WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 3895 หมี่ซวน จอมราชันเทพขั้นกลาง!
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป สายตาที่ใช้มองโลกนั้นแตกต่างจากเดิม
ตลอดชั่วชีวิตเขา ปกติแล้วผู้ใดที่คิดฆ่าเขา ตราบใดที่เขามีพลังและโอกาสเขาย่อมฆ่ามันทิ้งแน่ โดยทั่วไปแล้วศัตรูที่เขาฆ่าได้ไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ต่อให้จะมีแต่นั่นก็คือศัตรูที่รอเขาไปคิดบัญชี หรือคิดบัญชีไปตามสมควรแล้ว
อย่างเช่น ตอนที่เขาอยู่ในเมืองวายุสวรรค์ของดินแดนดาราพิศวง
ตระกูลระดับราชาเทพในเมืองวายุสวรรค์ ที่เคยส่งนักรบเดนตายไปฆ่าเขา ไม่ว่าตระกูลใดที่มีส่วนร่วม แม้พวกมันจะนำสิ่งของมามอบให้เป็นการขอขมาลาโทษ เขาก็แค่ไม่เลือกฆ่าล้างตระกูลพวกมัน เพียงแค่จัดการคนที่มีส่วนรู้เห็นเรื่องส่งคนไปฆ่าเขาเท่านั้น
อย่างตระกูลจ้งที่คิดฆ่าเขาหลายครั้ง เขาก็จัดการผู้ที่มีส่วนรู้เห็นไปจนหมด…
แต่วันนี้ แม้คนในระนาบโลกียะจะลงมือด้วยจิตสังหาร แต่เพราะอีกฝ่ายอ่อนแอเกินไปด่งตัวโง่งมไร้ความกลัว กอปรกับความยินดีที่ร่างอวตารกฏมิติของเขาได้กลับมายังระนาบโลกียะอีกครั้ง เขาก็เลยปล่อยมันไป
“ที่นี่”
ต้วนหลิงเทียนเคลื่อนย้ายข้ามมิติไม่กี่ครั้ง ในที่สุดก็มาถึงจุดหนึ่ง เป็นกาแพงมิติที่กั้นขวางระหว่างระนาบโลกียะกับระนาบเทวโลกแห่งหนึ่ง และเป็นจุดที่เขตแดนมิติทั้ง 2 บรรจบกัน
เบื้องหน้าเขามีกาแพงมิติ 2 ชั้น
ทว่ากาแพงมิติดังกล่าวแทบจะทับซ้อนกัน
ปงงง!
ต้วนหลิงเทียนชกหมัดออกไปส่ง ๆ ทันใดนั้นก็อุบัติวังวนมืดดาหนึ่งปรากฏขึ้น อย่างไรก็ตามวังวนดังกล่าวไม่ได้มืดดาทั้งหมด มันมืดดาแค่บริเวณขอบเท่านั้น หากทว่าตรงกลางกลับเป็นฉากอันงดงามหนึ่ง
มันเป็นทัศนียภาพของระนาบเทวโลกที่อยู่ด้านหลังกาแพงมิติชั้นที่ 2
ในเมือกาแพงมิติของระนาบโลกียะกับระนาบเทวโลกแห่งนี้ติดกัน จึงไม่มีห้วงมิติมืดดาขวางกั้น
ซัว!
