Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1853
บรรพชนกระทิงเขียวหรี่ตาแคบลงและขบคิดเงียบๆ วิชามายาทับซ้อนในชั้นที่เก้าคือวิชาที่ทรงพลังที่สุดของสำนักมหาวิญญาณ การส่งต่อให้หวังหลินถือเป็นเรื่องดีแต่บรรพชนรุ่นแรกได้ทำนายว่าหวังหลินต้องใช้เวลาสามร้อยปีกว่าจะเข้าไปชั้นที่เก้าได้
บรรพชนกระทิงเขียวพลันเอ่ยขึ้น “ตำหนักสลักวิญญาณมีถึงชั้นที่สิบ!”
หวังหลินสงบนิ่งแต่หรี่ตาเล็กน้อย
“มีเพียงบรรพชนรุ่นแรกเท่านั้นที่เข้าไปได้ แม้แต่ข้าเองก็เข้าไปชั้นที่สิบไม่ได้ ที่นั่นเป็นที่ที่เขาเสียชีวิต!” หลังบรรพชนกระทิงเขียวกล่าวเช่นนี้จึงเงียบลงอีกครั้ง
หวังหลินขบคิดตามไปด้วย เขาเดาไม่ออกว่าทำไมบรรพชนกระทิงเขียวถึงบอกเรื่องนี้
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปไหม้ บรรพชนกระทิงเขียวมองไปยังท้องฟ้าและเอ่ยกล่าวขึ้นอีกครั้ง
“ผลงานของเจ้ายังไม่มากพอที่จะได้วิชามายาทับซ้อนฉบับสมบูรณ์ในชั้นที่เก้า…”
หวังหลินยกแขนขวาขึ้นมาปรากฏหินหยกขึ้นในมือ เขาส่งมันให้บรรพชนกระทิงเขียว
“เพิ่มสิ่งนี้ไปด้วย พอหรือไม่?”
บรรพชนกระทิงเขียวขมวดคิ้วและมองหวังหลิน เขารับหินหยกมาและส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไป สีหน้าท่าทางจึงเปลี่ยนไปทันที เขาหันมามองหวังหลินก่อนจะพิจารณาหินหยกอีกครั้ง
หลังจากเห็นทุกอย่างที่หวังหลินทำลงไปจนถึงการผ่าเม็ดยาสวรรค์ บรรพชนกระทิงเขียวสูดหายใจลึก มองหวังหลินด้วยสายตาลี้ลับ
ด้วยระดับบ่มเพาะของเขาจึงสามารถตัดสินได้ว่าทุกอย่างที่เห็นในหินหยกเป็นเรื่องจริง ด้วยสิ่งที่เขาได้ทำการพยากรณ์และรายงานลับที่ได้มา เขาจึงสามารถคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลโอสถได้อย่างชัดเจน
แม้หวังหลินจะฟื้นฟูได้ถึงประมาณแปดถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว แต่ยังมีร่องรอยอาการบาดเจ็บที่ไม่สามารถรักษาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ได้เสริมสิ่งที่บันทึกในหินหยกให้ดูน่าเชื่อถือ
“เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยมมาก!” บรรพชนกระทิงเขียวถือหินหยกและเริ่มหัวเราะ เขาสะบัดแขนซ้ายส่งพลังอันแข็งแกร่งเข้าไปในร่างหวังหลิน อาการบาดเจ็บที่เหลืออยู่ของหวังหลินพลันหายไปทั้งหมด!
“คราวนี้เจ้าทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาก! ในสำนักมหาวิญญาณ ตราบใดที่ทำความดีความชอบก็จะได้รับรางวัลตอบแทน ข้าจะมอบวิชามายาทับซ้อนในชั้นที่เก้าให้เจ้า! แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าหนึ่งเรื่อง!” บรรพชนกระทิงเขียวหันไปมองหวังหลิน ยิ่งดูยิ่งชื่นชมเขา บรรพชนรุ่นแรกช่างอัศจรรย์เสียจริงถึงได้เลือกคนที่ใจกล้าขนาดนี้
หวังหลินไม่ได้รู้สึกพึงพอใจอะไรในคำพูดของบรรพชนกระทิงเขียว เขามองอีกฝ่ายและเอ่ยถาม “สัญญาอะไร?”
