WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3861 ความมุ่งมั่นของกวงเทียนเจิ้ง
มีคำผิดบ้างประปรายโดยเฉพาะสระ-ำ เดี๋ยวมาแก้ให้ทีหลังเน้อ หรือลองโหลดของอีกเจ้าได้คะ
“ติงเหยียน เจ้าไม่ต้องโทษตัวเองหรอก เจตนาดีของเจ้าข้าไหนเลยไม่รู้”
ต้วนหลิงเทียนเร่งส่งข้อความกลับไปปลอบใจตงเหยียนทันทีในสายตาเขาติงเหยียนั้นนห่วงดีกับเขาจริง ๆ เพราะสุดท้ายแล้วหลังจากพบเจอเบาะแสเทพซ่อน ก็คิดถึงเขาเป็นคนแรก
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้าติงเหยียนก็บอกเขาแล้ว ว่าอีกฝ่ายจะไม่ให้ชวนเขาไปด้วย หากทว่าเป็นติงเหยียนที่ยืนกรานจะพาเขาไปด้วย ไม่งั้นก็จะเอาเรื่องราวไปแฉให้ทั่ว จนในที่สุดอีกฝ่ายก็เลือกจะประนีประนอม
พอคิดถึงจุดนี้ ถึงแม้อีกฝ่ายจะฉวยโอกาสจากมิตรภาพระหว่างติงเหยียนกับเขา แต่อย่างน้อย ๆ สถานะเขาในใจตงเหยียนก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นอย่างไรมีิเช่นั้นนคงไม่เกิดเรื่องขน
กับติงเหยียน ต้วนหลิงเทียนไม่ถือโทษโกรธเคืองแม้แต่น้อย มีก็แต่ความขอบคุณและอบอุ่นใจ
“ว่าแต่ต้วนหลิงเทียน เจ้าจาหน้าตาของมันได้หรือไม่ ?”
ติงเหยียนถาม
“จาได้”
ต้วนหลิงเทียนตอบ “แต่ถึงจาหนามินได้ก็เท่านั้น สุดท้ายก็ไม่อาจชี้ตัวมันได้อยู่ดี เพราะข้าไม่มีหลักฐานอะไร…เพราะตอนที่มันลงมือมันได้เปิดใช้จานค่ายกลบางอย่างทำให้ข้าไม่อาจใช้ลูกแก้วเงาลอยบันทึกภาพใด ๆ ได้เลย”
จานค่ายกลนั้น แม้จะไม่ได้มีพลังอำนาจเท่าค่ายกลที่จัดตั้งไว้อย่างดี และไม่ค่อยมีจานค่ายกลที่ใช้โจมตีสังหารได้ในฉับพลัน แต่จานค่ายกลที่ปิดกั้นการสื่อสาร ไม่เว้นจำกัดพื้นที่ก็มีให้เห็นไม่น้อย
แน่นอนวาจานค่ายกลที่สามารถจู่โจมสังหารหรือสร้างม่านพลังป้องกันได้ในฉับพลันไม่ใช้ว่าจะไม่มี แต่มันต้องใช้วัตถุดิบที่มีค่ามหาศาลในการสร้าง ทำให้มูลค่าของมันได้เกินจุดคุ้มทุนที่จะนำมาสร้างขายไปแล้ว…
“เจ้าบอกลักษณะรูปร่างหน้าตาของมันให้ข้าฟังที่”
ติงเหยียนกล่าว “ข้าจะดูว่าข้ารู้จักมันรึเปล่า”
พอต้วนหลิงเทียนได้ยินคำขอก็ค่อย ๆ อธิบายให้ติงเหยียนฟัง
หลังจากิน่งคิดไปครูหนึ่ง ติงเหยียนก็กล่าวตอบออกมาด้วยน้ำเสียงลังเล “ข้าไม่แน่ใจเต็ม 10 ส่วน แต่ลักษณะที่เจ้าบอกมา…เหมือนข้าจะเคยเจอแต่ต้องไปถามให้แน่ชัด”
“ไม่ต้องหรอก”
ต้วนหลิงเทียนส่งข้อความกลับไป “ให้ข้าเห็นมันอีกครั้ง ข้าก็จาได้ทันที่…แต่ใครจะไปรู้ว่าหน้าตาที่ข้าเหน็จะใช้หน้าตาที่แท้จริงของมัน หรือไม่”