ต้วนหลิงเทียนก้าวออกจากห้วงมิติเข้าสู่ระนาบเทวโลกุตรงหน้าที่นที่หลังจากเขาก้าวเท่าเข้ามาไม่ทันไร วังวนมิติที่ถูกหมัดชกทะลวงเจาะ ก็เริ่มปิดตัวก่อนจะหายเป็นปกติในเวลาไม่นาน
เพียงไม่กี่ลมหายใจ พื้นที่ก็หวนกลับสู่ความปกติ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
‘ไปตามหาค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกก่อน’
หลังปรากฏตัวในหุบเขาอันงดงามแล้ว สองตาต้วนหลิงเทียนก็ฉายความตื่นเต้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
ถึงแม้เขาจะพึ่งออกจากระนาบเทวโลกไปได้ไม่นาน และยังไม่ทันถึงร้อยปีด้วยซ้ำ อีกทั้งในแง่ของความตื่นเต้นแล้วสิ่งใดๆ ที่เขาพบพานในระนาบเทพ ในแง่คุณภาพและความก้าวหนามินก็ไม่ถือวาด้อยกว่าในระนาบเทวโลกสักเท่าไหร่…
ยิ่งกว่านั้นแม้เขาจะอยู่ในระนาบเทวโลกมานานกว่า กระทั่งยังอาศัยอยู่หลายร้อยปี ทว่าเวลาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับการฝึกฝนบ่มเพาะและต่อสู้เข่นฆ่าในพื้นที่ต่าง ๆไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนมากเท่าไหร่
ทำให้เขาไม่ค่อยรู้จักที่ทำงสักเท่าไหร่
ต้วนหลิงเทียนเร่งรุดมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง หลังผ่านไปไม่กี่วันในที่สุดก็พบเจอเมือง
ด้วยความที่เมืองนี้มันเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ จึงไม่น่าจะมีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบ ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่เข้าไปถามทางจากผู้คนในเมืองเท่านั้น
ที่เขาต้องการไปก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่อยากไปยังสถานที่ๆ มีค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกจัดตั้งอยู่เท่านั้น
ถึงแม้เมืองแห่งนี้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีผู้คนผ่านเข้าออกไม่น้อย ต้วนหลิงเทียนที่ปะปนเข้าเมืองไปกับฝูงชนก็ไม่ได้เตะตาใครมาก
ในสายตาของคนอื่น ๆ ต้วนหลิงเทียนไม่ต่างอะไรจากชายหนุ่มธรรมดา ๆ คนหนึ่ง
“ที่นี่คือระนาบ คงหมิง รึ…”
หลังเข้ามาสอบถามเรื่องราวในเมืองต้วนหลิงเทียนก็รู้ชื่อระนาบเทวโลกที่เขาอยู่ในเวลาอันสั้น จึงรู้ว่ามันเป็นระนาบคงหมิง และเขาเองก็เคยผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง
ในอดีต เพราะเขาต้องการตามหาครอบครัวต้วนหลิงเทียนจึงได้เดินทางไปยังระนาบเทวโลกต่าง ๆเพื่อใช้ลูกแก้ววิญญาณส่งข้อความไปหาทุกคน
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยไปมาเกือบทุกระนาบเทวโลกแล้ว แต่เขาก็ไปพักอยู่เพื่อรอข้อความตอบกลับไม่กี่วันเท่านั้น
‘ให้ตายเถอะ กระทั่งที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ…’
ไม่นาน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ส่าย่อหน้าอย่างจนปัญญา เพราะเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ มันตั้งอยู่ในมุมอันห่างไกลจากศูนยย์กลางความเจริญของระนาบคงหมิงมาก เหล่าเซียนอมตะในเมืองก็ไม่ได้มีด่านพลังสูงส่งอะไร
แม้ว่าพวกมันจะเคยได้ยินเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกมาบ้าง แต่นั่นก็เป็นดั่งสิ่งของที่มีอยู่แต่ในตานานสำหรับพวกมันเท่านั้น เคยได้ยินมาแต่ชื่อ…
ส่วนเรื่องที่อยู่ที่ไหนั้นนไม่มีใครรู้
“ท่านลูกค้า เห็นที่ท่านต้องมุ่งหน้ำขึ้นเหนือไปสักพัก หากไปตามทิศทางดังกล่าวท่านจักได้พบเมืองใหญ่ ที่นั่นมีตัวตนอันเข้มแข็งมากมายดั่งหมู่เมฆ ต้องมีคนรู้สถานที่ตั้งค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลกที่ท่านถามถึงแน่นอนขอรับ”
ภายในเหลาอาหารแห่งหนึ่ง หลังเสี่ยวเอ้อได้รับผลึกอมตะที่อยู่ในซอกหลืบของแหวนพื้นที่ต้วนหลิงเทียน มันก็กระตือรือร้นตอบคำถามต้วนหลิงเทียนมาก แทบจะแนะนำโคตรเหง้าบรรพบุรุษทั้ง 18 รุ่นของตัวเองให้ต้วนหลิงเทียนฟังอย่างละเอียดด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า ตอนนี้ได้เบาะแสเมืองใหญ่มาก็นับว่าดีมากแล้ว ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
หากไร้เบาะแสนี้ของเสี่ยวเอ้อเกรงว่าเขาได้แต่ร่อนเร่เดินทางไปเรื่อยดั่งแมลงวันหัวขาดเท่านั้น
…
จี้เมี่ยเทียน
พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน
ปงงง!!
ตูมมมม!!
…
ภายในหุบเขาแห่งหนึ่ง ของเขตพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ปรากฏพลังมหาศาลขุมหนึ่งพุ่งออกมา ทาลายอาคารปลูกสร้างจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี และบัดนี้ก็มีร่างผู้คนมากมายได้มาเหินบินเพื่อติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในหุบเขาไกล ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปเฉียดใกล้หุบเขาเบื้องหน้า
“มันเป็นผู้ใดมาจากไหนักนแน่ ? ไฉนถึงได้หาญกล้าบุกมาก่อนการในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนของพวกเรา ?”