“เจ้าต้องสังหารเซียนแคว้นมารเขียวสิบคนในขั้นวิบากดับสูญระดับต้น และเซียนขั้นวิบากดับสูญระดับกลางสามคน และเข้าไปชั้นที่เก้าและชั้นที่สิบของตำหนักสลักวิญญาณ!”
“เมื่อเจ้าทำทั้งสามเรื่องนี้เสร็จสิ้น เจ้าสามารถไปจากสำนักมหาวิญญาณได้!”
เพียงเท่านี้จิตใจหวังหลินก็สั่นเทาและขบคิด ความจริงเขาคิดหาทางออกจากที่นี่ เขาเตรียมการเพื่อช่วยเหลือสำนักมหาวิญญาณให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะหลีกหนีจากสงคราม
นอกจากนี้เป้าหมายจริงๆ ของเขาคือสำนักตงหลินและเผ่าบัญชาโบราณที่อยู่ห่างไกล ดังนั้นจึงไม่สามารถอยู่แคว้นกระทิงสวรรค์ไ้ด้นานนัก อีกทั้งเขายังคาดเดาสงครามครั้งนี้ไว้แล้วด้วย ดังนั้นจึงไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องมากเกินไป
เห็นได้ชัดว่าบรรพชนกระทิงเขียวเองก็คิดเรื่องนี้แต่ไม่ได้บังคับให้หวังหลินอยู่ เขากลับเสนอเงื่อนไขสามอย่างแทนและย้ำเตือนหวังหลินถึงของขวัญทั้งสาม
ผ่านไปสักพักหวังหลินจึงมองบรรพชนกระทิงเขียวและพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ไม่ว่าเป้าหมายของสำนักมหาวิญญาณคืออะไร พวกเขาได้ช่วยหวังหลินและหวังหลินก็ต้องตอบแทน ตอนนี้เขายอมรับเงื่อนไขทั้งสามนี้ ถึงแม้จะยากแต่หวังหลินก็มุ่งมั่นว่ามันเป็นไปได้
พอเห็นว่าหวังหลินพยักหน้า บรรพชนกระทิงเขียวยิ้มออกมาและไม่พูดอะไรต่อ เขาสะบัดแขนเสื้อส่งหินหยกโบราณให้หวังหลิน
หวังหลินรับหินหยกเอาไว้ มันมีวิชาอันทรงพลังที่สุดของสำนักมหาวิญญาณ ซึ่งคือวิชามายาทับซ้อนฉบับสมบูรณ์จากชั้นที่เก้า
“การบ่มเพาะวิชานี้ เจ้าต้องหลอมใบเรือหน้าผี ตอนนี้สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะมอบวัตถุดิบทั้งหมดให้ แต่ใบเรือหน้าผีต้องการวิญญาณหนึ่งดวง หากเจ้าไม่มีวิญญาณที่เหมาะสม เจ้าสามารถไปหาได้ที่ยอดเขาภูติผี” บรรพชนกระทิงเขียวยื่นมือออกไปพลันปรากฏก้อนแสงขึ้นมา ก้อนแสงนี้บรรจุวัตถุดิบจำนวนมากและยื่นส่งให้หวังหลิน
หวังหลินสะบัดแขนเสื้อเก็บก้อนแสงเข้าไป เขาลุกขึ้นคำนับฝ่ามือให้บรรพชนกระทิงเขียวและจากไป
“เจ้าไม่มีเวลามากนัก เจ็ดวันนับจากนี้ข้าจะส่งเจ้าพร้อมกับผู้อาวุโสคนอื่นเพื่อไปคุ้มกันหนึ่งในเจ็ดฐานสำคัญของแคว้นกระทิงสวรรค์!” บรรพชนกระทิงเขียวเอ่ยคำพูดดังกึกก้อง แต่หวังหลินจากไปโดยไม่หันกลับมา
หวังหลินทะยานกลับไปที่ภูเขาของตัวเอง เปลวเพลิงข้างในดูเหมือนมอดดับหลังจากที่เขาไปแต่มันยังคงเป็นสีแดง ทว่าเมื่อหวังหลินเหยียบย่ำบนภูเขา มันจึงเริ่มเผาไหม้อีกครั้งและเกิดเสียงสั่นครืน
ฟ่านชานเมิ่งซึ่งกำลังหลับตาบ่มเพาะ นางลืมตาขึ้นทันทีและประหม่าเล็กน้อย นางกัดริมฝีปาก พอเห็นว่าหวังหลินไม่ได้เรียกนางเข้าไปจึงรู้สึกอึดอัด