“มีแต่เห็นอุปกรณ์เทพที่มันใช้ รวมถึงลักษณะการลงมือของมันที่ยากจะปลอมแปลงเท่านั้น ถึงจะบอกได้ว่าใช้รึเปล่า”
ในระดับการฝึกฝนของต้วนหลิงเทียน อันที่จริงแล้วท่วงท่าและการลงมือนั้นแทบจะกลายเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว เพราะดั่งคาที่ว่า ต่อหน้าพลังอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลวิธีอันใดล้วนไร้ความหมาย ทำให้ท่วงท่าวชากลายเป็นสิ่งเวิ่นเว้อการลงมือที่รวบรัดยึดหลักเร็วแรงต่างหากถึงเป็นแก่นแท้ จึงบอกได้ไม่ยากว่าเป็นใครหากได้เห็นสักครั้ง
และสิ่งนี้ไม่ใช้คิดจะปลอมแปลง ก็ปลอมแปลงกันได้ง่าย ๆ
“ก็จริงของเจ้า”
ติงเหยียนชะงักไปครูหนึ่ง
“เอาล่ะ เจ้าไม่ต้องติดตามเรื่องนี้หรอก และไม่ต้องเอาไปบอกใคร…และหลังจากนี้ข้าไม่คิดจะอยู่ในที่พักของศิษย์ฝ่ายในอีก”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว
“เอ๋ ? ไม่อยู่ในที่พักของศิษย์ฝ่ายใน หรือ ?”
ติงเหยียนตกใจ “เจ้ากังวลวาเจ้านั่นมันจะบุกมาลงมือฆ่าเจ้าโดยตรงหรือ ? มันจะกล้าทำเช่นั้นนได้อย่างไร…เพราะถ้าทำแบบนั้นต่อให้ฆ่าเจ้าได้มันก็ต้องตายเพราะถูกินกายมังกรสวรรค์ประหารอยู่ดีนี่นา”
ติงเหยียนรู้สึกยากจะเชื่ออยู่บ้าง เพราะมีใครที่ไหนไม่รักชีวิตกันล่ะ ?
“ข้าก็แค่ระวังไว้ก่อนเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มพลางส่งข้อความ “ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีคนกล้าเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อฆ่าข้า…แต่วันนี้จากลักษณ์การลงมือของมัน ที่ใช้เจ้าเพื่อล่อข้าออกไปฆ่านอกินกาย ก็บอกให้รู้ว่าพวกมันตั้งใจจะฆ่าข้าให้ได้จริง ๆ”
“นอกจากนั้น เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับศึกจักรพรรดิ ทั้ง ๆ ที่มันมีเวลาพอสมควรที่จะเล่นงานข้า แต่กลับเลือกทาเช่นนี้ บ่งบอกว่ามันกำลังรีบร้อนไม่น้อย”
“ดั่งคา สุนัขจนตรอกยังกระโดดข้ามก็าแพงได้ นับประสาอะไรกับคนที่ต้องการฆ่าข้าให้ตาย…โดยที่รู้ว่าหากปล่อยให้ข้าเติบโตต่อไปก็เป็นหายนะครั้งใหญ่สำหรับพวกมัน”
หลังได้ยินคำอธิบายของต้วนหลิงเทียน ติงเหยียนก็ตระหนักได้ จากนั้นก็ขมวดคิ้วส่งข้อความไปถามสืบต่อ “แล้วถ้าเจ้าไม่อยู่ในสถานที่พักสำหรับศิษย์ฝ่ายใน แล้วเจ้าจะไปอยู่ไหนล่ะ ? หรือเจ้าคิดจะไปบ่มเพาะในระนาบศึกจักรพรรดิ ?”
