WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3889 2 ผู้อาวุโสปฐพี
ครั้งที่แล้ว กว่าที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พบการู้สกันเองของอาวุโสฝ่ายในทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะ เขาก็เข้ามาในสนามรบจอมราชันเทพแห่งนี้ไปแล้ว 2 เดือนกว่า
ทว่าครั้งนี้ เขาพึ่งจะเข้ามาได้แค่เดือนเศษ กลับได้พบเจออาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะแล้ว
และผู้อาวุโสฝ่ายในคนนี้ของนิกายมหาเอกะ พลังฝีมือของมันก็ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่า 2 คนที่เขาพบเจอครั้งก่อนเลย ทว่าวันนี้ต้วนหลิงเทียนกลับฆ่ามันได้โดยไม่ยากเย็น แม้จะไม่ได้ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลื่ยน
ไฉนี้เป็นเช่นั้นน เพราะหนึ่งเลย กฏมิติของเขาบังเกิดความก้าวหน้าไม่น้อย
ประการที่สอง เพราะเขาใช้วิถีควบคุมออกมาอย่างแยบคาย และใช้ชวงเวลาตัดสินเขาก็ใช้มรรคากระบี่มิติออกมา แน่นอนว่าไม่ได้ใช้ออกเต็มกำลัง
และแน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ
อีกฝ่ายประเมินเขาต่าไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็อยู่ในการคำนวณของเขาด้วย
ตอนที่พบเจออีกฝ่ายครั้งแรก เขารู้แค่ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนของนิกายมหาเอกะ และอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะใช้คนดังอะไรในนิกายมหาเอกะ
ป้ายประจำตัวของนิกายมหาเอกะนั้น จะมีสัญลักษณ์นิกายอยู่ด้านหน้า ส่วนด้านหลังจะสลักชื่อเจ้าของป้ายเอาไว้
คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน แม้จะเห็นชื่อก็ไม่อาจบอกฐานะของมันได้ เว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะโด่งดังมากจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่อีกฝ่ายเปิดฉากจู่โจม ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันที่ว่าอีกฝ่ายเป็นจอมราชันเทพขั้นกลาง และจากการลงมือเขาก็รู้ว่ามันไม่ใช้อาวุโสปฐพี
ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบเจออาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะเป็นการส่วนตัว แต่จากที่เขาได้ยินมาว่าพลังฝีมือของอาวุโสปฐพีกับอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์จะพอ ๆ กัน เช่นั้นนก็ไม่น่าจะอ่อนด้อยไปกว่าอาวุโสมังกรขาว
ทว่าพลังฝีมือของชายวัยกลางคนผู้นี้ยังห่างชั้นจากอาวุโสมังกรขาวพอสมควร
ทำให้ในเวลานั้น เขาสรุปได้ทันที่ว่าอีกฝ่ายเป็นแค่อาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะเท่านั้น เป็นตัวตนในระดับเดียวกับ 2 อาวุโสฝ่ายในที่เขาฆ่าไปครั้งก่อน
‘จอมราชันเทพขั้นกลาง พอพบเจอจอมราชันเทพขั้นต่ำ…หากจอมราชันเทพขั้นต่ำเร่งรุดหลบหนีด้วยความตื่นกลัว สิบในสิบมันต้องไล่ฆ่าแน่นอน’
