Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน - ตอนที่ 1854
หลังจากหวังหลินออกมาจายอดเขาสวรรค์เขียว บรรพชนกระทิงเขียวยังคงนั่งอยู่บนยอดเขา สายตาทอดมองออกไปไกล สักพักจึงพึมพำอะไรบางอย่างที่ได้ยินอยู่คนเดียว
“จักรพรรดิเทพกว่าจะออกมาจากการปิดด่านบ่มเพาะก็อีกหลายปี แคว้นมารเขียวไม่สามารถรับมือได้นานนัก…การทำนายของบรรพชนรุ่นแรกช่างแม่นยำ…แต่ยังมีเรื่องที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ วิธีการของบรรพชนดูจะเบาไปและไม่เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน…”
“เป้าหมายของแคว้นมารเขียวก็เป็นเป้าหมายของสำนักมหาวิญญาณเช่นกัน…ทั้งยังเป็นเป้าหมายของสำนักกุ้ยยี่ด้วย…” บรรพชนกระทิงเขียวยิ้มในทันที
“ลิ่วเหวินหลาน!”
เพียงแค่เขาเอ่ยเสียงดังกึกก้อง ระลอกคลื่นคล้ายสายน้ำปรากฏขึ้นด้านหลังและมีชายวัยกลางคนก้าวเดินออกมา เขาสวมชุดคลุมเต๋าสีเขียวดูธรรมดาแต่กลับเปล่งความผันผวนดุจเซียนที่มีระดับบ่มเพาะขั้นวิบากดับสูญระดับกลาง เขาก้าวออกมายืนด้านหลังบรรพชนกระทิงเขียวพร้อมกับคำนับฝ่ามืออย่างเคารพ
“ศิษย์ลิ่วเหวินหลานขอคารวะท่านอาจารย์!”
กระทิงเขียวไม่ได้หันกลับมา เขามองก้อนเมฆอยู่ไกลลิบและเอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่ง “เจ้าได้เจอเขาที่ทะเลโอสถหรือไม่?”
“ศิษย์อยู่กับโอวหยางฮุ่ยแห่งสำนักกุ้ยยี่และอาจารย์ลุงเมิ่งจื่อไฮ่ที่กำลังต่อสู้กับเหล่าผู้ส่งสาส์นของแคว้นมารเขียว ตามคำสั่งของอาจารย์นั้น อาจารย์ลุงเมิ่งได้แกล้งว่าเราไม่สามารถเทียบกับอีกฝ่ายได้และหนีโดยการใช้เรือเมฆา ดังนั้นข้าจึงไม่เห็นเขา”
“อีกเจ็ดวันจงไปฐานกระทิงสวรรค์จุดที่สามพร้อมกับเขา!” บรรพชนกระทิงเขียวหลับตา
“ศิษย์รับทราบ” ชายวัยกลางคนมีท่าทีเช่นเดิมแต่ดวงตาเปล่งประกายโดยไม่อาจสังเกตเห็น เสียงระลอกคลื่นดังกึกก้องและเขาหายตัวไป
พริบตาเดียวเวลาได้ผ่านไปถึงห้าวัน ช่วงห้าวันนี้หวังหลินอยู่บนยอดเขาและจมความคิดตัวเองไปกับวิชามายาทับซ้อน วัตถุดิบทั้งหมดใช้ไปตามวิธีในหินหยก หวังหลินได้ทำการหลอมใบเรือหน้าผีสีดำขึ้นมาด้วยตัวเอง
ใบเรือนี้ถูกสานขึ้นมาจากการหลอมวัตถุดิบมากมาย แม้จะดูเหมือนผ้าแต่นั่นแค่ภายนอกเท่านั้น
อย่างไรก็ตามมันยังไม่สมบูรณ์ดี เนื้อผ้าถูกสานขึ้นมาแต่ยังขาดวิญญาณมรณะ เมื่อใส่วิญญาณมรณะเข้าไปมันถึงจะสามารถใช้วิชามายาทับซ้อนได้
หวังหลินยื่นแขนขวาจับใบเรือและออกไปจากถ้ำเป็นครั้งแรกในรอบห้าวัน
เขาจำได้ว่าบรรพชนกระทิงเขียวบอกให้ออกเดินทางอีกเจ็ดวัน ตอนนี้เหลือเพียงสองวันเท่านั้น หวังหลินกำลังจะไปยังยอดเขาภูติผีเพื่อค้นหาวิญญาณมรณะมาหลอมเข้ากับใบเรือ
ร่างกายหายวับและปรากฏตัวอีกครั้งด้านนอกภูเขาเพลิงไหม้ หวังหลินมองไปทางเหนือ ตามแผนที่ของสำนักมหาวิญญาณ ยอดเขาภูติผีจะอยู่ทิศนั้น!