“แต่ในระนาบศึกจักรพรรดิมันไม่เหมาะกับการบ่มเพาะพลังนี่นา พลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่นเบาบางจะตาย…”
ติงเหยียนเผยความกังวล
“เป็นธรรมดาที่ข้าจะไม่เข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะในระนาบศึกจักรพรรดิ เจ้าลุมไปแล้วหรือว่าข้าสนิทกับใคร ?”
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ส่งข้อความสืบต่อว่า “ระนาบศึกจักรพรรดิตัดไปได้เลย ส่วนเรื่องสถานที่ๆ ข้าจะใช้บ่มเพาะพลังจนทะลวงขอบเขตจอมราชันเทพนั้น…ข้าคิดจะไปอาศัยบ้านของพี่ไห่ชวน”
“หากข้าไปฝึกฝนบ่มเพาะที่บ้านพี่ไห่ชวน เช่นั้นนอย่าว่าแต่อาวุโสฝ่ายในที่มีความแค้นกับข้าโดยตรงอย่างกวงเทียนเจิ้งเลย ต่อให้เป็นอาวุโสมังกรขาวที่แข็งแกร่งที่สุดในสายนิกายหมื่นปีศาจ ก็ไม่มีปัญญาบุกมาฆ่าข้าคาบ้านพี่ไห่ชวนได้หรอก”
“แน่นอนว่าทั้ง 2 คนั่นนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในนิกายมังกรสวรรค์แน่ เว้นเสียแต่พวกมันจะอยากตายเพราะเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกมัน”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“บ้านของอาวุโสเชวียไห่ชวน หรือ ? ดีเลย! ที่นั่นนับว่าปลอดภัยสำหรับเจ้าจริง ๆ!!”
ติงเหยียนระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ต้วนหลิงเทียน หลังกลับไปถึงนิกายคราวนี้ ข้าจะไปหาท่านลุงสือคงเพื่อร้องขอสักคา…วันไหนที่อาวุโสเชวียไห่ชวนคิดจะเข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิ ข้าจะให้ท่านลุงไปรับเจ้ามาฝึกฝนบ่มเพาะที่บ้านของท่านลุง ถึงตอนั้นนอย่าว่าแต่อาวุโสมังกรขาวทั้ง 2 ในนิกายหมื่นปีศาจเลย ต่อให้เป็นรองประมุขอย่างเซวียหมิงจื่อก็ไม่หาญกล้าล่วงล้าเข้าเขตบ้านท่านลุงสือคงหรอก!”
ฟังจากคำพูดของติงเหยียน เห็นได้ชัดว่ามันมั่นใจในตัว ‘ท่านลุงสือคง’ ของมันมาก
“แบบนั้นก็ดีเลย”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่คิดปฏิเสธความห่วงดีของติงเหยียน เพราะถ้าเชวียไห่ชวนต้องเข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิจริง ๆ เขาก็คิดจะไปหาสถานที่ปลอดภัยอยู่เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เชวียไห่ชวน ไม่น่าจะเข้าสู่ระนาบศึกจักรพรรดิโดยง่าย
สุดท้ายแล้ว เชวียไห่ชวนก็ต้องรั้งอยู่เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้เชวียไห่ชาน
เพราะต้องทราบด้วยว่ามีอาวุโสมังกรขาวคนหนึ่งในสายนิกายหมื่นปีศาจ จ้องจะฆ่าเชวียไห่ชานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายได้ออกจากระนาบศึกจักรพรรดิแล้วหรือยัง เพราะก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะเข้าสู่สนามรบราชาเทพวันั้นน เขาก็พบเจออีกฝ่ายในระนาบศึกจักรพรรดิ
ตอนั้นนเขาไม่รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย และเป็นตงฟางเหยียนเหนียนที่บอกให้เขารู้
…
ในเวลาเดียวกับที่ติงเหยียนเดินทางกลับนิกายมังกรสวรรค์ ต้วนหลิงเทียนกออกจากบ้านลานในเขตที่พักศิษย์ฝ่ายใน และเคลื่อนย้ายข้ามมิติติดต่อกันจนไปถึงหน้าบ้านพักของเชวียไห่ชวน
“ขออภัยที่มารบกวนท่านพี่ไห่ชวน แต่ข้าเกรงว่าหลังจากนี้คงต้องมารบกวนสถานที่ของท่านแล้ว”
