Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1852
หวังหลินสับสนอยู่หนึ่งเรื่อง ความรู้สึกแปลกประหลาดตอนที่เห็นกระเรียนกระดาษ ไม่ว่าจะเป็นแคว้นมารเขียวหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ ทั้งหมดล้วนเป็นของเผ่าเทพ
สำนักของสองแคว้นอาจเข่นฆ่ากันมาก่อน แต่การหลอมทะเลโอสถเพื่อเปิดม่านพลังอีกแคว้นและเข้ารุกรานได้ทำให้หวังหลินเกิดความคิดเป็นอย่างอื่น
เรื่องนี้ไม่ใช่ความบาดหมางส่วนตัวระหว่างสำนัก แต่เป็นสงครามจริงๆ!
‘น่าสนใจ…หวังว่าที่ข้าคาดการณ์จะไม่ออกมาเป็นจริง ไม่เช่นนั้นยิ่งมีคนตาย ยิ่งทำให้ข้ารู้สึกผูกพันกับเผ่าเทพน้อยลง’
‘หากเป็นไปตามที่ข้าคาดเดาจริงๆ มันกลับทำให้หัวใจเต้นรัว! ไม่ว่าจะเป็นแคว้นมารเขียวหรือแคว้นกระทิงสวรรค์ บางที…’ หวังหลินขบคิดขณะนั่งอยู่บนหลังอสูรยุง เขาคิดหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องสำนักมหาวิญญาณที่ทิ้งสมบัติทั้งสามให้เขาและบรรพชนกระทิงเขียวยังบอกว่าบรรพชนรุ่นแรกได้ทำนายการมาถึงของเขาเอาไว้
ทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์ใหญ่หลวงซึ่งสำคัญมากสำหรับสำนักมหาวิญญาณและแคว้นมารเขียว!
ดังนั้นแคว้นมารเขียวจึงเข้าโจมตีเซียนกลุ่มเล็กๆ นับไม่ถ้วนบนแคว้นกระทิงสวรรค์ ครั้งนี้พวกเขาทำการหลอมทะเลโอสถเพื่อกำจัดสิ่งที่ขวางทางออกไปและเข้าสู่แคว้นกระทิงสวรรค์!
ดังนั้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว การที่สำนักมหาวิญญาณเคลื่อนย้ายมาที่นี่ บรรพชนรุ่นแรกของสำนักได้ทำนายการเปลี่ยนแปลงในอนาคตเอาไว้ ทั้งหมดเป็นความลับที่ซ่อนเอาไว้มานาน!
หวังหลินขบคิดและเปิดฝ่ามือ เจ้าตัวเล็กปรากฏขึ้นในมือและเขาก็มองดูมัน ผ่านไปสักพักไม่ได้ใช้การทำนายอนาคตแต่ปิดฝ่ามือเก็บมันไปแทน
‘ข้ารู้ก่อนแล้วอย่างไร? ด้วยวิชาเต๋าของข้าจึงไม่สามารถทำนายได้ง่ายๆ อยู่แล้ว บรรพชนเฒ่าได้ทิ้งของขวัญทั้งสามไว้ให้และหนึ่งในนั้นมีชะตาต้องกัน ข้าเดาว่าเขารู้ว่าข้าจะมีคำถามจึงทิ้งให้หาคำตอบ’ หวังหลินยิ้มและไม่ได้ใช้สมบัติชิ้นนั้น เขาไม่จำเป็นต้องรู้วิธีใช้ จากเบาะแสที่มีจึงได้พบสิ่งที่พอคาดการณ์ได้ ตอนนี้เพียงแค่พิสูจน์จนค้นพบคำตอบที่แท้จริง!