หวังหลินมุ่งหน้าออกไปโดยไม่ลังเล
ณ ทางทิศเหนือสุดของสำนักมหาวิญญาณ มีสถานที่ต้องห้ามที่ถูกล้อมรอบด้วยหมอกไร้ขอบเขต ศิษย์น้อยคนที่มักจะมาที่นี่ มีเพียงแค่ตอนที่ต้องใช้วิญญาณมรณะเท่านั้นจึงจะมาที่นี่พร้อมกับอาจารย์เพื่อหาวิญญาณมรณะสักดวง
มีเพียงเหล่าศิษย์หลักที่มีระดับบ่มเพาะสูงส่งเท่านั้นถึงจะมาด้วยตัวเองได้
วิญญาณมรณะจำนวนมากถูกสำนักมหาวิญญาณนำมารวมกันที่นี่ แม้คุณภาพไม่ได้สูงนักแต่ก็ได้รับมาง่ายๆ อีกทั้งสำนักมหาวิญญาณก็มีชื่อเสียงในด้านภาพมายา หากไม่มียอดเขาภูติผี ศิษย์ส่วนใหญ่คงไม่สามารถสร้างใบเรือหน้าผีของตัวเองได้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาถึงแม้วิญญาณมรณะจะถูกนำเข้ามาเติมอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้มีมากนัก นอกจากนี้สำนักมหาวิญญาณก็ยังมีความต้องการวิญญาณมรณะค่อนข้างมาก
วิญญาณมรณะหลายดวงได้ถูกคนจากสำนักมหาวิญญาณรวมไว้ที่นี่เนื่องจากเป็นงานจากในสำนัก ทว่ากลับมีวิญญาณส่วนน้อยที่สามารถเติบโตด้วยตัวเองได้
ศิษย์ส่วนใหญ่ที่ทำงานของทางสำนักจะตรงเข้ามาทิ้งผนึกไว้ที่นี่และให้ศิษย์ในอนาคตมาเอา
ในค่ำของวันที่ห้า ท้องฟ้าสลัว หวังหลินมาถึงด้านนอกยอดเขาภูติผีซึ่งเต็มไปด้วยสายหมอกและดูมืดมนยิ่ง สายลมกรรโชกพัดรุนแรงดูคล้ายกับอยู่ในนรก
ทว่าหวังหลินกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลย บางทีคงเป็นเพราะระดับบ่มเพาะหรือเขาเคยเปลี่ยนเขตแดนเป็นแม่น้ำอเวจีมาก่อน
วัฏจักรแห่งชีวิตและความตาย การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำอเวจีทำให้หวังหลินไม่ได้รู้สึกแปลกหน้ากับเรื่องเหล่านี้ เขาก้าวเข้าหายอดเขาภูติผีโดยไม่หยุดชะงัก
เพียงเข้าไปใกล้ เขตอาคมส่งเสียงดังเป็นระลอกคลื่นรอบตัวหวังหลิน ราวกับเป็นการยืนยันว่าหวังหลินมีคุณสมบัติพอจะเข้าไปได้หรือไม่
ไม่นานนักเขตอาคมก็สูญสลายไป หวังหลินก้าวเข้าสู่ยอดเขา!
ยอดเขาภูติผีเป็นแค่ยอดเขาสูงลิ่วทะลุยอดฟ้า ไร้ต้นไม้ใบหญ้า มีเพียงหลุมศพเท่านั้น!