ชายชราในชุด คลุมสีแดงเพลิงหันไปเอ่ยถามชายร่างใหญ่เสียงขรึม
“ข้าเองก็ไม่รู้จักมันเหมือนกันผู้เฒ่าหั่ว”
เมิ่งหลัวส่าย่อหน้าไปมา มันเองก็พึ่งจะเห็นหน้าผู้ที่บุกมาก่อความวุ่นวายเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามเมื่อชายผู้นั้นประมือกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียนของมัน สีหนามินก็เปลื่ยนไปเป็นหวาดกลัว ได้แต่เร่งรุดถอยห่างออกมาไกล ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้
กระทั่งเศษเสี้ยวพลังที่หลงมายังทำให้มันรู้สึกวิกฤตเสมือนยืนอยู่ปากเหวแห่งความตาย
“ต่อให้จะเป็นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก็กไม่น่าจะทรงพลังถึงเพียงนี้ หาไม่แล้วตอนใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์บุกไปทาลบายวิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักจนราบคาบ มั่นคงไม่ทิ้งไว้แต่ร่างอวตารกฏส่วนตัวเองเร่งรุดหลบหนี้ไปแต่แรก…แต่ในเมือกระทั่งจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขา
หลักยังมิใช่คู่มือใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ แล้วผู้ที่บุกมาครานี้เป็นผู้ใดกันแน่ ?”
“ข้าเองก็ไม่ทราบ…ตอนนี้พวกเราก็ไม่อาจเข้าไปชมดูได้อย่างไรเสียมันบุกเข้าไปยังหุบเขาที่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์อาศัยอยู่เช่นั้นน หากไม่ตายก็ต้องมีหนังลอกกันบ้าง!”
“ตัวเสียสติที่บุกเข้าไป เป็นผู้ใดกันแน่”
…
หายในหุบเขาที่อยู่ในส่วนลึกของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน บัดนี้อาคารปลูกสร้างใด ๆ ล้วนแหลกพินาศกลับกลายเป็นซากปรักหักพังหมดสิ้น และทุกคราที่พลัง 2 ขุมปะทะกัน ก็อุบัติคลื่นกระแทกทาลายล้างอันน่าพรั่นพรึงปานจะพลิกฟ้ากลับดิน พอมากเข้าก็เพาะสร้างเป็นสนามีพลังสังหารประการหนึ่ง กั้นขวางไว้ไม่ให้ผู้ใดเฉียดกลายเข้าใกล้
จังหวะนี้จักรรพรรดิอมตะสมญานามทั้งหลาย ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา เพราะหากเฉียดเข้าใกล้ล่ะก็หากไม่บาดเจ็บสาหัสจนจะตายมิตายแหลัก็ถูกคลื่นพลังกระแทกดังกล่าวทาลายร่างจนแหลกวิญญาณสลายตกตายอย่างน่าอนาถ…
กระทั่งเมิ่งหลัวเองก็ถือว่าโชคดีนักที่สามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างเฉียดฉิว หากไม่ใช้ว่าผู้เฒ่าหั่วมาช่วยเหลือได้ทันท่วงที่เร่งยัดโอสถช่วยชีวิตใส่ปากและเดินพลังช่วยเหลือน่ากลัวมั่นคงได้สลบไสลไม่ได้สตินานปี ตอนนี้จึงได้แต่ลอยร่างชมดูอยู่ไกลห่าง ด้วยใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด
ภายในหุบเขา ของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!