หวังหลินเก่งเรื่องแบบนี้ เขาจะไม่สนใจสงครามที่นี่และทิ้งไปเลยก็ได้
หลังจากผ่านไปสิบวัน หวังหลินปรากฏตัวด้านนอกสำนักมหาวิญญาณ จังหวะนั้นมีลำแสงหลายเส้นลอยเข้ามาหาเขา หวังหลินรู้สึกได้ว่าสำนักมหาวิญญาณดูเหมือนอยู่ในม่านหมอกและมีการบิดเบือนห่อหุ้มเอาไว้
จิตสังหารระเบิดออกมาจนทำให้เขาหรี่ตาแคบ จิตสังหารนี้ไม่ได้มุ่งเป้ามาที่เขา เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของค่ายกลป้องกันรอบสำนักมหาวิญญาณ
การบิดเบือนรอบสำนักนี้ทำให้ไม่สามารถมองเห็นภายในได้ หวังหลินรู้สึกว่าสำนักมหาวิญญาณอยู่ในรูปแบบสู้รบ เหมือนภูเขาไฟที่กำลังปะทุได้ยามที่ต้องการ
นี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกตอนที่หวังหลินเห็น ซึ่งน่าจะเป็นจริงหรือแค่ภาพมายาก็ได้ ลำแสงเข้ามาใกล้หวังหลินถือเป็นคำเตือนและมีจิตสังหารอยู่ภายในลำแสง
ทว่าหลังจากจิตสังหารได้เห็นหวังหลินชัดเจน มันค่อยๆ สลายไปแต่ยังอยู่ในความระมัดระวัง ลำแสงหลายเส้นได้เปลี่ยนกลายเป็นคนเจ็ดคนเบื้องหน้าหวังหลิน
ท่ามกลางทั้งเจ็ดคนนั้นมีผู้อาวุโสสองคนของสำนักมหาวิญญาณ อีกห้าคนเป็นศิษย์
“ผู้อาวุโสหวัง ขออภัยที่ทำให้ท่านขุ่นเคือง!” หนึ่งในสองผู้อาวุโสเคยพูดคุยกับหวังหลินคราหนึ่ง เขายังสังเกตการณ์การต่อสู้ของหวังหลินและหยานหลวนด้วย
ผู้อาวุโสคำนับฝ่ามือและพูดขึ้น “แคว้นมารเขียวทำลายม่านของแคว้นกระทิงสวรรค์ บรรพชนสั่งการให้เราปิดผนึกสำนัก ทุกคนที่กลับมาไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโสหรือศิษย์ หรือมีตำแหน่งใดก็ตามต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดก่อนเข้าสำนัก”
ผู้อาวุโสอีกคนคำนับฝ่ามือให้กับหวังหลิน หลังจากพวกเขาเห็นหวังหลินเข้าไปตำหนักสลักวิญญาณชั้นที่เจ็ดและแปดได้ในคราวนั้น จึงไม่ค่อยมีคนในสำนักไปล่วงเกินหวังหลิน
ศิษย์ห้าคนด้านข้างทั้งสองต่างก็โค้งศีรษะ พวกเขาเหลือบมองหวังหลินเป็นครั้งคราว นี่เป็นครั้งแรกที่เจอหวังหลินด้วยตัวเอง
“ไม่มีปัญหา ช่วงเวลาสงครามก็ควรจะเป็นเช่นนี้” หวังหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและไม่ใส่ใจ
พอเห็นหวังหลินยิ้ม สองผู้อาวุโสจึงผ่อนคลายเล็กน้อย พวกเขาไม่ต้องการให้หวังหลินรู้สึกไม่ดี เว้นแต่จำเป็นต้องทำ หากได้ทำให้เกิดเรื่องไม่เป็นที่น่าพอใจเพราะคำสั่งจากสำนัก มันคงไม่คุ้มค่าจริงๆ
พอเห็นว่าหวังหลินเป็นคนง่ายๆ ทั้งสองจึงยิ้มออกมาเช่นกันและต้องการผูกมิตรกับหวังหลินมากขึ้น
“ผู้อาวุโสหวัง โปรดนำป้ายสิทธิ์ของท่านออกมา จากนั้นประทับสัมผัสวิญญาณเพื่อยืนยันวิญญาณดั้งเดิม และหยดโลหิตเพื่อยืนยันร่างกาย” หนึ่งในสองผู้อาวุโสพูดขึ้นพลางคำนับฝ่ามือ
หวังหลินพยักหน้าและยื่นแขนขวาออกไป ป้ายสิทธิ์ที่ใช้เข้าตำหนักสลักวิญญาณปรากฏขึ้น เขาประทับสัมผัสวิญญาณและหยดโลหิตลงไปก่อนจะโยนป้ายให้สองผู้อาวุโส