พอเห็นเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มแหย ๆ กล่าวขอโทษออกมาก่อนใดอื่น
“เสี่ยวเทียนนี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนนอก หรือไร บ้านข้าเจ้าจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งจะอยู่นานเท่าไหร่ก็ตามใจเจ้าเลย”
เชวียไห่ชวนกล่าวพลางยิ้ม ขณะเดียวกันก็สั่งให้พ่อบ้านช่วนไปจัดเตรียมลานอิสระในจวน เพื่อให้ต้วนหลิงเทียนัพักอาศัย และสภาพแวดล้อมของที่นี่ ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าบ้านลานที่ต้วนหลิงเทียนใช้ฝึกฝนบ่มเพาะก่อนหน้าเลย
“พี่ไห่ชวน แล้วพี่ไห่ชานเล่า ป่านี้นยังไม่ออกจากการกักตัวฝึกฝนอีก หรือ ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
“ยัง”
เชวียไห่ชวนส่ายหัวไปมา ค่อยเลิกคิ้วขึ้นพลางถาม “เสี่ยวเทียนก่อนหน้าเจ้าเพียงบอกว่าจะมาขออาศัยฝึกฝนบ่มเพาะที่บ้านข้า…ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
ขณะกล่าวถาม น้ำเสียงของเชวียไห่ชวนยังแฝงความกังวลไม่น้อย
เพราะในสายตาของเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนคงไม่มาขอพึ่งพิงอาศัยมันแน่นอน หากไม่เกิดเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงจริง ๆ
“ก็แค่เรื่องเล็ก ๆ น่ะ”
ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบาง ๆ จากนั้นก็เล่าเรื่องราวให้เชวียไห่ชวนฟัง
หลังจากที่เชวียไห่ชวนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด สีหน้าก็เปลื่ยนี้เป็นอึมครึม เอ่ยค่าเสียงเข้ม “ข้าว่าข้าพอจะรู้แล้วว่าคนที่ลงมือกับเจ้าเป็นใคร”
“เจ้านั่นมันไม่ได้ปกปิดหน้าตาที่แท้จริงด้วยซ้ำ”
เชวียไห่ชวนกล่าว
“เป็นผู้ใดหรือพี่ไห่ชวน ?”
สองตาต้วนหลิงเทียนหรี่ลง เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่ทำลายร่างอวตารกฏมิติของเขาเป็นใคร
“เมิ่งซาน”
เชวียไห่ชวนกล่าวค่าเสียงหนัก “ก่อนที่ข้าจะทะลวงถึงจอมราชันเทพขั้นกลาง ข้าก็เคยประมือกับมันครั้งหนึ่ง ลักษณะการลงมือก็เหมือนกับที่เจ้าอธิบายไว้ไม่ผิดเพี้ยน”
“เมิ่งซาน ?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเขาพึ่งจะเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก “เป็นคนจากสายนิกายหมื่นปีศาจหรือ ?”
เชวียไห่ชวนพยักหน้า “เจ้านั่นไม่ใช้แค่คนของนิกายหมื่นปีศาจเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์คนโตของกวงเทียนเจิ้งอีกด้วย และกวงเทียนเจิ้งยังล่งเเรงไปไม่น้อยเพื่อช่วยให้มันบรรลุถึงจอมราชันเทพขั้นต่ำ และเจ้านั่นก็เคยแพ้ข้าครั้งหนึ่ง”
“ตอนนี้มันเป็นผู้อาวุโสฝ่ายนอกของนิกายมังกรสวรรค์เรา”
ได้ยินคำพูดของเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับทราบ “เดิมที่ข้าก็เดาไว้อยู่แล้ว ว่า 8-9 ใน 10 ส่วนไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องกับกวงเทียนเจิ้งรวมถึงสายนิกายหมื่นปีศาจแน่…ดูเหมือนจะเป็นเช่นั้นนจริง ๆ”
“เมิ่งซาน…ข้าจะจาเอาไว้”
ขณะกล่าวพึมพา สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟัน “ทั้งกวงเทียนเจิ้งนั่น…รอให้ข้าทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำเมื่อไหร่ ก็ถึงวันตายของมัน!”