…
รังสีกระบี่แต่ละสายซัดสาดออกไปดั่งพลุไฟเบ่งบาน และทุกที่ทำงที่รังสีกระบี่พุ่งผ่าน ไม่ว่าจะดินหิน เศษซากบุปผาหรือแม้กระทั่งอากาศ ก็ราวจะถูกผนึกแข็ง
ขณะเดียวกัน อีกด้านก็ปรากฏฝ่ามือพลังมึหมาซัดถล่มออกไปไม่หยุด ทาลายรังสีกระบี่แต่ละสายอย่างเกรี้ยวกราด
“ฟงชิงหยาง ข้าไม่อาจไม่พูดจริง ๆ ว่าพลังของเจ้านั้นให้กวาดตามองไปทั่วราชาเทพขั้นสูง ถือเป็นตัวตนอันไร้เทียมทานก็ไม่เกินเลย…กฏเวลาที่เจ้าบรรลุถึงช่างมหัศจรรย์เหลือเกิน”
ร่างหนึ่งสืบเท้าถอยออกไปหยุดลอยยังความว่าง เปล่าไกล ๆ เป็นชายวัยกลางคนใบหน้าเย็นชาผู้หนึ่ง กำลังมองจ้องร่างชายหนุ่มในชุด คลุมสีน้ำเงินที่คอนกระบี่เฉียงขึ้นเบื้องหน้าไกลตา กล่าวคาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“ปีนั้นตอนพวกเราพบกันครั้งแรก แม้พวกเราจะพบเจอแต่ร่างอวตารกฏดินของเจ้า แต่พวกเราก็มั่นใจได้เต็ม 10 ส่วนว่าเจ้ายังเป็นเพียงราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น…”
“ทว่าในเวลาเพียงไม่กี่สิบปี เจ้ากลับทะลวงจากราชาเทพขั้นต่ำมาถึงราชาเทพขั้นสูงได้ ท่าทางในร่างเจ้าสมควรมีความลับอันยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ไม่ต่างจากสารเลวน้อยศิษย์ตวัดีของเจ้าผู้นั้น”
“ช่างน่าสนใจเสียจริง”
กล่าวถึงจุดนี้ ลึกลงไปในแววตาของชายวัยกลางคนก็ฉายชัดถึงความโลภอันยากจะปกปิด
“หมี่ซวน”
ฟงชิงหยางชี้กระบี่ออกเบื้องหน้า จากนั้นคนกระบี่คล้ายหลอมรวมเป็นหนึ่ง กลายเป็นกระบี่เล่มเขื่องตวัดฟันซัดรังสีกระบี่เข่นฆ่าเข้าใส่หมี่ซวนกล่าวค่าเสียงเย็น “ข้าหลงคิดว่าเจ้าถูกเผ่าภูตประหารทิ้งไปแล้วเสียอีก”
“ภูตที่ทรยศเผ่าภูต ไม่ควรรอดพ้นการตามล่าของเผาภูตได้!”
ฟงชิงหยางยังจดจำได้ดี ว่าปีนั้นมีันได้เข้าสู่โลกแห่งความตายด้วยตัวเอง จากนั้นก็ให้คนที่พบเจอนำความไปแจ้ง่ตอเผ่าผีเรื่องการทรยศของหมี่ซวน
แม้หมี่ซวนจะแข็งแกร่งมาก แต่เท่าที่มันรู้ภายในเผ่าภูตยังมีตัวตนที่ทรงพลังเหนือกว่าหมี่ซวนอีกมาก
อีกทั้งไม่ต้องกล่าวถึงตัวตนอันทรงพลังในเผ่าภูต ด้วยรากฐานของเผาภูติในโลกแห่งความตาย ย่อมมีสหายมากมาย หากมีปัญหาอะไรขึ้นมาจริง ๆ เพียงขอความช่วยเหลือจากเหล่าสหาย ให้ช่วยตามหาคนทรยศเพื่อเก็บกวาดก็น่าจะไม่ลำบากอะไร
หากทว่า เรื่องที่ฟงชิงหยางคิดไม่ถึงจริง ๆ ก็คือหลายสิบปีต่อมา หมี่ซวนกลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แถมยังไม่ได้อยู่ในร่างวิญญาณอีกต่อไป แต่เป็นร่างกายที่ไปแย่งชิงจากผู้อื่นมา
และเรื่องที่เหนือความคาดหมายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ…
หมี่ซวนกลับทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพขั้นกลางแล้ว!
อย่างไรก็ตาม พิจารณาจากสถานการณ์ของหมี่ซวนในปัจจุบัน ดูเหมือนร่างกายของอีกฝ่ายจะถูกแย่งชิงมาด้วยวิธีการทั่วไป แถมยังเข้ากันกับวิญญาณของหมี่ซวนไม่ได้โดยสมบูรณ์ เช่นั้นนแม้ด่านพลังของหมี่ซวนจะบรรลุถึงจอมราชันเทพขั้นกลางแล้ว แต่มันก็สามารถอาศัยด่านพลังราชาเทพขั้นสูงต่อกรได้อย่างไม่พลั้งพลาดอยู่นาน
“ฟงชิงหยาง ในอดีตเจ้าสามารถหนี้พนเงื้อมมือของข้าหมี่ซวนได้…แต่วันนี้อย่างไรเจ้าก็ต้องตกตายคามือข้า!”