หนึ่งในสองผู้อาวุโสคว้าป้ายสิทธิ์ สร้างผนึกและชี้ไปที่เขตอาคมด้านหลัง แรงกดดันทรงพลังพรั่งพรูออกมาและพุ่งใส่หวังหลิน มันกวาดผ่านร่างเขาในพริบตา
จิตใจหวังหลินสั่นเทา เขาสัมผัสชัดเจนว่าแรงกดดันนี้ช่างแปลกประหลาด หน้าที่หลักคือการขับไล่วิญญาณดั้งเดิมส่วนเกินหรือสัมผัสวิญญาณบนตัวหวังหลิน มันทำหน้าที่ได้กระทั่งตัดสินได้ว่าวิญญาณดั้งเดิมกับร่างกายเข้ากันได้ดีแค่ไหน
วิธีการนี้ถูกใช้เพื่อพิสูจน์ตัวตน จากนั้นแรงกดดันก็จับไปที่ป้ายสิทธิ์ หลังจากการยืนยันสองขั้นตอนนี้ผ่านไปได้ แรงกดดันจึงค่อยๆ หายไป
เพียงเท่านี้สองผู้อาวุโสจึงผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง พวกเขาคืนป้ายสิทธิ์ให้หวังหลิน หนึ่งในนั้นหัวเราะขึ้น “ผู้อาวุโสหวัง ขออภัยที่ทำให้เป็นปัญหา ท่านสามารถเข้าเขตอาคมและกลับสำนักได้ เรายังอยู่ในหน้าที่ ดังนั้นจำต้องมุ่งกลับไปยังฐานและไม่สามารถไปกับผู้อาวุโสหวังได้ ข้าหวังว่าผู้อาวุโสหวังจะเข้าใจ”
หากคนอื่นสุภาพกับเขา เขาก็จะสุภาพตอบเป็นธรรมดา หวังหลินกลายเป็นมหาบัณฑิตในโลกแห่งความฝัน ดังนั้นจึงเก็บอารมณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ เขายิ้มและคำนับฝ่ามือใหักับทั้งสองคน ขณะที่กำลังจะจากไปจึงพลันเอ่ยถามออกมา
“ที่ผ่านมามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในสำนักหรือไม่…”
สองผู้อาวุโสมองหน้ากัน หนึ่งในนั้นกระซิบ “เจ็ดวันก่อนมีเซียนแคว้นมารเขียวพยายามกลมกลืนเข้าไปในสำนักมหาวิญญาณ เขาถูกผู้อาวุโสซิ่วตงเจอตัวและถูกสังหารทันที!”
“บรรพชนโกรธเกรี้ยวมากและจากนั้น…” ถึงตอนนี้ผู้อาวุโสยิ้มอย่างขมขื่น คำนับฝ่ามือให้หวังหลินและจากไป
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ จากนั้นทะยานเข้าสู่สำนักมหาวิญญาณ แรงกดดันที่รู้สึกยิ่งเพิ่มพูนขึ้น
ทั้งสำนักมหาวิญญาณเต็มไปด้วยลำแสงจากเหล่าศิษย์ที่ท่องทะยานระหว่างยอดเขา วัตถุดิบบางชิ้นอาจใหญ่เกินกว่าจะเก็บเข้ามิติเก็บของจึงถูกเหล่าเซียนเคลื่อนย้ายไประหว่างยอดเขาแต่ละแห่ง
ยังมีเหล่าศิษย์จำนวนมากบนภูเขาสมุนไพรที่กำลังเก็บรวบรวมสมุนไพรและส่งต่อให้กับผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญการปรุงยา
มีความผันผวนหลายช่วงออกมาจากภูเขาหลายแห่ง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสทั้งหมดปิดด่านบ่มเพาะเพื่อคงสภาวะตัวเองให้อยู่ระดับสูงสุดเพื่อทำงานที่สำนักมอบหมายให้เสร็จสิ้น
ภูเขาทั้งหมดในสำนักกำลังคึกคัก ยกเว้นภูเขาเพลิงของหวังหลินซึ่งไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียงอันใด
พอเขามองมา เขาได้เห็นฟ่านชานเมิ่งอยู่ในถ้ำของตัวเองอย่างเงียบๆ
หวังหลินขบคิดและสะบัดแขนเสื้อ เขาไม่ได้กลับภูเขาของตัวเองแต่มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของสำนักที่เป็นตำแหน่งบรรพชนกระทิงสวรรค์
“ยินดีต้อนรับผู้อาวุโสหวัง!”
