WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3894 มาถึงระนาบโลกียะ
“เป็นระนาบโลกียะเช่นั้นนรึ…”
ร่างจริงของต้วนหลิงเทียนยังคงบ่มเพาะฝึกฝนอยู่ในระนาบเทพ ส่วนร่างอวตารกฏมิตินั้น บัดนี้ได้ใช้กระสวยทลายนภาฉีกเปิดมิติ จนเดินทางมาถึงระนาบเบื้องล่างเรียบร้อย
สำหรับเรื่องที่จะมาปรากฏตัวในระนาบโลกียะหรือระนาบเทวโลกนั้น ต้วนหลิงเทียนไม่อาจเลือกได้จริง ๆ
สิ่งเดียวที่พอจะบอกได้ก็คือหากไม่ปรากฏตัวในระนาบโลกียะก็จะเป็นระนาบเทวโลก
และในสหัสโลกธาตุแห่งนี้ ด้วยความที่จำนวนระนาบโลกียะมันมีมากมายเหนือกว่าระนาบเทวโลกหลายขุม ทำให้โอกาสสุ่มมาปรากฏตัวในระนาบโลกียะจึงมีมากกว่า
การกระทำใด ๆ ของร่างอวตารกฏก็ได้ถูกควบคุมโดยสำนึกสติเสี้ยวหนึ่งของร่างจริงเท่านั้น ทำให้มันไม่ได้ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อร่างจริงเลย
ดังนั้นถึงแม้ร่างอวตารกฏมิติของต้วนหลิงเทียนจะมาปรากฏตัวในระนาบโลกียะ ทว่าร่างจริงของต้วนหลิงเทียนยังคงบ่มเพาะฝึกฝนอยู่ในระนาบเทพได้อย่างไร้ปัญหา
แต่แน่นอนว่าเขาไม่อาจปิดด่านบ่มเพาะถึงขั้นตัดขาดทุกสิ่งได้ เพราะยังต้องควบคุมสำนึกสติเสี้ยวหนึ่งที่แบ่งไปให้ร่างอวตารกฏ
เว้นเสียแต่ร่างอวตารกฏจะไม่ได้ทำอะไร เช่นั้นนร่างจริงก็สามารถอุทิศตัวทาอย่างอื่นได้ ไม่ว่าจะบ่มเพาะฝึกฝนหรือหลอมโอสถเทพ
‘ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้รีบร้อนจะหลอมโอสถเทพอะไร…เช่นั้นนกลับไปดูสถานการณ์ในจเมี่ยเทียนก่อนดีกว่า’
ร่างอวตารกฏมิติของต้วนหลิงเทียนั้นน หลังใช้กระสวยมิติแล้ว ก็ได้มาปรากฏตัวยังทะเลสาบของระนาบโลกียะแห่งหนึ่ง และเหตุไฉนที่เขารู้ว่ามันเป็นระนาบโลกียะโดยที่ไม่ต้องตรวจสอบอะไร ก็เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินที่นี่มันช่างเบาบางเหลือเกิน
“หืม ?”
ทันใดนั้นเองหลังจากต้วนหลิงเทียนปรากฏตัวได้ไม่นานเขาก็พบว่า มีคนกลุ่มปรากฏตัวขึ้นไกล ๆ จากนั้นพวกมันก็เร่งรุดควบม้ามาปิดล้อมเขาเอาไว้
ทั้งหมดมีกัน 20 กว่าคน และจากที่เขาดูเหมือนพวกมันจะเป็นกลุ่มย่อย ที่แต่ละกลุ่มมีอยู่กันราว 3-5 คน ในปัจจุบันไม่ว่าใครก็มองจ้องมาที่ต้วนหลิงเทียนเข็มง
ต้วนหลิงเทียนกวาดตามองผู้คนทั้งหลายผ่าน ๆ สำนึกเทวะของเขาแผ่ขยายออกไปฉับไว พริบตาก็รับทราบพลังฝึกปรือของกลุ่มคนเหล่านี้..ส่วนใหญ่เป็นจักรพรรดิยุทธ์ทั้งนั้น และมีเพียงไม่กี่คนที่พลังฝึกฝนีออนด้อย ซึ่งรั้งอยู่ในขอบเขตราชันยุทธ์เท่านั้น
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน!?”
