WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3885 ไม่! เป็นไปไม่ได้!
‘เจ้าซีเหม็นหลงเซี่ยงอะไรนั่น ทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำแล้วรึ?’
‘ยังพึ่งจะก้าวหน้าเมื่อครึ่งปีก่อน…’
‘แต่เรื่องของเรื่องก็คือหลังมันประสบความก้าวหน้าและเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพครั้งแรก มันก็สามารถฆ่าจอมราชันเทพขั้นต่ำของนิกายมังกรสวรรค์ได้ 4 คน ?’
เรื่องที่ซีเหม็นหลงเซี่ยงสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้ ต้วนหลิงเทียนไม่รู้สึกว่ามันยอดเยี่ยมีอะไรเลย และเรื่องผลงานของอีกฝ่ายในสนามรบราชาเทพเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก สุดท้ายก็ไม่เหลือใครรอดกลับมาบอกเลาจึงยากจะบอกสูงต่า
เขารู้แค่ว่า ตอนซีเหม็นหลงเซี่ยงโด่งดังขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อน อีกฝ่ายเป็นเพียงราชาเทพขั้นกลางเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่ามัน
ทะลวงถึงราชันเทพขั้นสูงตั้งแต่เมื่อไหร่ และใช้เวลาบ่มเพราะฝึกฝนอยู่นานเท่าไหร่ถึงทะลวงผ่าน
ต่างจากเขา
การทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพของเขา นับว่าได้สร้างความตื่นตระหนกไปทุกทั่วหัวระแหง เพราะไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าเขาพึ่งทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพขั้นสูงได้ไม่กี่ปี
กล่าวได้ว่า เขาใช้เวลาไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ ก็สามารถบ่มเพาะพลังในขอบเขตราชาเทพขั้นสูงจนสามารถทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำได้ เรื่องราวัดงกล่าวสำหรับเขตคฤหาสน์ตงหลิงแล้วเป็นอะไรที่น่าอัศจรรย์ใจถึงขีดสุด
“เสี่ยวเทียน!”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนออกมา เชวียไห่ชวนกับตงฟางเหยียนเหนียนก็หยุดคุยชั่วคราว หันไปมองทักเขาด้วยรอยยิ้ม
ต้วนหลิงเทียนก็เดินมานั่งลงที่โต๊ะเดียวกับทั้งคู่ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฟังจากที่พวกท่านกล่าวถึงซีเหม็นหลงเซี่ยงเมื่อครูดูเหมือนพลังฝีมือของเจ้านั่นจะไม่ใช้ชั่วที่เดียว ถึงขั้นทำให้อาวุโสมังกรขาว 2 คนั่นงถกกันได้”
ได้ยินคำกล่าวเคล้าเสียงหัวเราะของต้วนหลิงเทียน เชวียไห่ชวนก็ส่ายหัวไปมา “เสี่ยวเทียน เจ้าอย่าได้ดูเบามันไป…”
“เรื่องที่เจ้านั่นมันสามารถฆ่าจอมราชันเทพขั้นต่ำของนิกายมังกรสวรรค์เราได้ 4 คน ทั้ง ๆ ที่พึ่งทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ ก็มากพอจะพิสูจน์แล้วว่าพลังฝีมือมันไม่ใช้เล่น ๆ เลย”