หมี่ซวนกล่าวค่าเสียงเย็น ร่างมันฉากหลบรังสีกระบี่เร็วไว จากนั้นก็ห้อเหยียดเข้าใส่ฟงชิงหยางหยานปานสายลม
ความลึกซึ้งของกฏที่มันเข้าใจ ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าฟงชิงหยางมากนัก สุดท้ายมันก็มีชีวิตอยู่มานานกว่าฟงชิงหยางหลายเท่า ควบคู่ไปกับระดับพลังบ่มเพาะ แม้ว่าร่างกายกับวิญญาณของมันจะ
ยังประสานกันได้ไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ยังสามารถสะกดข่มฟงชิงหยางได้อยู่
อย่างไรก็ตาม พลังฝีมือของฟงชิงหยางนับว่าสร้างความประหลาดใจครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่มันจริง ๆ
อย่างน้อย ๆ ในโลกแห่งความตาย ก็ยากจะพบพานตัวตนขอบเขตราชาเทพขั้นสูงที่ร้ายกาจกว่าฟงชิงหยาง
หากว่าตอนนี้มันไม่ได้บรรลุถึงจอมราชันเทพขั้นกลาง แต่เป็นเพียงจอมราชันเทพขั้นต่ำ เกรงว่าคงไม่อาจสะกดข่มฟงชิงหยางได้
เผลอ ๆ ยังจะด้อยกว่าเล็กน้อย
‘โชคดีที่ข้าพึ่งทะลวงผ่านมาได้…’
พอนึกถึงตอนที่จ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลักอย่างหวู่หงชิงมาหามัน ตอนที่มันพึ่งทะลวงผ่านพลังได้พอดี หมี่ซวนก็ได้แต่ลอบทอดถอนในใจอย่างโล่งอก
หมี่ซวนกับฟงชิงหยางปะทะกัน ผลพวงจากการต่อสู้ย่อมสร้างความวินาศสันตะโรให้แก่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ตอนนี้อาคารปลูกสร้างหลายแห่งได้แหลกพินาศกลายเป็นซาก แม้แต่ขุนเขาใกล้เคียงยังพังถล่มไม่มีชิ้นดี
ตูม! ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!
…
ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!
…
ด้านนอกกกไกลห่าง ผู้เฒ่าหั่ว เมิ่งหลัว และยอดฝีมือคนอื่น ๆ ของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ไม่อาจมองเห็นการปะทะที่อยู่ไกล ๆ ได้เลย สำนึกเทวะของพวกมันก็ไม่อาจแผ่ออกไปตรวจสอบสิ่งใดได้ เพราะถูกคลื่นพลังอันน่ากลัวปิดกั้นขัดขวาง
“ตอนนี้พวกเราทำได้แค่รอ”
ผู้เฒ่าหั่วได้แต่กล่าวอย่างทอดถอนใจ
“ข้าเชื่อมั่นในตัวใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ !”
สีหน้าเมิ่งหลัวแม้จะซีดเซียว แต่แววตากลับฉายชัดถึงความไว้วางใจในตัวจักรพรรดิสวรรค์ของมันอย่างไร้สิ้นสุด
ในที่สุดหลังจากผ่านไป 2 เค่อการปะทะใหญ่โตในเขตหุบเขาลึกของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ก็หยุดลง ความสงบเริ่มหวนคืนกลับมาสู่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ฝุ่นผงละอองคลีที่ปลิดปลิววุ่นวายเริ่มสลายหายไปตามแรงลม
เมื่อฝุ่นคลีเริ่มจางลง ฉากเรื่องราวที่เริ่มปรากฏสู่สายตาเมิ่งหลัวกับผู้เฒ่าหัวและคนอื่น ๆ ก็มีแต่ซากปรักหักพักกับความฉิบหาย
นอกจากซากปรักหักพัง ยังปรากฏคารหลายหลังที่กำลังทรุดตัว เผันงอาคารทั้งหลังคาพังทลายลงไม่หยุดหย่อน
เกรงว่าคงอีกนานกว่าที่ฝุ่นผงละอองคลีจะหายไปหมดสิ้น
กล่าวได้ว่าพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนตอนนี้ คงเหลือแต่ฝุ่นละอองไปทุกแห่งหนปานทะเลทราย
“มีคนออกมาแล้ว!”
ทันใดนั้น ก็มีคนเห็นว่าท่ามกลางละอองคลีของเศษซากปรักหักพังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ ปรากฏร่างหนึ่งค่อย ๆ เหินข้ามฟ้ามาอย่างไม่รีบไม่ร้อน