ตอนนี้หวังหลินไม่มีเวลามายุ่งวุ่นวายกับฟ่านชานเมิ่ง เขามาถึงที่ถ้ำและนั่งลง ก้อนแสงลอยออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากทำการเปิดก้อนแสง วัตถุดิบสำหรับหลอมใบเรือหน้าผีจึงปรากฏขึ้นในถ้ำ
วัตถุดิบทั้งหมดแตกต่างกันอย่างยิ่งและล้ำค่ามาก อีกทั้งบรรพชนกระทิงเขียวก็เป็นคนมอบให้เขา ทั้งหมดจึงมีคุณภาพสูง
หลังจากมองดูวัตถุดิบเหล่านี้ เขาได้นำหินหยกโบราณที่มีวิชามายาทับซ้อนออกมา ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปและจดจำเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงวิธีการหลอมใบเรือหน้าผี
จากบันทึกในหินหยก ใบเรือหน้าผีได้แบ่งระดับออกเป็นระดับต่ำ กลาง สูง สุดยอดและสมบูรณ์ แต่ละระดับคือภาพมายาสองชั้น
ในสำนักมหาวิญญาณ ศิษย์ส่วนใหญ่มีแค่ระดับต่ำ มีเพียงเหล่าผู้อาวุโสเท่านั้นที่สามารถสร้างระดับกลางได้ ศิษย์บางคนที่เป็นที่ชื่นชอบของอาจารย์อาจจะได้ใบเรือหน้าผีระดับกลางเพื่อเอาไว้ปกป้องตัวเอง
ใบเรือหน้าผีของฟ่านชานเมิ่งคือระดับกลางและเป็นสิ่งที่หยานหลวนมอบให้นาง
ปกติแค่ใบเรือหน้าผีระดับกลางก็ทรงพลังมากพอแล้ว หากใช้ให้เป็นประโยชน์จะสามารถมองข้ามเรื่องระดับบ่มเพาะไปได้เลย! สิ่งนี้ถูกพิสูจน์มาแล้วตอนที่อยู่ในมือของฟ่านชานเมิ่ง!
หากได้ระดับสูงหรือระดับสูงสุดจะยิ่งทำให้ภาพมายาทับซ้อนน่ากลัวขึ้นไปอีก! ส่วนระดับสมบูรณ์นั้นหลอมขึ้นมาได้ยากยิ่ง ทั้งสำนักมหาวิญญาณมีอยู่ชิ้นเดียว!
ใบเรือหน้าผีถือคือค่ายกลป้องกันสำนักมหาวิญญาณในตอนนี้! จากมุมมองของหวังหลิน ค่ายกลนี้ยังไม่ได้เปิดใช้งานอย่างเต็มที่และใช้พลังของมันเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
หวังหลินสามารถประมวลผลเรื่องนี้ในความคิดโดยอ้างอิงจากข้อมูลบันทึกในหินหยกและจากสิ่งที่เขาคาดการณ์
‘ใบเรือหน้าผีต้องการวิญญาณเพื่อให้กระบวนการหลอมสมบูรณ์แบบ แต่วิญญาณนี้…ไม่จำเป็นต้องเป็นเซียนหรือคนที่มีระดับบ่มเพาะสูงๆ…มันต้องการวิญญาณมรณะ…’ หวังหลินขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำว่า “วิญญาณมรณะ”
หินหยกได้อธิบายวิญญาณมรณะไว้ว่าเป็นคนหรือสัตว์ที่ตายแล้วแต่ยังมีความทุกข์ ความไม่ยินยอมหรือความไม่พอใจอะไรบางอย่างจนกลายเป็นตัวตนที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้
อีกนิดเดียวมันก็จะกลายเป็นวิญญาณอาฆาตแต่ยังไม่มากพอ ดังนั้นวิญญาณแบบนี้จึงได้มายากมาก สำนักมหาวิญญาณมีคนที่เรียนรู้เรื่องวิญญาณมรณะนับไม่ถ้วน และค่อยๆได้ค้นพบวิธีการหล่อหลอมคนหรือสัตว์ก่อนตายได้อย่างถูกจังหวะ