หลุมศพเรียงติดกันอย่างหนาแน่น มีหลายพันจุดทั่วภูเขา
กลิ่นอายเย็นเยียบห่อหุ้มบริเวณ หากมีคนยืนหลับตาอยู่ที่นี่คงได้ยินเสียงกรีดร้อง แม้ที่นี่จะเงียบแต่ความรู้สึกนี้กลับรุนแรงมาก
หวังหลินก้าวผ่านหลุมศพหลายแห่ง แต่ละแห่งมีดวงวิญญาณมรณะอยู่ข้างในไม่มากไม่น้อย พวกมันทั้งหมดอยู่ในสภาวะโดนผนึก บางครั้งผนึกก็อ่อนแอลงจนกลิ่นอายรั่วไหลออกมาได้
หวังหลินเงียบตลอดทาง ส่งสัมผัสวิญญาณกระจายออกไปพลางก้าวเข้าสู่ยอดเขา ขณะที่ก้าวเดินไปจำนวนหลุมศพก็ยิ่งลดน้อยลง เขากำลังจะไปถึงยอดแต่กลับเห็นหลุมศพที่ดูพิเศษแห่งหนึ่ง!
หลุมศพนี้มีเพียงแค่ป้ายหลุมศพเท่านั้น อักษรบนป้ายหลุมพร่ามัวและมีกลิ่นเน่า มันอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่านานแค่ไหน
ใต้หลุมมีร่างสตรีผมยาวสวมชุดสีขาว นางคุกเข่าอยู่ตรงนั้นและมีน้ำตาไหลอยู่บนใบหน้า
เสียงร้องไห้ดังเข้าสู่จิตใจหวังหลิน ทั้งชัดเจนและวนเวียนอยู่ในใจ สถาที่แห่งนี้เงียบสงัดยกเว้นเสียงร้องไห้ สายลมอ่อนๆ พัดเข้ามาเลื่อนผมนางให้ลอยขึ้น
หวังหลินมองสตรีชุดขาวและหยุดชะงัก เขาไม่ได้ปีนขึ้นเขาต่อไปแต่กลับมองนางอย่างสงบนิ่ง
เสียงร้องค่อยๆ หยุดลง นางดูเหมือนสังเกตได้ว่ามีคนอยู่ด้านหลังแต่ไม่ได้หันกลับมา
“ที่นี่คือหลุมศพของข้า…” ผ่านไปสักพักเสียงสั่นเครือน่ากลัวดังออกมาจากสตรีชุดขาว น้ำเสียงเบาราวกับดังออกมาไกลๆ ทำให้ได้ยินไม่ชัดเว้นแต่จะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
หวังหลินขบคิดเงียบๆ และเอ่ยขึ้น “ข้ามองเห็น”
พอหวังหลินพูด สตรีชุดขาวถึงกับตัวสั่นราวกับต้องการหันกลับมาแต่ก็หยุดชะงักที่เดิม
ผ่านไปสักพักนางจึงเอ่ยถาม “ท่านมองเห็นข้าด้วยหรือ? ท่านได้ยินเสียงร้องของข้า?”
