WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3872 สู้กันเอง
“เรื่องนั้น เป็นเช่นไรบ้าง ?”
หลังจากลูกสาวและลูกเขยจากไปแล้ว ใบหน้าที่เดิมสงบของเซวียหมิงจื่อก็เปลื่ยนี้เป็นมืดมนทันใด ขณะเดียวกันมันก็เร่งส่งข้อความไปเอ่ยถามสหายที่อยู่ด้านนอกกก
สหายมันคนนี้เป็นสหายประเสริฐที่รู้จักกันตั้งแต่ยังเยาว์ สนิทสนมกันยิ่งกว่าพี่น้อง ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาก็หลายครั้ง
กล่าวได้ว่ามันเชื่อใจสหายคนนี้มาก
หาไม่แล้วมั่นคงไม่ติดต่อไปขอให้อีกฝ่ายช่วย หานักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางให้มันถึง 2 คน
ในระนาบเทพ มีขุมกำลังมากมายที่เพาะสร้างนักรบเดนตาย
อย่างไรก็ตาม นักรบเดนตายก็ไม่ใช้จะเพาะสร้างกันง่าย ๆ เอาแค่นักรบเดนตายขอบเขตราชาเทพ เว้นเสียแต่จะเป็นขุมกำลังระดับจอมราชันเทพขึ้นไป ขุมกำลังด้อยกว่านั้นคงไม่มีปัญญาจะเพาะสร้าง
ยิ่งนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพ ยิ่งหายากเข้าไปอีก
หากไม่ใช้ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้ำขึ้นไป ปกติแล้วไม่มีใครกล้าเพาะสร้างนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพแน่นอน เพราะการจะเพาะสร้างนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพนั้น จาต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล
และนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพ ยิ่งขั้นพลังสูงก็ยิ่งหายากและมีมูลค่าสูงตามไปด้วย
อย่างเช่น นิกายมังกรสวรรค์นั้น แม้จะไร้ตัวตนระดับจักรพรรดิเทพดำรงอยู่ในปัจจุบัน แต่ในฐานะที่เป็นถึงขุมกำลังระดับจักรพรรดิ
เทพที่ในอดีตเคยปรากฏตัวตนระดับจักรพรรดิ รากฐานยืังค่อนข้างลึกล้า
เช่นั้นนนิกายมังกรสวรรค์ก็มีการเพาะสร้างนักรบเดนตายเอาไว้ใช้งานเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ และก็ไม่ได้มีจำนวนมากมายอะไร
ส่วนนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางนั้นกล่าวกันว่าทั้งนิกายมีอยู่คนเดียว
และนักรบเดนตายที่ว่า ก็อยู่ในความควบคุมของประมุขนิกายเพียงผู้เดียว
สิ่งนี้ยังเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาของนิกายมังกรสวรรค์
“ข้าพอหาได้แล้ว”
หลังเซวียหมิงจื่อส่งข้อความไปไม่นาน มันก็ได้รับข้อความตอบกลับ “อย่างไรก็ตาม ราคำของนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลาง 2 คนมิใช่น่อย ๆ…โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเจ้าต้องการให้พวกมันปฏิบัติภารกิจต้องตาย”
“แล้วถ้าข้าต้องการซื้อชีวิตของพวกมันเล่า อีกฝ่ายเรียกราคาเท่าใด ?”
เซวียหมิงจื่อถาม
“ข้าเองก็ต่อรองราคาจนอีกฝ่ายลดให้ข้าเท่าที่จะลดได้แล้ว อีกทั้งข้าเองก็ไม่กล้าต่อมากไปกว่านี้…แต่ถึงกระนั้น หมิงจื่อไม่ใช้ว่าข้าดูถูกเจ้า แต่ด้วยทรัพย์สินของเจ้า ข้าเกรงว่าหากเจ้าคิดซื้อนักรบเดนตายของเขตจอมราชันเทพขั้นกลาง 2 คนให้ไปปฏิบัติภารกิจต้องตาย เกรงว่าจะเป็นภาระอันใหญ่หลวงสำหรับเจ้า”
“หากพวกมันไม่ต้องตาย ราคาจะถูกลงมาก”
อีกฝ่ายถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ ที่พวกมันไม่ต้องตาย ?”
“ไม่ต้องตาย ?”
เซวียหมิงจื่อส่งข้อความไปย้อนถามเสียงเรียบ “แล้วเจ้าว่าการฆ่าคนในนิกายมังกรสวรรค์ พวกมันจะไม่ต้องตายได้หรือไม่ ?”
อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง
หลังผ่านไปสักพัก อีกฝ่ายก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ก่อนหน้าเจ้าบอกว่า เป้าหมายของเจ้าเป็นแค่เด็กน้อยที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำใช้หรือไม่ ?”
“มิผิด”
เซวียหมิงจื่อตอบ “แต่เจ้าอย่าได้ดูเบามันเพียงเพราะมันพึ่งทะลวงถึงจอมราชันเทพขั้นต่ำเชียว…พลังฝีมือของมันไล่ ๆ กับจอมราชันเทพขั้นกลางแล้ว”
พอคิดถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนสามารถเอาชีวิตรอดจากการโจมตีของกวงเทียนเจิ้งที่ใช้พลังสายเลือดต้องห้ามวันั้นน เซวียหมิงจื่อก็ไม่กล้าประเมินต้วนหลิงเทียนต่าไปเด็ดขาด
“หรือเอาเช่นนี้ดี เจ้าก็ซื้อนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางคนหนึ่ง แล้วก็จอมราชันเทพขั้นต่ำ 2 คน ?”
อีกฝ่ายถาม
“1 จอมราชันเทพขั้นกลางกับ 2 จอมราชันเทพขั้นต่ำรึ?”
ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เซวียหมิงจื่อก็ย่นคิ้ว “แต่เท่าที่ข้าทราบมา ราคำของนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ 2 คน มัน
ก็เท่า ๆ กับนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลาง 1 คนเลยมิใช่หรือ ?”
ความยากลำบากในการเพาะสร้างนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ 2 คน อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้ง่ายไปกว่าการเพาะสร้างนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลาง 1 คนมากนัก
“ไม่ คราวนี้ต่างกันมาก”
อีกฝ่ายกล่าวคาด้วยน้ำเสียงแย้มยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้ากำลังหาซื้อนักรบเดนตายแบบเดียวกับที่นิกายมังกรสวรรค์เจ้าเพาะสร้างอยู่หรือไร ?”
“เจ้าคิดผิดแล้ว นายหน้าหน้าหน้าที่ข้าพบเจอนั้น ใช้วิธีเพาะสร้างนักรบเดนตายต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายเป็นถึงอริยะเทพที่เชี่ยวชาญทักษะวิญญาณ”
“นักรบเดนตายที่ข้าติดต่อเพื่อซื้อให้เจ้า เป็นอริยะเทพที่ชำนาญทักษะวิญญาณผู้นั้น อาศัยการลบ 3 จิต 6 วิญญาณของคนที่ต้องการด้วยความสามารถอันล้าลึก หลังจากนั้นก็ทำการอัดฉีดความทรงจำของนักรบเดนตาคนอื่น ๆ เข้าไป”
(3 จิต 7 วิญญาณ* 3 จิต คือจิตฟ้า จิติดน และจิตชีวิต เจ็ดวิญญาณหมายถึง ดีใจ โกรธ เศร้า กลัว รัก ร้าย โลภ)
“ย้ายวิญญาณนักรบเดนตาย เจ้าเคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่ ?”
กล่าวถึงจุดนี้ คนที่ติดต่อกับเซวียหมิงจื่อก็เผยความภาคภูมิใจไม่น้อย
“ย้ายวิญญาณนักรบเดนตาย ?”
เซวียหมิงจื่อสูดลมหายใจเข้าลึก “เจ้าบ้านี่ ถึงกับมีหนทางติดต่อกับตัวตนเช่นนี้ ?”
“หากไม่ใช้เพราะนักรบเดนตายที่ข้าติดต่อขอซื้อให้เจ้า เป็นการย้ายวิญญาณนักรบเดนตายมาล่ะก็ ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้านะ แต่ด้วยกำลังทรัพย์ของเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าไม่อาจจ่ายราคาชีวิตนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลาง 2 คนได้แน่นอน”
คนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของการสื่อสาร กล่าวกับเซวียหมิงจื่อด้วยน้ำเสียงขอไปที่ไม่ได้มีความเกรงใจเซวียหมิงจื่อแม้แต่น้อย “อีกอย่างนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางนั่น พลังฝีมือก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุโสฝ่ายในนิกายมังกรสวรรค์ของเจ้าเลย รวมกับนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ 2 คน…ข้าว่าก็น่าจะพอจัดการคนที่เจ้าอยากให้ตายได้แล้วกระมัง ?”