“ทะเลสาบสายหมอกแห่งนี้ ถูกสำนักเทพของพวกเราปิดกั้นไว้หมดแล้ว เช่นั้นนเจ้าลอบเข้ามาได้อย่างไรกันแน่!?”
“สิ่งที่กำลังจะปรากฏขึ้นในทะเลสาบสายหมอกล้วนี้เป็นของสำนักเทพพวกเรา…เจ้าเร่งสารภาพมาเถอะว่ามาจากขขุมกำลังใด ทั้งบอกมาแต่โดยดีว่ายังมีสหายของเจ้าอยู่ที่นี่อีก หรือไม่ แล้วผู้ใดเป็นสายลอบช่วยเหลือเจ้าให้เข้ามาที่นี่กันแน่! หากไม่พูดเช่นั้นนเจ้ากอย่าหวังจะรอดกลับออกไปได้ทั้งยังมีชีวิต!!”
…
ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะได้พูดอะไร ผู้คนโดยรอบก็เร่งกล่าวจี้ถามออกมากันใหญ่ และน้ำเสียงท่าทีของพวกมันก็ไร้ซึ่งความกริ่งเกรงใด ๆ กระทั่งในสายตาที่มองมายังฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอันเยียบเย็น
“มีอะไรจะปรากฏที่นี่งั้นเหรอ ?”
ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปครูหนึ่ง จากนั้นสำนึกเทวะของเขาก็แผ่กวาดไปทั่วทะเลสาบเบื้องล่างในชั่วพริบตา
พริบตาทุกสิ่ง ทุกอย่างในทะเลสาบแห่งนี้ก็ปรากฏขึ้นในการรับรู้ของเขา ขณะเดียวกันเขาก็ทราบแล้ว ว่าไฉนคนพวกนี้ถึงได้มาปิดล้อมเขาเอาไว้…ที่แท้ใต้ทะเลสาบแห่งนี้มีถ้าอยู่ด้านใต้ และภายในถ้าก็มีอุปกรณ์อมตะหลายชิ้น ทั้งอาวุธและชุดเกราะ
อินจจาอุปกรณ์อมตะเหล่านี้ ในสายตาเขามันไม่ต่างอะไรจากเศษเหล็กบุโรทั่งแม้แต่น้อย
แต่สำหรับผู้คนในระนาบโลกียะแล้ว มันเป็นสิ่งของอันล้าค่าถึงขีดสุด
‘ถ้าแห่งนั้นที่แท้มีค่ายกลปกปิดจัดตั้งเอาไว้…ทว่าค่ายกลที่ว่ากำลังจะเสื่อมถอยเอาช่วงนี้พอดี อีกไม่นานถ้าที่ถูกซ่อนอยู่ใต้ทะเลสาบก็คงจะปรากฏขึ้นสู้สายตาของทุกคน’
‘สมควรเป็นเหล่าครึ่งก้าวเซียนอมตะที่กำลังจะขึ้นไปยังระนาบเทวโลก หรือไม่ก็เหล่าเซียนอมตะที่คิดถึงบ้านเกิดลอบกลับมาจัดตั้งค่ายกลไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ค้นพบ…อีกความเป็นไปได้ก็คือผู้ที่ทิ้งของไว้วก็คือเหล่าเซียนอมตะที่มาจากขุมกำลังที่เรียกว่าสำนักเทพอันยยึดครองพื้นที่แถบนี้เหลือสมบัติทิ้งไว้ให้และทิ้งบันทึกระยะเวลาเอาไว้คร่าว ๆ’
หลังครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่งต้วนหลิงเทียนก็หมดความสนใจในตัวถ้าสมบัติที่กำลังจะปรากฏดังกล่าว แม้สิ่งของด้านในจะเป็นดั่งสิ่งของชั้นเลิศสำหรับคนในระนาบโลกียะมากก็ตาม
เพราะสำหรับเขาแล้ว มันไม่ได้มีค่าอะไรเลย ยังสู้หินเทพโง่ ๆ ก้อนเด็ยวไม่ได้ด้วยซ้ำ