หลังเชวียไห่ชวนกล่าวจบคา ตงฟางเหยียนเหนียนก็พยักหน้ากล่าวเสริม “ใช้แล้วเสี่ยวเทียน เจ้าอย่าได้ประมาทเจ้านั่นดีกวว่า”
“เจ้าต้องรู้ว่าตอนั้นนที่ประมุขนิกายมหาเอกะมายื่นข้อเสนอให้จำกัดเจ้าและซีเหม็นหลงเซี่ยงของพวกมันไม่ให้เข้าสู่สนามรบราชา
เทพ ทั้ง ๆ ที่พวกเรากำลังได้เปรียบ แต่พวกมันก็ไม่ได้คิดขอร้องหรือยื่นผลประโยชน์อันใด”
“ทว่าภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว ท่านประมุขของพวกเรากลับรับข้อเสนอของพวกมัน สิ่งนี้บอกให้รู้ว่าในสายตาท่านประมุข ภัยคุกคามของซีเหม็นหลงเซี่ยงในสนามรบราชาเทพ มันไม่ได้น้อยกว่าภัยคุกคามของเจ้าในสายตาฝ่ายนิกายมหาเอกะเลย…”
ขณะกล่าวประโยคท้าย น้ำเสียงท่าทีของตงฟางเหยียนเหนียนก็แลดูจริงจังนัก
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จะหัวเราะหรือรองไห้ดี เพราะเขาแค่พดไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ แต่ผู้อื่นกลับเอาจริงเอาจงเสียอย่างนั้น
เขา ต้วนหลิงเทียน ไม่ใช้ชนพื้นเมืองของระนาบเทพ เขาต่อสู้ฟันฝ่ามาจนมีวันนี้ได้ก็ด้วยกำลังของตัวเอง ประสบการณ์ในระนาบเทวโลก รวมถึงระนาบโลกียะโดยเฉพาะชีวิตแรก ทำให้เขาไม่กล้าดูเบาใครทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใส่ใจอะไรซีเหม็นหลงเซี่ยงมากนัก แต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าพลังฝีมืออีกฝ่ายจะอ่อนด้อยอะไร
“พี่ไห่ชวน พี่เหยียนเหนียนใจเย็นก่อน ข้าไม่เคยคิดดูเบาซีเหม็นหลงเซี่ยงเลย ข้าไม่ประมาทมันแน่”
ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าที่เชวียไห่ชวนกับตงฟางเหยียนเหนียนจริงจังเพราะเป็นห่วงเขา กลัวว่าเขาจะพลาดพลั้งเสียทีซีเหม็นหลงเซี่ยงเพราะประมาทคู่ต่อสู้
เพราะในสายตาคนส่วนใหญ่ของนิกายมังกรสวรรค์และนิกายมหาเอกะ เขากับซีเหม็นหลงเซี่ยงถูกลิขิตให้เป็นคู่ต่อสู้แห่งชะตากรรม จะช้าก็เร็วต้องปะทะกันแน่…
ในอดีตเหตุผลที่ซีเหม็นหลงเซี่ยงเข้าสู่สนามรบราชาเทพ ก็เพราะคิดกำราบเขา
อินจจาที่เขาไม่ได้พบเจอมัน
บางทีตั้งแต่ตอนที่เขาทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำ คนนิกายมังกรสวรรค์ก็ไม่คิดว่าซีเหม็นหลงเซี่ยงจะเป็นคู่ต่อสู้ให้เขาได้อีกต่อไป
ทว่าวันนี้ซีเหม็นหลงเซี่ยงก็ได้ทะลวงถึงจอมราชันเทพขั้นต่ำแล้วเช่นกัน แถมดูจากผลงานที่ทำได้หลังกลับออกมาจากสนามรบจอมราชันเทพครั้งแรก ก็บอกให้รู้ว่าพลังฝีมือของมันไม่ใช้ชั่วเลย กระทั่งยังร้ายกาจมากอีกด้วย
จังหวะนี้ ทุกคนก็เลยยกเขากับซีเหม็นหลงเซี่ยงมาเปรียบเทียบกันอย่างอดไม่ได้
ถึงเขาจะพึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ แต่ฟังเรื่องราวไม่กี่ประโยค เขาก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาได้