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงเล่นละครฉากหนึ่ง แสร้งทำเป็นหวาดกลัวและหนี้ไปทันที่สุดท้ายก็สามารถฆ่าศัตรูที่เร่งรุดไล่ตามมาอย่างย่ามใจไม่ยากเย็น
ทั้งหมดเป็นไปตามแผน
กล่าวได้ว่า ครั้งนี้เขาสามารถฆ่าอาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะได้ โดยที่ไม่เปิดเผยไพ่ตายอะไรออกมาสักใบ
สำหรับวิถีควบคุมที่เข้าใช้ออกมาอย่างแยบคายนั้น อันที่จริงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เขาได้ทำการศึกษาค้นคว้าดูแล้ว
วิถีควบคุมของเขา เป็นการควบคุมพื้นที่มิติ ซึ่งมีต้นตอมาจากกฏมิติที่เขาเข้าใจ เช่นั้นนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาขณะที่เขาทุ่มเวลาไป
กับการทำความเข้าใจกฏมิติ เขาก็ได้หาวิธีทำให้การใช้วิถีควบคุมของเขาแลดูคลุมเคลือเสมือนเขาใช้พลังจากกฏมิติ จนยากที่คนอื่นจะมองออกได้ง่าย ๆ หากไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ก็คงเห็นว่าเขาใช้กฏมิติเฉย ๆ
หลังจากศึกษาค้นคว้าและทุ่มเทอยู่ 2 ปี บวกกับชมดูลูกแก้วเงาลอยของยอดฝีมือที่ใช้กฏมิติ ในที่สุดเขาก็ได้แนวคิดอะไรมาพอสมควร
เมื่อครูเขาก็ลองใช้ดู
พิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ถึงแม้เชวียไห่ชวนกับตงฟางเหยียนเหนียนจะเป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ และระดับพลังฝึกปรือสูงกว่าเขา พลังฝีมือก็สูงกว่าเขา แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่มีทางมองออกแน่
ซึ่งเขาได้คิดไว้แล้ว พอเกิดขึ้นจริง ๆ เขาก็เลยไม่ได้แปลกใจอะไร
จุดประสงค์ที่เขาศึกษากลวิธีเช่นนี้ ทั้งหมดเพื่อให้ตัวตนในขอบเขตเดียวกับเขา หรือเหนือกว่าเขาไม่อาจมองออกได้ง่าย ๆ สำหรับตัวตนที่มีด่านพลังเหนือกว่าเขามาก ๆ อย่างจักรพรรดิเทพขึ้นไป ต้วนหลิงเทียนรู้สึกว่าต่อให้เขาใช้วิถีควบคุมออกอย่างแยบคายแค่ไหน อีกฝ่ายก็เห็นได้ชัดเจนอยู่ดี
ก็เหมือนเด็กน้อยเล่นกล สามารถหลอกเด็กในวัยเดียวกัน หรือโตกว่านิดหน่อยได้อยู่ แต่ไม่อาจหลอกผู้ใหญ่เจนประสบการณ์ได้แน่นอน
เป็นธรรมดาว่าในที่นี้ก็เปรียบเสมือนเด็กน้อยเป็นผู้ไร้ประสบการณ์ และผู้ใหญ่เป็นผู้มากประสบการณ์
“เสี่ยวเทียนถึงแม้ครั้งนี้เจ้าจะฆ่าอาวุโสฝ่ายในของนิกายมหาเอกะได้เพราะเจ้าหลอกให้มันตายใจก่อนจะจู่โจมอัศจรรย์ …แต่ทว่าข้าตัดสินจากพลังของกฏมิติที่เจ้าใช้ออก รวมถึงมรรคากระบี่ขั้นพื้นฐานของเจ้าแล้ว ข้าบอกได้เลยว่าต่อให้พลังฝึกปรือของมันจะสูงกว่าเจ้าขั้นหนึ่ง แต่หากเจ้าต้องปะทะกับมันตรง ๆ ถึงเจ้าจะเอาชนะมันไม่ได้ แต่มันก็เอาชนะเจ้าไม่ได้เช่นกัน…”