‘รีบไปดีกว่า’
ต้วนหลิงเทียนคิดในใจ เตรียมพร้อมออกเดินทางไปยังระนาบเทวโลก
ด้วยระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเขา แค่กระดิกินิ้วก็สามารถฉีกเปิดห้วงมิติได้โดยง่าย หลังจากเข้าสู่ช่องว่างมิติแล้ว เขาก็สามารถแผ่สำนึกเทวะออกไปสัมผัสถึงการคงอยู่ของระนาบเทวโลกใกล้ ๆ ได้ง่ายดาย ขอเพียงเขาพบเจอกาแพงมิติกั้นแบ่งระนาบเทวโลกแห่งไหน เขาก็สามารถฉีกเปิดกาแพงมิติดังกล่าวเพื่อเข้าสู่ระนาบเทวโลกแห่งนั้นได้ทันที่
สำหรับสถานที่ลี้ลับอื่น ๆ นอกเหนือจากระนาบเทวโลก ไม่ว่าจะสถานที่ต้องห้ามก็ดี หรือสถานที่ๆ มีความผันผวนแปรปรวนของห้วงมิตินั้น เขาไม่กล้าเสี่ยงเข้าไปเด็ดขาด
เพราะบางครั้งพื้นที่ๆ มีความผันผวนดังกล่าว อาจเป็นสถานที่อันตรายเพราะพลังบางอย่างหรือไม่ก็เป็นห่วงมิติผันผวันที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งนั่นี้เป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงจอมราชันเทพเช่นเขาเลย แม้แต่จักรพรรดิเทพ กระทั่งตัวตนระดับอริยะเทพ หากประมาทก็มโอกาสตกตายในสถานที่ดังกล่าวได้
ห้วงมิติผันผวน เป็นอะไรที่มีแต่ตัวตนระดับอริยะเทพอันทรงพลังเท่านั้น ที่สามารถอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่ง
แต่กล่าวกันว่า ผู้แข็งแกร่งที่สุดนั้น สามารถท่องไปในพื้นที่มิติผันผวนได้สบาย ๆ ราวเดินในสวนหลังบ้าน
จะอย่างไรก็ตาม สำหรับสถานที่ๆ อริยะเทพอันทรงพลังสามารถอยู่ได้ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ใช้อะไรที่จักรพรรดิเทพจะอยู่ได้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงจอมราชันเทพเช่นเขาเลย
‘หากข้าเผลอเข้าไปยังพื้นที่มิติแปรปรวนโดยไม่ตั้งใจ เกรงว่าอาศัยพลังระดับจอมราชันเทพขั้นต่ำ คงไม่อาจรั้งอยู่ได้แม้แต่ครึ่งลมหายใจ…มีแต่ตายกับตายเท่านั้น’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนนิ่งคิเตียมมเดินทางนั้น ในสายตาของกลุ่มคนที่มาปิดล้อมก็ไม่ต่างอะไรจากเขาไม่แยแสพวกมัน ทำให้พวกัมนอึ้งไปอยู่บ้าง และในที่สุดก็มีคนทนการเมินเฉยของต้วนหลิงเทียนไม่ไหว เลือกจะเปิดฉากลงมือใส่เขา
จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งของระนาบโลกียะ ทะยานร่างเข้ามาก่อนจะตบฟาดฝ่ามือแต่ไกล ปรากฏฝ่ามือพลังไร้สภาพขนาดใหญ่ ฝ่าอากาศตรงเข้ามากระทบร่างต้วนหลิงเทียนอย่างจัง
ปงงง!!