“เสี่ยวเทียน”
อย่างไรก็ตาม ตงฟางเหยียนเหนียนที่เห็นว่าเขาแลดูไม่เคร่งเครียดอะไร ก็เข้าใจไปว่าเขาไม่ได้ยึดถือคาเตือนี้เป็นจริงจัง ก็เลยชักสีหน้าเข้มกล่าวออกเสียงขรึมว่า “ซีเหม็นหลงเซี่ยงผู้นั้น แต่ไหนแต่ไรมันก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์เด่นล้าที่สุดในประวัติศาสตร์นิกายมหาเอกะ”
“หากไม่ใช้เพราะปีนั้นอยู่ ๆ มันก็ปรากฏตัวออกมาแล้วเข้าสู่สนามรบราชาเทพ ข้าก็เข้าใจว่ามันออกจากเขตคฤหาสน์ตงหลิงไปแล้ว”
“เพราะด้วยพรสวรรค์กับความเข้าใจของมัน ต่อให้เป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพชั้นแนวหน้าของเขตคฤหาสน์ตงหลิงเรา ก็ไม่อาจรองรับมันได้นาน”
“และผลงานในสนามรบราชาเทพ ก็ได้ยืนยันความแข็งแกร่งของมันเรียบร้อย”
“ตอนนี้มันที่พึ่งจะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพ แต่กลับทาผลงานระดับนี้ได้ ก็มากพอจะยืนยันไปอีกทบว่าพลังฝีมือของมันร้ายกาจสมคาร่าลือจริง ๆ”
“ข้าเชื่อว่าพลังฝีมือของมันในปัจจุบัน ก็ไล่ ๆ กับจอมราชันเทพขั้นกลางแล้ว เผลอ ๆ อาจจะเอาชนะจอมราชันเทพขั้นกลางที่อ่อนด้อยบางคนได้ด้วยซ้ำ”
“เพราะในบรรดาจอมราชันเทพขั้นต่ำที่ตายตกด้วยน้ามือมันทั้ง 4 มี 2 คนที่สมควรเดินทางไปด้วยกัน เท่ากับมโอกาส 9 ใน 10 ที่มันจะเข่นฆ่าทั้งคู่ได้ทั้ง ๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ 2 ต่อ 1”
ยิ่งกล่าวนาเสียงของตงฟางเหยียนเหนียนก็ยิ่งทวีความจริงจัง
“ข้าเข้าใจแล้ว”
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่อาจเฉยเมยได้อีก จาต้องปั้นหน้าเข้มแลดูจริงจัง เพราะไม่ว่าเชวียไห่ชวน หรือตงฟางเหยียนเหนียนก็เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญนัก
อย่างไรก็ตาม ในใจเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้ง
เขารู้ดีว่าที่ทั้งคู่จริงจังขนาดนี้ทั้งหมดเพราะห่วงเขา และกลัวว่าเขาจะพลาดท่าเสียทีซีเหม็นหลงเซี่ยงเพราะประมาทอีกฝ่ายเกินไป
“เสี่ยวเทียนการกักตัวฝึกฝนของเจ้ารอบนี้…สมควรได้เรื่องใช้หรือไม่ ?”
ราวกับตระหนักได้ว่าบรรยากาศมันเรมิอึมครึมเคร่งเครียดเกินไป เชวียไห่ชวนก็เลือกเปลื่ยนเรื่อง เอ่ยถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม
ด้านตงฟางเหยียนเหนียนก็หันมามองต้วนหลิงเทียนด้วยความสนใจ
ตั้งแต่ตอนที่ต้วนหลิงเทียนทะลวงด่านพลังได้ มันก็ตกใจมากแล้ว เพราะต้วนหลิงเทียนรั้งอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นสูงไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ!