ได้ยินคำพูดเสนอแนะของอีกฝ่าย เซวียหมิงจื่อก็นิ่งคิดไปครูหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “เช่นั้นนนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ 2 คนที่ว่า ต้องม่อยางน้อยหนึ่งคนที่เชี่ยวชาญกฏมิติทั้งสามารถรบกวนพื้นที่ได้”
“เพราะคนที่ข้าอยากให้ตายมันเก่งกฏมิติ”
ในความเห็นของเซวียหมิงจื่อวันั้นนที่ต้วนหลิงเทียนสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของกวงเทียนเจิ้งได้ เหตุผลหลัก ๆ เลยก็คือต้วนหลิงเทียนสามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติหลบหนี้ได้ทันท่วงที่
นอกจากนั้นกวงเทียนเจิ้งก็ไม่ได้ใช้พลังสายเลือดต้องห้ามตั้งแต่แรก
หาไม่แล้ว ต้วนหลิงเทียนคงไม่อาจรอดพ้นความตายได้แน่นอน
“ให้ข้าลองถามดูก่อน…”
ผู้ที่เซวียหมิงจื่อติดต่อด้วยกล่าว
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเอ่ยไม่ทันจบคาดี เซวียหมิงจื่อก็กล่าวว่า “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องแล้ว เอานักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลาง 2 คนดีที่สุด อย่าได้เอาจอมราชันเทพขั้นต่ำมาผสมเลย! ข้าไม่สบายใจ”
“ไม่ว่าจะราคาเท่าใด ข้าก็จะหามาจ่ายให้เจ้าให้ได้”
“และวันนี้ข้าจะให้ศิษย์ที่ข้าไว้ใจได้นำไปสู่งให้เจ้า…หากว่าหินเทพกับผลึกเทพไม่พอข้าขอแทนด้วยสิ่งอื่น ๆ ที่มีสภาพคล่องสูงและมีสกุลเงินแข็งแทน เรื่องนี้คงไม่มีปัญหากระมัง ?”
ได้ยินคำถามของเซวียหมิงจื่ออีกด้านก็ตอบกลับเสียงดังฟังชัด “ย่อมไม่มีปัญหาเป็นธรรมดา”
“เอาล่ะ…หากเจ้าตัดสินใจดีแล้ว ข้าจะติดต่อขอซื้อนักรบเดนตายขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลาง 2 คนให้เจ้า…”
“ว่าแต่ เมื่อคนส่งมาถึงแล้ว เจ้าจะทำอย่างไรเล่า ให้พวกมันเข้าร่วมนิกายมังกรสวรรค์แล้วหาโอกาสลงมือกระนั้นรึ?”
…
ระนาบศึกจักรพรรดิ
สนามรบจอมราชันเทพ
บนฟ้าเหนือที่ราบอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ปรากฏร่างในชุดสีม่วงเหินร่างข้ามแผ่นฟ้ามาฉับไว ปานอัสนีม่วง ‘ถึงแม้สนามรบจอมรมาชั้นเทพจะมีขนาดพอ ๆ กับสนามรบราชาเทพ แต่จำนวนคนในนมนั้นอยกว่าสนามรบราชาเทพมากจริง ๆ ข้าเองก็ไม่ได้เคลื่อนที่ช้า แต่ตอนนี้ผ่านไป 2 เดือนแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน…’
ต้วนหลิงเทียนยังจดจำช่วงที่เข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพใหม่ ๆ ได้ เรียกว่าเขาระวังตัวแจเสมือนเดินบนแผ่นน้าแข็งบางเฉียบ
ทว่าหลังจากผ่านไปไม่กี่วัน เขาก็ไม่พบเจอแม้แต่เงาของใครสักคน
2 เดือนต่อมา เขาเริ่มสงสัยในชีวิตแล้ว ว่าที่นี่ใช้สนามรบจอมราชันเทพจริงรึเปล่า กระทั่งยังเหินร่างเด่นหราราวกับไม่กลัวว่าจะมีใครสามารถคุกคามชีวิตเขาได้ ลอบทาร้ายแม้แต่น้อย
‘ให้ตายเถอะ สนามรบใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับมีคนอยู่ไม่กี่คน…เช่นั้นนคงมีจอมราชันเทพไม่กี่คน ที่สามารถอดทนต่อความเบื่อหน่าย ตระเวนหาคู่ต่อสู้แบบนี้เป็นปี ๆ กระมัง ?’
ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ
‘ที่นี่มันน่าเบื่อเกินไป…ยิ่งไปกว่านั้นจะฝึกฝนบ่มเพาะอะไรก็ไม่ได้ เข้าใจกฏอะไรก็ไม่ได้ นอกจากนั้นด้วยพลังวิญญาณฟ้าดินเบาบางพลังชีวิตก็เลยแทบไม่มีตามไปด้วย เช่นั้นนก็ลืมเรื่องการหลอมโอสถเทพไปได้เลย…’
คิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่าย
หากเลือกได้ ตอนนี้เขาอยากันง่นิ่ง ๆ รอให้จอมราชันเทพของนิกายมหาเอกะมาหาเขาถึงที่จริง ๆ
‘ลองหาอีกสักพักแล้วกัน’
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่า ก่อนที่เขาจะได้พบเจอจอมราชันเทพของนิกายมหาเอกะ เขาอาจเบื่อจนทนไม่ไหวซะก่อน
เพราะตอนอยู่ในสนามรบราชาเทพ แม้จะไม่ได้เจอฝ่ายตรงข้ามอยู่นาน แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็พอได้พบปะกับคนในนิกายมังกรสวรรค์บ้าง ทำให้ไม่รู้สึกเหมือนใบไม้ใบเดียวที่หลงเหลืออยู่ในป่าสักเท่าไหร่…
แต่ตอนนี้ หลังเข้ามาในสนามรบจอมราชันเทพ เขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน
วินาทีนี้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้หวังว่าจะได้พบเจอคนของนิกายมหาเอกะอย่างเดียว ขอเพียงได้พบเจอคนของนิกายมังกรสวรรค์สักคนสองคน เขาก็คงมีกำลังใจในการหาคู่ต่อสู้ในนเพิ่มขึ้นมาก
1 ชั่วยามต่อมา
บางทีสวรรค์อาจได้ยินคาวิงวอนในใจต้วนหลิงเทียน เพราะหลังจากที่เขาเหินร่างข้ามที่ราบอันกวว้างสุดลูกหูลูกตา รวมถึงข้ามแผ่นแนวพื้นที่ภูเขา จนมาถึงทุ่งน้าแข็ง เขาก็ได้ยินเสียงปะทะดังมาแต่ไกล!
ปงงง!!
ครึก! แคร๊ก!! ครืนนน!!
…
หลังเสียงพลังปะทะกันดังสนั่น ก็มีเสียงทุ่งน้าแข็งวินาศสันตะโรดังกังวาลตามมาติด ๆ
ทันใดนั้น สองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาวสว่างจ้า ทาราวกับหมาป่าหิวโซอดอยากมาหลายวันได้พานพบเหยื่ออันโอชะ!
ซั่วว!!
ร่างต้วนหลิงเทียนไหววูบคราหนึ่ง ก่อนคนจะเคลื่อนย้ายข้ามมิติไปยังต้นกำเนิดเสียงปะทะทันที่
แน่นอนว่าถึงแม้ใจเขาจะเต็มไปด้วยความเร่งร้อนอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงความสงบไว้อยู่มาก ไม่ได้เลือกจะเคลื่อนมิติไปโผล่ยังที่เกิดเหตุตรง เพียงเข้าไปใกล้ ๆ จากนั้นก็เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง
ไม่นานนัก เขาก็มาถึงริมธารน้าแข็งแห่งหนึ่ง และเขาก็ไม่ได้เลือกจะซ่อนตัวอะไรมากมาย ชมมองการปะทะกันกลางธารน้าแข็งไกล ๆ
พบเห็น้เป็นชายวัยกลางคนกับชายหนุ่ม ทั้งคู่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย หนึ่งทั่วร่างเต็มไปด้วยพลังจากฏแห่งไฟจนคนคล้ายมีไฟลุกท่วม ส่วนอีกคนใช้ออกด้วยกฏแห่งน้า มวลพลังสีฟ้าสาดส่องนวลตา ทุกคราที่ปะทะกัน คลื่นกระแทกอันเกิดจากพลังอันร้ายกาจของทั้งคู่ ก็เคี่ยวกราจนธารน้าแข็งแตกร้าว บ้างก็แหลกพินาศราวถูกสัตว์ร้ายกัดกิน
หลาย ๆ จุดในธารน้าแข็งกายเป็นหลุมบ่อมองไปเห็นน้าด้านล่างกระเพื่อมสั่นไหวปานทะเลคลัง และต้วนหลิงเทียนก็ไม่ทราบว่าเป็นน้าจืดีหรือน้าเค็ม
“ฟางอี้หมิง ถึงแม้เจ้าจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่อาศัยพลังของเจ้าตอนนี้ คิดจะฆ่าข้า ก็ยังห่างไกลอีกมาก!”