พริบตาต่อมาเสียงระเบิดพลันดังขึ้น เวิ้งน้าซ่านกระเซ็นวุ่นวาย มวลหมอกปั่นป่วน อย่างไรก็ตามเมื่อทุกสิ่งอย่างหวนคืนสู่ความสงบ ทุกคนก็ได้แต่ตะลึงงันไปราวตัวโง่งม
หลิงคง จักรพรรดิยุทธ์ผู้ลงมือบัดนี้ลอยร่างเหนือทะเลสาบด้วยความื้อออึง เมื่อครูฝ่ามือที่มันัซดออกนั้น ได้ใช้พลังไปกว่า 8 ส่วนแล้ว ต่อให้เป็นชนชั้นจักรพรรดิยุทธ์ด้วยกันหากไม่เตรียมพร้อมรับมือดี ๆ ก็มีโอกาศตายตก
อย่างไรก็ตาม มันเห็นฉากเรื่องราวชัดเจน ชายหนุ่มชุดม่วงเพียงยืนอยู่ตรงนั้นเฉย ๆ ไม่คล้ายใช้พลังใดๆ ทั้งสิ้น แต่ฝ่ามือที่มันซัดไปเมื่อครูไม่ทันที่จะถึงตัวอีกฝ่ายก็เริ่มสลายหายไป ราวสายลมบางเบาหอบหนังก็ระทบผาแกร่ง…
คนไม่คล้ายรู้สึกรู้สาอะไร ชายเสื้อยังไม่ขยับด้วยซ้ำ!
อันที่จริงไม่ต้องกล่าวถึงต้วนหลิงเทียนที่ตอนนี้บรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้วเลย ต่อให้เป็นเทพขั้นต่ำที่พึ่งทะลวงผ่าน อาศัยพลังเทพในร่างที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติ จักรพรรดิอมตะทั่วไปก็แทบจนปัญญาจะทาอันตรายใด ๆ ได้แล้ว…
และการป้องกันตามธรรมชาติของจอมราชันเทพขั้นต่ำ ใต้ขอบเขตราชาเทพก็เลิกหวังเรื่องจะทาร้ายเขาได้แล้ว
ขอบเขตเซียนอมตะยิ่งไม่มีปัญญา
เช่นั้นนนับประสาอะไรกับจักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่ง ที่ยังไม่แม้แต่จะบรรลุถึงขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์
ที่สำคัญร่างของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน ไม่ใช้ร่างจริงที่ปกติก็มีแค่พลังเทพแผ่ออกมาปกคลุม ทว่ามันคือร่างอวตารกฏมิติที่นอกจากพลังเทพแล้วยังมีพลังของกฏมิติ! และด้วยพลังของกฏมิติในปัจจุบันของเขา ให้เป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ที่พลังฝีมือร้ายกาจระดับเทพสงคราม 9 ดารา ตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจักรพรรดิสวรรค์ส่วนใหญ่ ก็ไม่มีปัญญาทาลายได้
หลังจากเหม่อคิดไปไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
ที่ยืนนิ่งรับพลังฝ่ามือของอีกฝ่าย ไม่ใช้เขาไม่ทันรู้ตัวจนไม่ทันได้ตอบสนอง เพียงแต่ตัวตนที่มีพลังฝึกปรือเพียงจักรพรรดิยุทธ์นั้น ในสายตาเขาต่อให้อีกฝ่ายแลกด้วยชีวิตก็ไม่มีปัญญาสั่นคลอนพลังไร้สภาพคลุมกายที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติของเขาได้ ประหนึ่งสายลมบางเบาหอบหนึ่ง เช่นั้นนเขาจะป้องกันไปทำอะไร ?
ประหนึ่งมหายักษ์สูงเท่าตึกระฟ้า พบเจอทารกน้อยไม่หย่านมทุบตี จำเป็นต้องลดมือลงไปขัดขวางหรือไม่ ? จำเป็นต้องกันหมัดที่ไม่แม้แต่จะเขย่าเส้นขน หรือไม่ ?