ทว่าวิญญาณมรณะที่ถูกหลอมขึ้นจากวิธีนี้ยังขาดปัจจัยด้านเวลา ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีระดับบ่มเพาะอะไรหรือสัตว์ตัวไหน วิญญาณมรณะก็ใช้หลอมได้แค่ใบเรือหน้าผีระดับต่ำหรืออย่างมากก็ระดับกลาง
วิญญาณมรณะพวกนี้ทนรับไหวได้แค่ภาพมายาทับซ้อนประมาณสามหรือสี่ชั้นเท่านั้น พอมากขึ้นจะไม่สามารถทนได้และแตกสลายไป
‘วิญญาณมรณะถือได้ว่าเป็นเจตจำนงอย่างหนึ่ง…มีเพียงวิญญาณมรณะเท่านั้นที่มีเจตจำนงอันทรงพลัง เมื่อผ่านกาลเวลานานเข้าจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถทนทานภาพมายาได้มากกว่าสี่ชั้น…’
‘หลักการของภาพมายาทับซ้อนคือเจตจำนงนี้อย่างเห็นได้ชัด เจตจำนงคือการหล่อเลี้ยงเพื่อสร้างภาพมายาให้ผู้คนสูญเสียตัวตน ยิ่งเจตจำนงแข็งแกร่งเท่าใด ยิ่งทำให้ภาพมายาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!’ หวังหลินขบคิดจนค่อยๆ เข้าใจโครงสร้างของวิชาภาพมายาทับซ้อน
ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม เคล็ดและความซับซ้อนของวิชานี้ การมองโครงสร้างให้ออกโดยไม่มีวิชาฉบับสมบูรณ์นับว่าเป็นเรื่องยาก
‘คนที่สร้างวิชานี้ขึ้นมาต้องเป็นอัจฉริยะโดยแท้จริง!’ หวังหลินมองหินหยกในมือและถอนหายใจ
ความจริงวิชานี้เข้าใจได้ง่ายดาย หวังหลินจำได้ว่าตอนที่เขาเป็นเด็ก ก่อนที่จะเริ่มเป็นเซียน เขาได้ยินเสียงเด็กๆ ในหมู่บ้านเล่าว่าบ้านหลังไหนถูกผีสิง
บ่อยครั้งทางตระกูลจะออกไปเมืองใกล้เคียงเพื่อเชิญคนที่มีความสามารถในการขับไล่ภูติผีออกไปให้พวกเขาสงบ
เขาจำได้ว่าเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาด้วย แรกเริ่มเดิมทีหวังหลินได้ลืมไปแล้วแต่พอเรียนรู้หลักการของวิชามายาทับซ้อนจึงได้นำความทรงจำนั้นกลับมา
‘การเรียกว่าถูกผีสิงนั้นส่วนใหญ่คือภาพหลอนที่ทำให้คนได้เห็นภาพแปลกๆ และนำความคิดเข้าไป ทำให้เกิดเป็นเรื่องอุปทานหมู่ไปเสียได้’
‘ทำให้คนรู้สึกกระวนกระวาย จิตใจไม่ปกติ’ หวังหลินดวงตาส่องสว่างขึ้นและมองไปยังหินหยกในมือ
พอเขากลายเป็นเซียนและมองย้อนกลับไปจึงตระหนักได้ว่าสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าผีสิงนั้นเป็นแค่สัมผัสความไม่พอใจที่ทำให้จิตใจผู้คนรู้สึกไปเอง ซึ่งทำให้ไม่สบายใจและจิตตกจนคิดว่าเป็นภูติผีปิศาจ
นี่คือแก่นของวิชามายาทับซ้อน! และเป็นต้นกำเนิดของภาพมายา!
‘วิชามายาทับซ้อนเมื่อมองออกได้รอบนึงแล้วช่างง่ายดาย…นี่มันภาพมายาแบบไหนกัน? เห็นได้ชัดว่าเป็นการเปลี่ยนผีให้เป็นคน! ฟังดูง่ายแต่พอนึกถึงการเปลี่ยนเป็นวิชาเซียนหรือวิชาเต๋าแล้วถือว่าสมควรได้รับการยกย่อง!’ หวังหลินเผยแววตาเข้าใจ