกลางจะเทียบได้เลย!”
“อีก 2 วัน หรือ…ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว”
…
เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของทั้ง 4 เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
แตกต่างกับความสงบของต้วนหลิงเทียน และทั้ง 2 คนที่นาทางโดยสิ้นเชิง
ส่วนติงเหยียนั้นน แม้จะไม่ได้ออกอาการเหมือนอีก 4 คนแต่ในแววตาของมันก็ฉายชัดถึงความตื่นเต้นอย่ยางยากจะปกปิด สิ่งนี้ก็บอกให้รู้ชัดว่าตอนนี้มันรู้สึกอย่างไร
“หืม ?”
ในขณะที่พวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 6 ติดตาม 2 คนที่นาทางมาถึงด้านนอกกกป่าศิลาแห่งหนึ่งร่างต้วนหลิงเทียนก็ชะงักหยุดลงทันที่ติงเหยียนเองก็ชะงักร่างหยุดลงตาม
2 ใน 4 คนที่เหลือก็ขมวดคิ้วย่นยู่หลังเห็นป่าศิลาเบื้องหน้า
“มีอันใดผิดพลาดหรือ ?”
2 คนที่เหินร่างนาทาง หยุดร่างลงก่อนจะหันกลับมามองถามทุกคนด้วยใบหน้าสงสัย อย่างไรก็ตามลึกลงไปในแววตาของมันกลับเผยให้เห็นความผิดท่าอยู่บ้าง
“ป่าศิลาเบื้องหน้านั่น…มีค่ายกลถูกซ่อนไว้อย่างดี”
1 ใน 2 จาก 4 คนที่รู้ตัวก่อนหน้านี้ เอ่ยคาออกมาเสียงหนัก คิ้วขมวดเป็นปมแน่น
ส่วนอีกคนที่รู้ตัวก่อนหน้า ก็เอ่ยออกมาสืบต่อท่าทียังเต็มไปด้วยความระวัง เสียงกล่าวยังเย็นชานัก “พวกเจ้า…คิดจะพาพวกเร้าเข้าสู่ค่ายกลในป่าศิลานั่น หรือ…พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ ?”