เชวียไห่ชวนมองต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าในเวลาแค่ 2 ปี เจ้าจะก้าวหน้ำขึ้นมาถึงขนาดนี้…แม้ระดับพลังบ่มเพาะเจ้าจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ความเข้าใจในกฏมิติของเจ้าตอนนี้ ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าความเข้าใจในกฏของข้าเลย”
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้พูดอะไร ตงฟางเหยียนเหนียนก็หัวเราะเยาะตัวเองออกมา “เหอ ๆ อยู่ ๆ ข้าก็รู้สึกเสมือนวันเวลาหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมาของข้ามันช่างไร้ค่าดุจชีวิตสุนัขตัวหนึ่ง…”
“แม้แต่ชายหนุ่มที่อายุยังไม่ทันถึง 3,000 ปีที่ก็มีความเข้าใจในกฏเท่าเทียมกับข้าแล้ว…”
ตงฟางเหยียนเหนียนหัวเราะเยาะตัวเองไม่หยุด ยังส่ายหัวไปมาราวผิดหวังมาก
ได้ยินคาถล่มตัวเองของตงฟางเหยียนเหนียน ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก และพอเห็นอาการของอีกฝ่ายแล้ว เขาไม่กล้าบอกจริง ๆ ว่าเขาไม่ใช้แค่อายุน้อยกว่า 3,000 ปีเท่านั้น…
เขาได้กินโอสถเทพที่มีฤทธิ์เปลื่ยนอายุกระดูกไป…เพิ่มอายุกระดูกขึ้น 2,000 ปี
อายุที่แท้จริงของเขายังไม่ถึง 1,000 ปี
กระทั่งเขายังพึ่งมีอายุได้ 700 ปีกว่าเท่านั้น
“เรื่องนี้เจ้าไม่อาจเอามาวัดกันได้”
พอเห็นตงฟางเหยียนเหนียนแลดูซึมเซา เชวียไห่ชวนก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าว “เจ้าไม่เห็นการลงมือของเสี่ยวเทียนเมือครูหรือไร นั่นใช้อะไรที่คนเกียจคร้านทำได้หรือไม่…หากไม่ใช้ว่าผ่านอะไรมามากมายและมีประสบการณ์ต่อสู้ข้ามผ่านความเป็นตายมานักต่อนัก จักทำได้หรือ ?”
“เรื่องนี้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์”
“ทว่าในเวลาไม่ถึง 3,000 ปี เสี่ยวเทียนกลับมีประสบการณ์ที่ไม่น่าจะน้อยไปกว่าพวกเรา…เช่นั้นนไม่ว่าใครก็คงนึกภาพออกว่าเสี่ยวเทียนต้องผ่านเรื่องราวมาสาหัสขนาดไหน”
เทียบกับตงฟางเหยียนเหนียนแล้ว เชวียไห่ชวนมองเรื่องราวได้กระจ่างกว่า
พอตงฟางเหยียนเหนียนได้ยิน และนึกถึงฉากการลงมือก่อนหนามินก็นิ่งไปสักพัก จากนั้นก็กล่าวออกมาพลางระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “จริงของเจ้า ไม่ใช้ว่าจอมราชันเทพขั้นต่ำทุกคนจะลงมือได้ยอดเยี่ยมไร้ที่ติเหมือนเสี่ยวเทียนยามเผชิญหน้ากับจอมราชันเทพขั้นกลาง”
“อย่างน้อย ๆ ให้เป็นตัวข้าเอง หากอยู่ในขอบเขตจอมราชันเทพขั้นต่ำและมีลูกไม้ทั้งหมดเหมือนเสี่ยวเทียน ข้าก็ไม่กล้าพูดว่าจะทำได้เช่นั้นน”
…
สำหรับการลงมือที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ของต้วนหลิงเทียนั้นน ไม่ว่าจะตงฟางเหยียนเหนียน หรือเชวียไห่ชวนอดทึ่งไม่ได้จริง ๆ
ขณะเดียวกัน พวกมันก็เห็นความสำเร็จในกฏมิติของต้วนหลิงเทียนแล้ว พวกมันตระหนักได้ว่าคงอีกไม่นาน ชายหนุ่มเบื้องหน้าอาจจะไล่ตามพวกมันทัน ต่อให้ด่านพลังของอีกฝ่ายยังไม่บรรลุถึงจอมราชันเทพขั้นกลางก็ตามที่
“เป็นอย่างไร เจ้ารู้สึกกดดันรึ?”