“ศิษย์ยอดเขาเต๋าเพลิงไหม้ ขอคารวะผู้อาวุโสหวัง!”
“ศิษย์ยอดเขาทะลวง ขอคารวะผู้อาวุโสหวัง!”
ระหว่างทางเหล่าศิษย์ทั้งหมดที่เห็นหวังหลินได้หยุดลงทักทายเขาก่อนที่จะกลับทำงานของตัวเอง
หวังหลินไม่ได้หยุดเพียงแค่พยักหน้าเดินทางไป ระดับบ่มเพาะของเขาไม่ธรรมดาดังนั้นจึงทำให้ผู้อาวุโสที่ลอยผ่านให้ความสนใจ ทว่าหลังจากเห็นว่าเป็นหวังหลิน จึงถอนสัมผัสวิญญาณกันทั้งหมด
หลังจากนั้นไม่นานยอดเขาสวรรค์เขียวปรากฏตัวเบื้องหน้าหวังหลิน หวังหลินเคลื่อนย้ายมาปรากฏตัวด้านนอกยอดเขา คำนับฝ่ามือเข้าหาและเอ่ยเสียงดัง
“หวังหลินขอเข้าพบบรรพชนกระทิงเขียว!”
ยอดเขาสวรรค์เขียวดูแตกต่างจากเมื่อก่อน มันถูกปกคลุมด้วยชั้นหมอกสีเขียวเบาบาง หลังจากหวังหลินพูดออกไป หมอกเคลื่อนไหวและเปิดออก
“เข้ามาข้างใน!” เสียงของบรรพชนกระทิงเขียวดังกึกก้อง
หวังหลินเข้าไปในช่องที่เปิดออกโดยไม่ลังเล หลังจากเข้าไป หมอกที่ปกคลุมอยู่พลันเปิดออก หวังหลินได้เข้าไปและมาถึงยอดเขาสวรรค์เขียว ที่นั่นเขาเห็นบรรพชนกระทิงเขียวนั่งห่างออกไปไกลพร้อมกับมีวิญญาณดั้งเดิมคงรูปร่างเหมือนคนตัวเล็กอยู่ในฝ่ามือ คนตัวเล็กนี้กำลังโขกคำนับเข้าหาบรรพชนกระทิงเขียว
หวังหลินยืนอยู่ข้างๆ และมองดูคนตัวเล็กในมือบรรพชนกระทิงเขียวอย่างเงียบๆ
ชั่วขณะต่อมาเจ้าตัวน้อยโขกคำนับหกครั้งในคราเดียวและดูเหน็ดเหนื่อย บรรพชนกระทิงเขียวปิดฝ่ามือให้คนตัวเล็กหายไป
“ข้าได้หินหยกเจ้าแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นความดีความชอบของเจ้า!” บรรพชนกระทิงเขียวลืมตาและมองหวังหลินด้วยรอยยิ้ม
“แคว้นมารเขียวมีความขัดแย้งเล็กๆ อยู่หลายครั้งกับแคว้นกระทิงสวรรค์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกมันทำเรื่องใหญ่โต ถึงกับค้นพบวิธีการหลอมทะเลโอสถ…”
“เรื่องนี้จะไม่จบในช่วงเวลาสั้นๆ แน่ แคว้นมารเขียวมีสามสำนักใหญ่และบรรพชนทั้งหมดต่างมีระดับบ่มเพาะเท่ากันกับข้า แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา ข้าสามารถต่อสู้หนึ่งต่อสองได้!” ดวงตาของบรรพชนกระทิงเขียวเผยแสงเย็นเยียบ สำหรับเขา การเริ่มพูดเช่นนี้มันหมายความว่าเขาเห็นจากวิชาเต๋าเนตรวิญญาณว่าไม่ใช่เรื่องดี
หวังหลินมีท่าทีเช่นเดิมและนั่งอยู่ตรงข้ามกับบรรพชนกระทิงเขียว มองดูบรรพชนและเอ่ยขึ้นทันที
“ข้าต้องการวิชามายาทับซ้อนในชั้นที่เก้าของตำหนักสลักวิญญาณ!”