วันนี้นับเป็นครั้งแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้ปะทะกับตัวตนระดับจอมราชันเทพ
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่จอมราชันเทพขั้นต่ำ แต่เขาก็ตระหนักถึงความต่างของพลังเทพระหว่างขอบเขตราชาเทพกับจอมราชันเทพชัดเจน ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวไม่ใช้อะไรที่ราชาเทพขั้นสูงจะกลบได้เพราะความเข้าใจในกฏที่สูงกว้าง่าย ๆ ต้องทราบด้วยว่าความเข้าใจในกฏของอีกฝ่ายอ่อนด้อยกว่าเขามาก แต่ร่างอวตารกฏมิติของเขาทำได้แค่หลบหลีก จนกระทั่งถูกทาลาย ไม่อาจตอบโต้ไปได้สักกระบี่…
เป็นเพราะสาเหตุนี้เอง ทำให้ต้วนหลิงเทียนบังเกิดความมั่นใจเป็นอย่างมาก ว่าทันทีที่เขาทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ เมื่อควบรวมปรับด่านพลังให้เสถียรมั่นคงและปรับตัวเข้ากับระดับพลังจอมราชันเทพขั้นต่ำได้แล้ว เขาต้องสามารถฆ่าอาวุโสฝ่ายในอย่างกวงเทียนเจิ้งได้แน่!
ถึงตอนั้นน บางทีหากเขาใช้พลังเท่าที่เคยเปิดเผยให้คนในนิกายเห็น อาจจะยังสู้เชวียไห่ชวนไม่ได้
ทว่ากับอีกแค่ฆ่าอาวุโสฝ่ายในธรรมดา ๆ สักคน ไม่ถือว่ายากเย็นอันใด
กระทั่งหากเขาเปิดเผยไพ่ตายออกมาสักใบ คิดฆ่ากวงเทียนเจิ้งก็คงง่ายดายไม่ต่างอะไรกับตัดหญ้าฆ่าไก่!
“เสี่ยวเทียน อย่าได้ประมาทไป กวงเทียนเจิ้งนั่นในฐานะที่เป็นอาวุโสฝ่ายในมานาน มันย่อมมีไพ่ตายอยู่ท่าสองท่า…”
ได้ยินคำพูดพึมพาของต้วนหลิงเทียน เชวียไห่ชวนก็อดกล่าวเตือนออกมาไมได้ “เอาแค่ความเข้าใจในกฏของมัน ก็ไม่แน่ว่าจะด้อยกว่าเจ้าตอนนี้ เช่นั้นนหลังเจ้าทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว แม้จะควบรวมปรับด่านทั้งปรับตัวแล้วเสร็จ ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะฆ่ามันได้”
“ข้าแนะนำ ว่ารอให้เจ้าทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางก่อน ค่อยหาโอกาสลงมือฆ่ามันเถอะ”
สำหรับเชวียไห่ชวนั้นน ถึงแม้พลังฝีมือที่ต้วนหลิงเทียนเปิดเผยออกมาให้เห็นก่อนหน้า จะไม่ใช้ต่าทราม
อย่างไรก็ตาม กวงเทียนเจิ้งดำรงตำแหน่งเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์มานาน ความเข้าใจในกฏก็ไม่ถือว่าอ่อนด้อย เชวียไห่ชวนจึงไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถฆ่ามันได้ในด่านพลังจอมราชันเทพขั้นต่ำ
แต่ถ้าหากบอกว่าให้สู้ทัดเทียมกับกวงเทียนเจิ้งเฉย ๆ เชวียไห่ชวนยังมั่นใจว่าต้วนหลิงเทียนทำได้
ได้ยินคำแนะนำของเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับ “เรื่องนี้พี่ไห่ชวนท่านวางใจได้เลย หากข้าไม่มี่นใจ ข้าไม่ลงมือผลีผลามแน่”