เชวียไห่ชวันที่กลับไปลอบติดตามต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง หันไปยิ้มถามตงฟางเหยียนเหนียนข้างกายผ่านพลัง
พอตงฟางเหยียนเหนียนได้ยินคำถามดังกล่าว มันก็หันไปมองค้อนเชวียไห่ชวนทันที่ส่งเสียงผ่านพลังกลับไปว่า “ข้าว่าคงเป็นเจ้ามากกว่ากิระมังที่กำลังรู้สึกกดดัน ฐานะข้าในนิกายมังกรสวรรค์ไม่ใช้ชนชั้นอัจฉริยะอันใด…แต่เจ้าสิ แม้เจ้าจะเป็นอาวุโสมังกรขาวเหมือนกันกับข้า แต่ข้าได้ยินระดับสูง ๆ ของนิกายพูดกันหลายต่อ
หลายครั้ง ว่าเจ้าเป็นคนที่มีแนวโน้มจะบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพมากที่สุดในนิกาย…”
“อาวุโสก็แค่พดไปเรื่อย…”
เชวียไห่ชวนคลี่ยิ้มบาง ๆ แลดูไม่ได้สนใจหรือไม่แปลกใจในเวลาเดียวกัน
“ดูเหมือนเจ้าเองก็เคยได้ยินมาแล้วสินะ”
ตงฟางเหยียนเหนียนหยีตามองลึกไปทางเชวียไห่ชวน “เจ้าไม่เก็บเอาไปคิดีหรือติดใจอะไรบ้างรึ?”
ด้านเชวียไห่ชวนกับตงฟางเหยียนเหนียนที่ลอบติดตามต้วนหลิงเทียนก็คุยกันผ่านพลังไปเรื่อย ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนที่เหินร่างกลางหาวอย่างโจ่งแจ้ง ก็ยังท่องไปในสนามรบจอมราชันเทพด้วยความเร็ว
หนึ่งวันผ่านไป ไม่เห็นแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตใด
หลังผ่านไป 2 วัน ก็ไร้วี่แววอะไรเหมือนเดิม
3 วันผ่านไป…
จนเมือผ่านไปครึ่งเดือน ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอคนตัวเป็น ๆ และอีกฝ่ายก็เป็นอาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์คนหนึ่ง แม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายกลับรู้จักและจาเขาได้
หลังต้วนหลิงเทียนพบเจออีกฝ่าย ก็สนทนากันด้วยดีก่อนจะแยกย้ายกันไป
ไม่นานั้นก็กผ่านไปอีกครึ่งเดือน
จนถึงตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอคนของนิกายมังกรสวรรค์เพิ่มอีก 2 คน หนึ่งในนนี้เป็นอาวุโสฝ่ายใน ส่วนอีกคนี้เป็น
เพียงผู้ดูแลฝ่ายใน ซึ่งฝ่ายหลังยังคิดจะร่วมมือกับเขาด้วยแต่เขาปฏิเสธไปอย่างสุภาพ
ไม่ใช้ว่าเขาเลือดเย็นไร้นำใจ แต่ที่เขาเข้ามาที่นี่ การหาแต้มรบเป็นเรื่องร้อง ส่วนเรื่องหลักนั้นคือการควบคุมใช้กฏมิติที่พึ่งก้าวหน้าให้เชี่ยวชาญ
เพราะเมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อน กฏมิติในปัจจุบันของเขาได้ก้าวหน้ำขึ้นอย่างก้าวกระโดด
แต่ยังไม่มีโอกาสได้ลองใช้จริงเลย
ตอนนี้ ก็เลยหมายนามาใช้จริงในสนามรบจอมราชันเทพ เพื่อขัดเกลามันให้ดียิ่งขึ้น
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน
ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ได้พบเจอกับคนของนิกายมหาเอกะอีกครั้ง แถมยังพบเจอพร้อม ๆ กัน 2 คน!