ที่สำคัญมองจากความสำเร็จในกฏมิติ ก็บ่งบอกให้มันรู้ชัดว่าความเข้าใจของต้วนหลิงเทียนไม่ใช้เรื่องล้อเล่นเลย
หาไม่แล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ยังมีอายุไม่ถึง 3,000 ปี
“ได้เรื่องอยู่”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย สองตายังฉายประกายเรื่องขนวาบหนึ่ง “พี่ไห่ชวนข้าคิดว่าจะกลับเข้าไปในสนามรบจอมราชันเทพอีกครั้ง และคราวนี้ข้าว่าจะอยู่ยาว…”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ”
ได้ยินคำพูดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน เชวียไห่ชวนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า “ดูเหมือนความก้าวหน้าของเจ้าครั้งนี้จะไม่ใช้เล่น ๆ เลย หาไม่แล้วเจ้าคงไม่มี่นใจขนาดนี้”
“เช่นั้นน ข้าจะเข้าไปลุยในสนามรบจอมราชันเทพกับเจ้าเอง จะได้รอชมีพลังฝีมือของเจ้าให้เห็นกับตา”
เชวียไห่ชวนหัวเราะชอบใจ
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะปิดด่านฝึกฝนครั้งล่าสุด เชวียไห่ชวนก็เคยกล่าวไปแล้วว่าหากต้วนหลิงเทียนจะเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพเป็นครั้งที่ 2 มันจะไปด้วย
ตอนนี้พอต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านและคิดเข้าสู่สนามรบจอมราชันเทพ มันย่อมทำตามคำพูดวันั้นนี้เป็นธรรมดา
“หืม! นี่พวกเจ้า 2 คนคิดเข้าไปลุยในสนามรบจอมราชันเทพด้วยกันรึ?”
ได้ยินคำพูดของเชวียไห่ชวน สองตาตงฟางเหยียนเหนียนก็เป็นประกายจ้า “เฮ่ ช่วงนี้ข้าเองก็ว่าง ๆ อยู่ไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอะไร เช่นั้นนข้าเข้าไปบู๊กับพวกเจ้าด้วยแล้วกัน”
“เจ้า ?”
เชวียไห่ชวนหันไปหยีตามองตงฟางเหยียนเหนียน พลาทวงถามสียงเรียบ “บอกจะไปด้วยนี่ เจ้าถามพี่สะใภ้รึยัง…พี่สะใภ้จะยอมให้เจ้าไปกับพวกเราแน่เหรอ ?”
“ข้าจาได้ว่าครั้งก่อนตอนข้าชวนเจ้าเข้าสนามรบจอมราชันเทพ พี่สะใภ้เจ้าบอกว่า ‘ไม่’ คาเดียว เจ้าก็อยู่บ้านทำตัวเรียบ ๆ ร้อย ๆ ทันที่”
เชวียไห่ชวนกล่าวถึงจุดนี้ ก็ชักสีหน้าทานอง ‘รู้กัน’
ได้ยินคำพูดดังกล่าวทั้งเห็นสีหน้าของเชวียไห่ชวน ตงฟางเหยียนเหนียนก็ได้แต่กลอกตาด้วยสีหน้าระอา “เฮอะ! นั่นไม่ใช้เพราะเมื่อไม่นานมานี้ ในสนามรบจอมราชันเทพเจ้ายังทำตัวเหมือน ‘คนบ้า’ ในปีนั้นไม่ใช้รึไง ? คราวนี้ถึงกับกล้าเข้าไปบู๊กับอาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะ 2 คนพร้อมกัน แต่สุดท้ายก็ได้แต่สู้พลางถอยพลาง ยังดีที่พอฆ่าได้คนหนึ่ง อีกคนก็หนี้ไปเพราะกลัว…”
“ตอนั้นนข้าเชื่อว่าสภาพของเจ้าเองก็คงไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่ 9 ใน 10 ต้องมีเกือบตาย! ดีแค่ไหนแล้วที่อาวุโสปฐพีอีกคนของนิกายมหาเอกะมันใจปลาซิว ไม่งั้นหากมันเลือกจะสู้ตายขึ้นมา เจ้าคงไม่รอดมานั่งคุยวันนี้หรอก”
“ตัวอันตรายที่เอะอะก็ลุยดะเช่นเจ้า…เจ้าคิดว่าพี่สะใภ้ของเจ้าจะยอมให้ข้าเข้าสนามรบจอมราชันเทพพร้อมกับเจ้ารึไง ?”