หลังชายวัยกลางคนทาลายพลังกระบวนท่าของชายหนุ่มได้อย่างไม่ยากเย็น มันก็แสยะยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “หลังจากออกไปคราวนี้ข้าจักรายงานต่อทางนิกาย! ว่าเจ้าผู้แซ่ฝางนั้นหาญกล้าลงมือต่อคนร่วมนิกายในสนามรบจอมราชันเทพ!!”
“เฮอะ!”
ชายหนุ่มที่ลอยร่างตรงข้ามหรือกี่คือฟางอี้หมิง สบถค่าเสียงเย็น ค่อยกล่าวด้วยรอยยิ้มแดกดัน “เจ้าจะออกไปพล่ามแล้วอย่างไรหรือเจ้าหวังเหลืยงมีหลักฐาน ?”
ตอนนี้ในพื้นที่ธารน้าแข็งที่ทั้งคู่ประมือกันอยู่ หากสังเกตให้ดีจะพบแสงเบาบางปกคลุมไปทั่ว และเป็นฟางอี้หมิงที่ใช้จานค่ายกลเพื่อสร้างค่ายกลปิดกั้นการบันทึกภาพด้วยลูกแก้วเงาลอย
“ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เจ้าจะออกไปกล่าวคาสาบานต่อโลหิตมารหัวใจ ก็ไม่มีใครยึดถือเป็นจริงจังหรอก!”
กล่าวถึงจุดนี้ฟางอี้หมิงก็ฉีกยิ้มหยันกว้างขึ้น
เมื่อชายวัยกลางคนนามห่วงเหลืยงได้ยินเรื่องดังกล่าว สีหนามินก็มืดลงเล็กน้อย “ไม่น่าแปลกใจเลย ที่เจ้าหาญกล้าลงมือกับข้าในสนามรบจอมราชันเทพเช่นนี้ ที่แท้เจ้าหาทางหนีที่ไล่ไว้แล้ว”
“แต่ต่อให้มันเป็นอย่างที่เจ้าว่าแล้วจะอย่างไรหรือเจ้าฟางอี้หมิงมีปัญญาฆ่าข้าได้ ?”
“หากให้เวลาเจ้าอีกสัก 2-3 ร้อยปี ไม่แน่เจ้าอาจจะมีสามารถฆ่าข้าได้…ทว่าถึงตอนั้นน เกรงว่าข้าหวังเหลืยงคนนี้คงไม่รั้งอยู่ในนิกายมหาเอกะ เพื่อรอให้เจ้ามาฆ่าหรอก!”
“เรื่องล้างแค้นให้อาจารย์ของเจ้า มันลิขิตไว้ให้เป็นได้แค่ฝัน!”
มุมปากหวังเหลืยงเต็มไปด้วยความดูแคลน
เมื่อได้ยินเสียงโต้เถียงที่ยิ่งมายิ่งดุเดือดของทั้งคู่ ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที่‘ที่แท้พวกมันทั้งคู่ล้วนี้เป็นคนของนิกายมหาเอกะ…อย่างไรก็ตามพวกมันล้วนี้เป็นจอมราชันเทพขั้นกลางทั้งนั้น’
หลังจากเห็นระดับพลังของทั้งคู่แล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ย่นคิ้วเล็กน้อย
ทั้งคู่เป็นจอมราชันเทพขั้นกลาง และดูจากพลังฝีมือของพวกมัน ก็ไม่น่าจะใช้ชนชั้นอาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะ แต่สมควรเป็นชนชั้นอาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะมากกว่า
อย่างไรก็ตาม แม้พวกมันจะเป็นแค่อาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะ ความแข็งแกร่งของพวกมันก็สุดที่เขาจะรับมือได้ไหว หากไม่เปิดเผยไพ่ตายอะไรออกมาเพิ่ม
หลังเห็นว่าทั้งคู่ปะทะกันอย่างไม่มีใครได้เปรียบเสียบเปรียบอยู่ครึ่งคือ นิวัน ในที่สุดสองตาต้วนหลิงเทียนก็ลุกวาว คล้ายเกิดความคิดดี ๆ อะไรบางอย่างขึ้น จากนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย จงใจย่าพื้นธารน้าแข็งใต้เท้าให้แตกร้าว!
แคร่ก
แม้เสียงแตกร้าวจะดังขึ้นแผ่วเบาราวยุงบิน แต่ทั้ง 2 ที่ปะทะกันไกล ๆ ก็หยุดมือทันที่จากนั้นก็พร้อมใจกันหันมามองตามทิศทางที่เขาอยู่