“ใช่แล้ว” หวังหลินพูดอย่างสงบนิ่ง ความจริงแล้วหากเขาต้องการก็ยังสามารถมองเห็นวิญญาณมรณะทั้งหมดที่นี่ได้ เพราะล้วนเกี่ยวข้องกับแก่นแท้แห่งชีวิตและความตาย
ชีวิตและความตาย แตกต่างเพียงแค่ซ้ายกับขวา ถึงจะคล้ายแต่ก็แตกต่าง
นางสัมผัสกับอักขระบนป้ายหลุมและเอ่ยขึ้นบางเบา “ท่านไม่ใช่คนที่ข้ากำลังรอใช่หรือไม่…หรือว่าข้าคือวิญญาณของท่าน…”
หวังหลินมองผ่านไปที่ยอดเขา มีหลุมศพเจ็ดถึงแปดแห่งที่เปล่งกลิ่นอายมืดมน มีดวงวิญญาณมรณะอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะมีสองถึงสามดวงที่ทรงพลังมากพอให้หลอมเป็นใบเรือหน้าผีระดับกลางได้
ซึ่งวิญญาณเหล่านี้ถือเป็นวิญญาณมรณะคุณภาพดีที่สุดที่สามารถหาได้ในยอดเขาภูติผี
“ข้าตามหาร่างไม่เจอ ข้าเจอแต่ป้ายหลุมศพนี้เท่านั้น…” นางเอ่ยขึ้นและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ พลางยกเท้าขึ้นไปหายอดเขา มู่งหน้าสู่วิญญาณมรณะที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตามหลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เสียงร้องของหญิงสาวยิ่งรุนแรงขึ้น
“ร่างกายข้าอยู่ไหน บ้านข้าอยู่ที่ใด…กระดูกข้าอยู่หนใด…” น้ำเสียงของนางดังเข้าไปในใจหวังหลินทำให้เขาหยุดลง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“ลืมไปแล้ว…” นางส่ายศีรษะ
“ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าจะมีชื่อว่า ฟ้ากระจ่าง” หวังหลินเอ่ยขึ้นมาพลันหันตัวกลับและสะบัดแขนขวา นางหายวับไป สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือป้ายและหลุมศพ
หลังจากผ่านไปสักพักหวังหลินก็จากไป เขาไม่ได้เลือกวิญญาณที่มีคุณภาพสูงดวงไหน แต่เป็นเพียงหญิงสาวชุดขาวนี้เท่านั้น ซึ่งอย่างมากก็หลอมได้แค่ใบเรือหน้าผีระดับต่ำ
แต่ตอนที่นางพูดถามถึงบ้านและตระกูลของตัวเอง หวังหลินจิตใจสั่นสะท้าน
กระบวนการผสานวิญญาณมรณะเข้าสู่ใบเรือหน้าผีไม่ได้ใช้เวลานานนัก หนึ่งวันก็เกินพอ หลังจากนางเข้าผสานกับใบเรือหน้าผีของหวังหลิน สีของมันจึงเปลี่ยนเป็นสีขาว
เสียงร้องไห้ดังออกมาจากใบเรือสีขาวและเข้าสู่จิตใจผู้คน ทำให้คิดถึงร่างหญิงสาวชุดขาวกำลังร้องไห้
ในวันที่เจ็ด หินหยกก้อนหนึ่งทะลุผ่านม่านป้องกันเข้ามาหาหวังหลินที่อยู่ในถ้ำ
“หวังหลิน จงฟังคำสั่งต่อไปนี้: ให้เข้าไปที่ฐานหลักจุดที่สามของกระทิงสวรรค์และคุ้มกันที่นั่น!” เสียงของบรรพชนกระทิงเขียวดังออกมากึกก้องในถ้ำ หินหยกลอยขึ้นเบื้องหน้าหวังหลิน
หวังหลินลืมตาด้วยความสงบนิ่ง สัมผัสวิญญาณตรวจสอบหินหยกทำให้ข้อมูลเข้าสู่จิตใจเขา
เหล่าบรรพชนของสำนักมหาวิญญาณหลายต่อหลายรุ่นได้ใช้เวลาอันมีค่าเพื่อสร้างฐานสำคัญเจ็ดแห่งบนแคว้นกระทิงสวรรค์ ซึ่งถือเป็นฐานที่มั่นบนจุดเส้นชีพทั้งเจ็ดของกระทิงสวรรค์
ในชีพจรทั้งเจ็ดนี้สามารถยืมพลังอำนาจของกระทิงสวรรค์ผ่านค่ายกลอันทรงพลังได้ ขณะเดียวกันก็เป็นประโยชน์ต่อเซียนบนแคว้นกระทิงสวรรค์อย่างใหญ่หลวง
บรรพชนรุ่นแรกของสำนักมหาวิญญาณได้ทำนายการมาถึงของหวังหลินและการรุกรานครั้งใหญ่ของแคว้นมารเขียวเอาไว้ พวกเขาจะไม่เตรียมการอะไรไว้ได้อย่างไร?