“สองคนั่นน…เป็นคนของนิกายมหาเอกะ”
เมื่อต้วนหลิงเทียนพบเจอทั้งคู่ เขาก็จงใจเหินร่างเข้าไปหาจนใกล้มากพอจะแลเห็นป้ายประจำตัวของอีกฝ่าย พอเห็นชัดแล้วสองตาเขาก็ลุกวาวทันที่
2 คนนี้ หนึ่งในนนี้เป็นชายชราที่มีใบหน้าอ่อนวัยมาในชุด คลุมยาวคล้ายนักพรตเต๋า ส่วนอีกคนี้เป็นชายวัยกลางคนมาในชุดจเรียบง่ายแลดูทะมัดทะแมง รูปร่างของมันผ่ายผอมผิวซีด หากทวาดวงตาคู่นั้นของมันช่างแหลมคมเหลือเกิน
ก่อนที่ต้วนหลิงเทียนจะได้เหินร่างเข้าหา ทั้ง 2 คนของนิกายมหาเอกะก็ได้พบเขาแล้ว
เดิมพวกมันก็คิดจะไปหาต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
ทว่าพอเห็นต้วนหลิงเทียนกำลังมาหาพวกมันเอง พวกมันจึงเลือกหยุดรอกลางหาว
พอพวกมันเห็นป้ายประจำตัวของนิกายมังกรสวรรค์บนร่างต้วนหลิงเทียน สีหน้าของชายชราก็แลดสูงบไม่ยินดียินร้ายใด ๆ ส่วนชายวัยกลางคนแลดูยินดีอยู่บ้าง หันไปกล่าวคากับชายชราว่า “เจ้านั่นมิใช่ผู้อาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์”
“เป็นแค่จอมราชันเทพคนหนึ่งในนิกายเท่านั้น”
“เต็มที่ก็เป็นแค่อาวุโสฝ่ายใน”
ได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน ชายชราก็พยักหน้ารับคาเบา ๆ “ฆ่ามันเสีย จากนั้นก็เดินทางต่อดูว่าจะพบเจออาวุโสมังกรขาวของมังกรสวรรค์หรือไม่”
สิ้นคำกล่าว สองตาชายชราก็เผยเจตนาฆ่าฟันออกมาเด่นชัด ราวกับมีความแค้นกับชนชั้นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์เป็นพิเศษ
“อาวุโสมังกรขาว ?”
ด้านต้วนหลิงเทียนที่ได้ยินคำพูดของชายชรา สีหน้าเขาก็เปลื่ยนไปเล็กน้อย เพราะในเมืออีกฝ่ายกล้าพูดมาแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อย ๆ ก็ต้องเป็นชนชั้นอาวุโสปฐพีของนิกายมหาเอกะ!
ส่วนอีกคน เขายังไม่แน่ใจว่าจะใช้อาวุโสปฐพีด้วยรึเปล่า
วูบ!
ร่างต้วนหลิงเทียนสั่นไหวเบา ๆ ก่อนจะล่าถอยกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
อาวุโสปฐพีไม่ใช้ตัวตนที่เขาจะรับมือได้
อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่อาจฆ่ามันได้หากไม่เปิดเผยไพ่ตายใด ๆ
“จอมราชันเทพขั้นต่ำรึ?”
ในขณะที่ชายชราเลิกคิ้ว ชายวัยกลางคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ข้าหลงคิดว่าอย่างน้อย ๆ มันก็เป็นอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์เสียอีก แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแค่จอมราชันเทพขั้นต่ำเท่านั้น”
“ไอ้หนูนิกายมังกรสวรรค์ เจ้าพบเจอพวกเราเช่นนี้ นับว่าโชคดีแล้ว!”
พูดจบคา ร่างชายวัยกลางคนก็เหินทะยานตามต้วนหลิงเทียนไปทันที่
พริบตาเดียวร่างมันก็บรรลุถึงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน พุ่งมือออกไปราวกับจะคว้าจับต้วนหลิงเทียน
ต้วนหลิงเทียนรู้สึกกดดันทันที่เมื่ออีกฝ่ายพุ่งมือออกมา สีหน้าเขายังเปลื่ยนี้เป็นจริงจังทันที่‘เจ้านี่ก็เป็นอาวุโสปฐพีของนิกายมังกรสวรรค์ด้วย’
แม้อีกฝ่ายจะลงมือส่ง ๆ แต่ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกหวั่นเกรง
ฟุ่บ!
ทว่าในขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะคว้าจับร่างต้วนหลิงเทียนได้นั้น ราวกับมันสังเกตเห็นอะไรบางอย่างร่างของมันพร่าเลื่อนหายไป เสียง ‘ฟุ่บ’ ดังขึ้นแผ่วเบา คนพุ่งถอยกลับไปไกลห่างในฉับพลัน พริบตาก็กลับมาหยุดลงข้างกายชายชรา
จากนั้นร่าง 2 ร่างที่พุ่งลงมาจากฟ้าฉับไวราวทวยเทพ ก็มาหยุดลงเบื้องหน้าต้วนหลิงเทียน ปกป้องต้วนหลิงเทียนเอาไว้ด้านหลัง
จากนั้น พวกมันก็มองจ้องไปยังอาวุโสปฐพีทั้ง 2 ของนิกายมหาเอกะ