เหลวไหลสิ้นดี
ในเวลาเดียวกัน เหล่าผู้ที่มุ่งชมอยู่บัดนี้ ก็ไม่เหลือใครชักสีหน้าไม่พอใจมุ่งร้ายสืบไป คงเหลือก็แต่ความตื่นตระหนกหวาดกลัวเท่านั้น
สวรรค์ !
นี่เป็นสัตว์ประหลาดอันใดกันแน่ ?!
ผู้คนยืนอยู่เฉย ๆ แต่จักรพรรดิยุทธ์คนหนึ่งลงมือจู่โจมออกไปอย่างดุร้าย กลับไม่อาจฝ่าพลังป้องกันไร้สภาพคลุมกายจากไอพลังที่แผ่ออกมาตามธรรมชาติได้ด้วยซ้ำ ?
ต่อให้เป็นตัวตนระดับเซียนอมตะ ก็ไม่มีพลังสามารถถึงขนาดนี้กระมัง ?
หลังจากต้วนหลิงเทียนกลับมารู้สึกตัว เขาก็เหลือบมองไปยังจักรพรรดิยุทธ์ที่ลงมือต่อเขา พลางเอ่ยออกเสียงเบา “ข้ายืนอยู่เฉย ๆ เจ้ากลับลงมือโดยไร้เหตุผลด้วยพลังเกือบทั้งหมด ทั้งยังคิดฆ่าข้าอีก…หากเป็นตอนปกติ ข้าคงฆ่าเจ้าทิ้งไปแล้ว…”
หากต้วนหลิงเทียนพูดแบบนี้ก่อนหน้า ทุกคนคงได้หัวเราะกันฟันร่วงและไม่มีใครยึดถือเป็นจริงจัง
แต่มาตอนนี้ คำพูดของเขา ไม่มีใครกล้าละเลยไม่เชื่อฟัง
ด้านจักรพรรดิยุทธ์ที่ถูกต้วนหลิงเทียนเหลือบมองมันก็หวาดกลัวจนหน้าซีด กุลีกุจอคุกเข่าลงกลางอากาศเร่งวิงวอนร้องขอความเมตตาออกมาไม่หยุด “ขอคุณชายท่านี้นโปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วย!”
ตัวตนที่เป็นดั่งอยู่ใต้หนึ่งแต่อยู่เหนือนับหมื่นในทวีปเมฆาครามบ้านเกิดเขาในระนาบเซียนอย่างจักรพรรดิยุทธ์ บัดนี้ได้ละทิ้งศักดิ์ศรีทั้งหมดโดยสมบูรณ์
และฉากดังกล่าว แม้ทุกคนโดยรอบจะเห็นความน่าสมเพชของมันชัดเจน แต่ไม่มีใครเย้ยเยาะดูแคลนมันเลย
เพราะชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า ช่างน่าสะพรั่งกลัวจริง ๆ
ด้วย ‘การป้องกัน’ ที่อีกฝ่ายเผยให้เห็น พวกมันย่อมตระหนักได้ถึงความรายกาจที่อยู่เหนือสามัญสำนึกชัดเจน ต่อให้พวกมันจะยกมาทั้งสำนักเทพ แต่น่ากลัวจะไม่ใช้คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย!
นี่คือตัวตนที่สามารถทาลายสำนักของพวกมันได้ง่าย ๆ
“ตัดแขนทิ้งเสีย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวค่าเสียงเรียบ “จะเป็นแขนข้างใดก็ได้”
พอต้วนหลิงเทียนกล่าวคำนี้ออกมา จักรพรรดิยุทธ์ที่คุกเข่าอยู่ก็บังเกิดความปิติยินดีเป็นที่สุด มันยกมือขว่าข้างที่ถนัดฟันฝ่ามือต่างดาบตัดแขนซ้ายทิ้งทันที่
อีกทั้งดูเหมือนมนจะทาเพื่อดับโทสะต้วนหลิงเทียน จึงเลือกจะซัดพลังทาลายแขนซ้ายจนแหลก จนไม่อาจเชื่อมต่อได้อีก
แต่ที่จริงแล้วในใจของมันั้นนคิดไปว่าหลังจากออกจากที่นี่ไปยังดินแดนที่สูงกว่า มันจะไปขอโอสถดี ๆ จากพี่ชายของมันที่เป็นหัวหน้ากองกำลังในดินแดนดังกล่าว เรื่องฟื้นฟูแขนสักข้างก็ไม่ใช้ปัญหาอะไร เพียงแค่ต้องจ่ายสมบัติที่มีออกไปหมดตัวเท่านั้น
กับโอสถเม็ดหนึ่ง แต่แลกทั้งชีวิตได้ ไยไม่คุ้ม ?