“อืม การแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ใช้เรื่องดี”
เชวียไห่ชวนก็พยักหน้ารับอย่างวางใจ ขณะเดียวกันก็เอ่ยต่อเสียงขรึมว่า “และเจ้าเลือกจะมาหาข้าแบบนี้ นับว่าเจ้าทาถูกแล้ว”
“ในระหว่างศึกจักรพรรดิเช่นนี้ แต่กวงเทียนเจิ้งยังวางแผนส่งคนไปฆ่าเจ้า…สิ่งนี้บอกให้รู้ว่ามันรีบร้อนจะฆ่าเจ้าให้ได้”
“นอกจากนั้น สายนิกายหมื่นปีศาจเองไม่พ้นต้องคิดจะกำจัดเจ้าให้พ้นทางเช่นกัน…เผลอ ๆ พวกัมนอาจกดดันกวงเทียนเจิ้งให้จาต้องลงมือในเขตนิกาย…เพราะถ้าสายนิกายหมื่นปีศาจกำจัดเจ้าไม่ได้ พวกมันก็มีแต่ต้องมอบคำอธิบายให้เจ้าโดยการจัดการกวงเทียนเจิ้งทั้งตระกูล”
“สำหรับกวงเทียนเจิ้งที่ถูกบีบคั้นให้ลงมือการสละชีวิตเพื่อฆ่าเจ้า…สำหรับมันแล้วคือทางออกที่ดีที่สุด! เพราะถึงมันตายมันก็ตายคนเดียว ไม่ได้ตายทั้งตระกูล เช่นนี้จึงถือว่าไม่เพียงไม่เสียอะไร แต่ยังกำไรด้วยซ้ำ!”
เชวียไห่ชวนกล่าว
แน่นอนว่ายังมีอีกเรื่องที่เชวียไห่ชวนไม่ได้พูดออกมา
แม้แต่รองประมุขอย่างเซวียหมิงจื่อก็ไม่พ้นต้องกดดันกวงเทียนเจิ้งสละชีวิตเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียนเช่นกัน เพราะในสายตาเซวียหมิงจื่อการปล่อยให้ต้วนหลิงเทียนมีลมหายใจวันหนึ่ง ก็เสมือนปล่อยให้หายนะในภายภาคหน้าดำรงอยู่อีกวัน
ลูกสาวคนเดียวของมัน แต่งงานกับศิษย์คนรองของกวงเทียนเจิ้ง!
เหตุไฉนที่เชวียไห่ชวนไม่กล่าวถึงรองประมุขอย่างเซวียหมิงจื่อออกมา เพราะไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนต้องรู้สึกกดดันมากเกินไป
สุดท้ายแล้วเซวียหมิงจื่อก็ไม่ใช้อะไรที่อาวุโสฝ่ายในอย่างกวงเทียนเจิ้งจะเทียบได้เลย อำนาจยังเหนือกว่าอาวุโสมังกรขาวและอาวุโสมังกรดาด้วยซ้ำ
และพลังฝีมือส่วนตัวของเซวียหมิงจื่อให้มองในบรรดาจอมราชันเทพขั้นสูงก็ถือว่าอยู่ในระดับต้น ๆ
…
“ต้วนหลิงเทียนผู้นั้น มันไปแล้วจริง ๆ ?”
หลังจากที่ศิษย์คนโตอย่างเมิ่งซานลงมือฆ่าต้วนหลิงเทียนไม่สำเร็จ อาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ กวงเทียนเจิ้ง ก็ได้เดินทางมาเยือนสถานที่พักฝึกฝนของศิษย์ฝ่ายในด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม พอมันมาถึงหน้าบ้านต้วนหลิงเทียน มันก็พบว่าต้วนหลิงเทียนไม่อยู่แล้ว
“คราวนี้ร่างจริงของมันไม่อยู่แล้วด้วยซ้ำ…”
สีหน้าของกวงเทียนเจิ้งบิดเบี้ยวอัปลักษณ์นัก กว่ามันจะตัดสินใจฆ่าต้วนหลิงเทียนโดยเอาชีวิตเข้าแลกได้ ก็ลำบากใจไม่น้อย แต่สุดท้ายกลับช้าไปก้าวหนึ่ง ?