ได้ยินคำพูดของตงฟางเหยียนเหนียน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่หันไปมองเชวียไห่ชวนตาปริบ ๆ
พอตระหนักได้ถึงสายตาของต้วนหลิงเทียน เชวียไห่ชวนก็กระแอมเบา ๆ ก่อนจะส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “เสี่ยวเทียนอย่าได้ไปฟังมันมาก ข้าไม่ได้วิ่งเข้าไปลุยดะไร้สมองอย่างที่มันว่า ข้าเห็นแล้วว่าถึงแม้อาวุโสปฐพี 2 คนั่นนของนิกายมหาเอกะไม่ใช้อ่อนด้อยู่แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจไปกว่าข้า…เช่นั้นนข้าก็เลยเลือกสู้ด้วยกลยทธุ์ตีแล้วหนี อาศัยความพิเศษจากเคล็ดวิชาบ่มเพาะของข้าที่สามารถฟื้นฟูพลังเทพได้เร็วกว่า ผลาญพลังเทพของพวกมันไปเรื่อย ๆ ต่างหาก…”
“สุดท้ายข้าก็ฆ่าพวกมันได้คนหนึ่ง ส่วนอีกคนพอเห็นทำไม่ดี ก็เลยได้แต่หนีอย่างไรเล่า…”
“แน่นอนว่าถึงตอนั้นนข้าเองก็จะสิ้นพลังไปไม่น้อยหลังฆ่าคนแรกได้ แต่ถ้าอีกคนคิดสู้กับข้าให้ตายกันไปข้างจริง ๆ ข้าก็สำรองพลังไว้หลบหนีมากพอ…”
พอเชวียไห่ชวนพูดมาแบบนี้ ตงฟางเหยียนเหนียนก็เบ้ปาก “ทำเป็นพูดดีไป เกิดมันทุ่มีพลังทั้งหมดเพื่อฆ่าเจ้าขึ้นมาจริง ๆ เจ้าได้ตายอนาถไปแล้ว!”
ตงฟางเหยียนเหนียนโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงขุ่น เคือง “เจ้าบ้า…หากวันั้นนไม่ใช้เพราะพวกมันตามเจ้าลงไปสู้บนพื้นด้านล่างที่มีภูมิประเทศซับซ้อน และเจ้าอาศัยความคล่องตัวของกฏแห่งลม เจ้าคิดว่าเจ้าจะก่อการสำเร็จรึไง…”
“เรื่องของเรื่องคืออยู่ดี ๆ เจ้าจะวิ่งโร่ไปบวกกับพวกมันทำอะไร ? จะบอกว่าหิวแต้มก็มิใช่! ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเสี่ยงเลยสักนิด!!”
“ไม่ใช้แค่พวกมันก็แค่บังเอิญผ่านมาหรือไร แถมเผลอ ๆ พวกัมนอาจไม่เห็นเจ้าด้วยซ้ำ แต่เจ้าดันเลือกจะเสี่ยงลงมือเปิดก่อน เพียงเพราะมั่นใจว่าเจ้าสามารถฟื้นฟูพลังเทพได้ดีกว่าพวกมันเท่านั้น ?”
ในสนามรบย่อยของระนาบศึกจักรพรรดิ ไม่ว่าจะสนามรบใด มันมีความแตกต่างจำกัดด้านนอกกกอย่างมาก เพราะในสนามรบย่อยทั้ง 3 นั้น มีพลังวิญญาณฟ้าดินเบาบางเกินไป ไม่อาจอาศัยการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบเพื่อฟื้นฟูพลังเทพได้เลย…ทำได้แค่อาศัยการดูดซับพลังจาก หินเทพ ผลึกเทพ โอสถเทพหรือสมบัติอื่น ๆ เพื่อฟื้นฟูพลังเท่านั้น
แน่นอนว่าต่อให้เป็นโอสถเทพ แต่กระบวนการดูดซับฟื้นฟูพลังก็ต้องใช้เวลา
และถ้าคิดจะสู้ไปพลางอาศัยการดูดซับพลังเทพที่ได้จากโอสถหรือผู้ลึกเทพอันใด บอกได้คาเดียวว่าไม่ทัน…อัตราการเผาผลาญพลังกับอัตราการฟื้นฟูพลัง มันต่างกันพอสมควร!
สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับว่าใครอึดีกว่ากัน ฟื้นฟูได้ดีกว่ากัน
“ข้าไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย”
เชวียไห่ชวนกล่าวแย้ง “ตอนที่ข้าบังเอิญเห็นเฒ่าชราคู่นั้นผ่านมา ข้าก็เห็นแล้วว่าพวกมันแลดูอิดโรยคล้ายพึ่งผ่านการต่อสู้มาหมาด ๆ แถมีพลังเทพในร่างก็ไม่ได้สมบูรณ์พร้อม พอข้าตระหนักเรื่องนี้และพบว่าอัตราการฟื้นฟูพลังของพวกมันไม่ได้เร็วอะไร ข้าก็มั่นใจว่าหากวัดกันในศึกยืดเยื้อพวกมันสู้ข้าไม่ได้แน่นอน…ใช้วิ่งโร่ไปบวกอะไรของเจ้าล่ะ ?”
“แล้วเจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าเอะอะก็วิ่งไปบวกโดยไม่คิด ?”
เชวียไห่ชวนกล่าว
“เอาล่ะ ๆ เจ้าคิดดีแล้วก็ช่าง ดีดลูกคิดรางแก้วมาสามร้อยรอบก็ช่าง…ครั้งนี้ข้าจะไปด้วย”
ตงฟางเหยียนเหนียนคร้านจะเถียงกับเชวี่ยไห่ชวนสืบไป “คราวนี้พี่สะใภ้ของเจ้าเห็นด้วยแน่นอน”
“สุดท้ายข้าก็ไม่ได้ไปกับเจ้าคนเดียว แต่มีเสี่ยวเทียนอีกคน…ข้าจะบอกพี่สะใภ้เจ้าว่าข้าตามไปดูแลเสี่ยวเทียนไม่ให้เจ้าพาเสี่ยวเทียนไปตาย และหากเกิดอะไรผิดท่าแลดูไม่ค่อยสู้ดีขึ้นมา ข้าจะพาเสี่ยวเทียนเปิดตูดหนีก่อนเลย”
ตงฟางเหยียนเหนียนกล่าว
พอกล่าวจบคา ภายใต้สายตาอึ้ง ๆ ของต้วนหลิงเทียนกับเชวียไห่ชวน ตงฟางเหยียนเหนียนก็คลี่ยิ้มร่า “เอาตามนี้ล่ะ ข้าจะบอกนางว่าข้าไปเป็นผู้คุ้มกันเสี่ยวเทียน”
“ว่าแต่พวกเจ้าจะไปเมื่อไหร่ ?”
“ตอนนี้เลยเหรอ ? สักครูๆ ข้าขอ…แฮ่ม! บอกพี่สะใภ้พวกเจ้าสักครู…”
…
ถิ่นที่อยู่นิกายมังกรสวรรค์
ชายวัยกลางคนที่นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่บนหินสีดำก้อนใหญ่เบื้องหน้าน้าตกในหุบเขาแห่งหนึ่ง อยู่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นจกานั้นสองตาก็ฉายประกายเยียบเย็นออกมาวับวาบ “ต้วนหลิงเทียนั่นนัมนออกจากบ้านของเชวียไห่ชวนแล้ว ?”
“มุ่งหน้าไปทางสนามรบจอมราชันเทพเช่นั้นนรึ?”
ตอนแรกสองตามนก็เป็นประกายจ้า มุมปากคลี่ยิ้มแสยะเยียบเย็น
อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมาสีหนามินก็เปลื่ยนี้เป็นอึมครึมทันที่“อะไร เชวียไห่ชวนรวมถึงตงฟางเหยียนเหนียนก็ไปกับมันด้วย ?”
“เจ้าหนู2 คนั่นน พวกมันรู้หรือไรว่าต้วนหลิงเทียนกำลังตกอยู่ในอันตราย หากไปสนามรบจอมราชันเทพเพียงลาพัง ?”
“ไม่! เป็นไปไม่ได้!!”