“คุณชาย มิทราบท่านมีสิ่งใดต้องการให้ข้าน้อยทาอีก หรือไม่ ?”
หลังจากสูญเสียแขนไปแล้ว จักรพรรดิยุทธ์ดังกล่าวก็เร่งถามออกมา เห็นชัดว่ามันกลัวต้วนหลิงเทียนยังโกรธอยู่
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนพอเห็นอีกฝ่ายทาลายแขนแล้วเขาก็คร้านจะสนใจอะไรอีก หลังละสายตาออกมา เขาก็โบกมือไปยังความว่าง เปล่าเบื้องหน้าเบา ๆ
พริบตาต่อมา
เปรียะ!
เสียงปริฉีกดังขึ้น พลังที่ปกคลุมไปทั่วฝ่ามือของต้วนหลิงเทียนอย่างเบาบาง มิคาดกลับทำให้ฝ่ามือเขาฉีกเปิดห้วงมิติได้อย่างง่ายดายราวกระดาษเปื่อยเปียกน้าผืนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามีพลังเบาบางดังกล่าว สำหรับเหล่าจักรพรรดิยุทธ์โดยรอบแล้วนน่คือพลังอันมหาศาลปานจะทาลายล้างโลกได้ง่าย ๆ!
จังหวะนี้ พวกมันถึงขั้นหยุดหายใจลงอย่างพร้อมเพรียง
ถึงแม้พลังอันน่าสะพรั่งกลัวันน่จะถูกควบคุมให้อยู่ในฝ่ามือไม่ซัดออก แต่พวกมันก็สัมผัสได้ถึงความน่าสะพรั่งกลัวชัดเจน นั่นคือพลังที่ฉีกเปิดได้กระทั่งความว่าง เปล่า!!
พริบตาต่อมา ความว่าง เปล่าที่ฉีกเปิดนั่น ก็ขยายออกเป็นวงกว้าง เผยให้เห็นความมืดดาอันไร้สิ้นสุด
“ทางนั้น…”
ครูต่อมา หลังแผ่สำนึกเทวะเข้าไปในรอยแยกมิติที่เขาฉีกเปิด ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงกาแพงมิติที่ขวางกั้นระหว่างระนาบโลกียะแห่งนี้กับระนาบเทวโลกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด
ต่อมาด้วยการเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ต้วนหลิงเทียนก็อันตรธานหายไปทันที่
ท่ามกลางสายตาคนทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนคล้ายจะหายตัวไปในอากาศธาตุ พอภาพติดต่อาจหายไปแล้ว แต่ละคนอื้ออึงกันอยู่นาน จนกระทั่งรอยแยกมิติปิดตัวลง ก็ค่อยกลับมารู้สึกตัวกันอีกครั้ง
“อึก”
“ฟืดดด-!”
…
จังหวะนี้ แต่ละคนหากไม่กลืนน้ำลายงคอดังอึก ก็สูดลมหายใจเข้าดังฟืด จากนั้นแต่ละคนก็หันมามองหน้าสบตากัน แลเห็นความตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัวของกันและกันชัดเจน
ผ่านไปสักพัก ก็มีคนเอ่ยถามออกมาเสียงสั่น “พวกเจ้าว่า…มันใช้เซียนอมตะหรือไม่ ?”
“แม้แต่เซียนอมตะในตานาน…ก็คงไม่น่ากลัวถึงเพียงนี้กระมัง ?”